บทที่ 41: ข้าวเมล็ดเดียวก็สามารถเลี้ยงคนจำนวนมากได้
บทที่ 41: ข้าวเมล็ดเดียวก็สามารถเลี้ยงคนจำนวนมากได้
อาณาเขตของต้าจินแบ่งออกเป็นทั้งหมดสามรัฐ
เนื่องจากมีผู้ลี้ภัยที่มักทำการย้ายถิ่นฐานอยู่บ่อยครั้ง และเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการนองเลือดโดยไม่จำเป็น ดังนั้นทุกที่จึงมีทหารประจำการอยู่ตลอดเวลา
มณฑลจูเหอเองก็เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ที่ดินและทรัพยากรส่วนใหญ่ในมณฑลก็ได้ถูกควบคุมโดยตระกูลหวง ดังนั้นมันจึงมีทหารไม่มากนักที่นี่ มันมีทั้งหมดเพียงไม่ถึง 200 นาย!
หากพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับภัยสงคราม พวกเขาก็จะต้องรับสมัครพลเรือนหรือฝึกกองกำลังอาสาขึ้นมาเอง
และในตอนนี้ ทหารจำนวนน้อยกว่า 200 นายก็ได้ถูกส่งมอบให้ฮุ่ยฉีเป็นคนดูแล
เมื่อทหารที่อยู่เหนือประตูเมืองเห็นเขามาถึง พวกเขาก็ลุกขึ้นคำนับในทันที
ฮุ่ยฉีพยักหน้าและก้าวไปข้างหน้า เขามองออกไปนอกเมืองและขมวดคิ้ว “มีผู้ลี้ภัยจำนวนมากจริงๆ”
มณฑลจูเหอตั้งอยู่ติดกับแม่น้ำหง และภูมิประเทศโดยรวมเองก็เป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำ หน้าประตูเมืองเองก็มีที่ราบซึ่งมีบ้านเรือนและไร่นาตั้งอยู่เหมือนกับเมืองเล็กๆ
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะตระกูลหวงมักจะคอยกดขี่พวกเขาอยู่ตลอด ดังนั้นชาวเมืองบางส่วนจึงเลือกที่จะย้ายออกจากเมืองแต่ก็ไม่สามารถออกไปไกลจากเมืองได้มากนัก
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ซุยเฮ็งได้ออกคำสั่งให้แจกจ่ายพื้นที่ทำการเกษตรและทรัพย์สินของตระกูลหวงคืนให้กับประชาชน เหล่าประชาชนข้างนอกกำแพงจึงย้ายกลับเข้ามาในเมืองอีกครั้ง
และเนื่องจากพวกเขาย้ายกลับเข้ามาในเมือง ดังนั้นบ้านเหล่านั้นจึงถูกทิ้งร้างเอาไว้
และในตอนนี้ พวกมันก็ได้ถูกครอบครองโดยผู้ลี้ภัยที่หนีมายังที่นี่ เมื่อดูจากจำนวนผู้ลี้ภัยแล้ว มันก็มีมากถึงสามสี่พันจริงๆ
“นายอำเภอเฉิน ท่านคิดว่าพวกเราควรจะทำอย่างไรดี?” ทหารที่เฝ้าประตูเมืองเดินเข้ามาและถามฮุ่ยฉี
นามสกุลของฮุ่ยฉีคือเฉิน และตัวตนของเขาในมณฑลจูเหอก็คือเฉินฮุ่ย
“เตรียมคนสิบคนให้พร้อม” ฮุ่ยฉีพูดด้วยเสียงต่ำ “เมื่อคำสั่งของท่านผู้ว่าการมาถึง พวกเจ้าก็จงตามข้าออกไปในทันที”
“รับทราบ!” ทหารคนนั้นพยักหน้าในทันที
…
จ้าวกู่ตันนอนขดตัวอยู่ในบ้านที่ทรุดโทรมข้างนอกเมือง สายตาของเขาจับจ้องไปที่หม้อนึ่งซึ่งตั้งอยู่ตรงหน้าเขา
เขากลืนน้ำลายอึกใหญ่ในขณะที่มองไปที่มัน
แม้ว่านี่จะเป็นเพียงผักป่าที่เขาพบอยู่บนผืนดินแล้ง แต่มันก็ยังทำให้เขาน้ำลายสอ
เขาไม่ได้กินข้าวมาสองวันแล้วและกำลังหิวมาก
ชายหนุ่มอายุ 15 ปียังคงเป็นเยาวชนที่อยู่ในวัยกำลังโต ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงไม่สามารถทนต่อความหิวได้เลย
“ลุงสาม เรากินมันตอนนี้เลยได้ไหม?” จ้าวกู่ตันถามอย่างอ่อนแรง จากนั้นเขาก็เริ่มหอบหายใจอย่างหนัก แค่การพูดเพียงประโยคสั้นๆ ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เขาหมดแรง
เขาหิวเกินไป!
“รออีกนิดนะ” ลุงสามเป็นชายวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบ เขาสูงโปร่งแต่ก็ดูอ่อนแอมากไม่ต่างกัน
ในขณะนี้ ลุกสามก็กำลังจ้องมองไปที่ซุปผักป่าในหม้อและกลืนน้ำลาย “ผักป่าต้องต้มจนกว่าจะนิ่ม มิฉะนั้นแล้ว หากเรากินมันเข้าไป เราก็อาจจะปวดท้องจนเสียชีวิตได้”
หลังจากนั้นไม่นาน
“เอาล่ะ น่าจะได้แล้ว!” ตาของลุงสามเป็นประกาย เขารีบตักชามซุปจากหม้อใส่ชามแตกๆ เขาเป่ามันสองสามทีแล้วจึงส่งให้จ้าวกู่ตันกิน “ค่อยๆ ดื่มมันนะ”
“ลุงสาม ท่านเองก็ดื่มมันบ้างเถอะ! อ้า ร้อนจัง!” จ้าวกู่ตันหยิบชามขึ้นมาและดื่มมันเข้าไป เขาอุทานออกมาเสียงดังเนื่องจากความร้อน แต่เขาก็เป่าลมหายใจอีกสองสามครั้งตามสัญชาตญาณก่อนที่จะดื่มมันอีกครั้ง
เขาหิวมากจริงๆ!
เห็นได้ชัดว่ามันเป็นเพียงซุปที่ทำมาจากผักป่าเน่าๆ แต่มันก็ยังทำให้เขารู้สึกเหมือนกับกำลังกินของอร่อยได้
“ลุงสาม ท่านดื่มบ้างเถอะ” จ้าวกู่ตันมอบชามแตกให้กับลุงสาม
พวกเขาทั้งสองคนมีทำได้เพียงแค่ผลัดกันดื่มซุปเท่านั้น
“ฮ่าฮ่า อย่างน้อยเจ้าก็ยังมีจิตใจเมตตา” ลุงสามหัวเราะชอบใจแล้วตักซุปให้ตัวเองอีกชาม เมื่อน้ำซุปร้อนๆ เข้าปาก ใบหน้าขาวอมเทาของเขาก็เผยรอยยิ้มที่พึงพอใจออกมาในที่สุด
“ท่านลุงสาม ท่านคิดว่าผู้ว่าการคนนี้จะรับเราเข้าไปไหม?” จ้าวกู่ตันที่เริ่มมีแรงแล้วมองไปข้างหน้าขณะพูดถึงความปราถนา “เขาจะให้เราได้กินข้าวไหม?”
“ข้าเกรงว่าคงจะไม่” ลุงสามส่ายหัวและตักซุปอีกชามให้จ้าวกู่ตันดื่ม เขาถอนหายใจและพูดต่อว่า “มณฑลต้าคังของเราถูกเจ้าราชาหยานชาติหมานั่นโจมตีจนแตกไปแล้ว และมณฑลจูเหอเองก็คงจะกลายเป็นเป้าหมายต่อไป”
“นอกจากนี้ มณฑลจูเหอก็ยังตั้งติดอยู่กับแม่น้ำหง มันเป็นสถานที่ที่เหมาะมากสำหรับการตั้งฐานทัพ ดังนั้นแล้ว มณฑลแห่งนี้ก็คงจะมีจุดจบไม่ต่างอะไรไปจากเราหรอก”
ในมุมมองของเขา การสำรองอาหารเอาไว้ก็เป็นทางเลือกที่ฉลาดกว่าการยกมันให้กับผู้ลี้ภัย
“เจ้าราชาหยานชาติหมานั่นมันสมควรตายจริงๆ!” จ้าวกู่ตันกัดฟันและพูดอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “ถ้าวันหนึ่งข้าสามารถแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้ได้ ข้าก็จะไปฆ่าเจ้าราชาหยานชาติหมานั่นด้วยมือของข้าอย่างแน่นอน ข้าจะทำการล้างแค้นให้กับท่านพ่อ ท่านแม่ พี่ชาย น้องสาว และลุงของข้า!”
ในตอนที่ราชาหยานบุกมาถึงเมืองของพวกเขา มณฑลต้าคังก็ได้ถูกเปลี่ยนกลายเป็นสมรภูมินองเลือด
ไม่เพียงแต่ผู้ว่าการและกองทหารรักษาการณ์จะถูกฆ่าสังหารเท่านั้น แต่ผู้บริสุทธิ์ก็ยังถูกปล้น ฆ่า และข่มขืนอีกด้วย ไม่มีกรรมชั่วใดเลยที่ผู้บุกรุกเหล่านี้ไม่กล้าทำ
และในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม มณฑลต้าคังทั้งหมดก็ได้เปลี่ยนกลายมาเป็นนรกบนดิน
พ่อของจ้าวกู่ตันถูกกองทัพของราชาหยานตัดหัวขาดต่อหน้าเขา แม่ของเขาเองก็ถูกข่มขืนและทนต่อความอัปยศอดสูไม่ไหวจนต้องเอาหัวโขกกับกำแพงจนสิ้นใจ
ถ้าลุงสามมาไม่ทัน เขาเองก็คงจะถูกฆ่าตายไปนานแล้ว
ในท้ายที่สุด ครอบครัวของเขาก็เหลือเพียงเขากับลุงสามเท่านั้น นับเป็นโชคดีมากแล้วที่พวกเขาสามารถเสี่ยงชีวิตหนีออกมาจากเมืองได้
“เจ้าหยานชาติได้ทำความชั่วเอาไว้มากมายเกินไปแล้ว พวกมันจะต้องชดใช้กรรมอย่างแสนสาหัส!”
ลุงสามเองก็กล่าวสาปแช่งเช่นกัน อย่างไรก็ตาม หลังจากเสียงสาปแช่งสิ้นสุดลง เขาก็ถอนหายใจออกมาและพูดด้วยรอยยิ้มอันขมขื่นว่า “ข้าไม่รู้ว่าเราจะยังเหลือเวลาอีกกี่วัน ผักป่าพวกนี้คงจะอยู่ได้ไม่นาน”
ในขณะนี้ ความโกลาหลก็ได้ดังขึ้นข้างนอก...
“ผู้บัญชาการทหารของมณฑลจูเหออยู่ที่นี่แล้ว ทุกคนออกมาเร็วเข้า!”
เสียงคนตะโกนดังขึ้นมาจากข้างนอก
ลุงสามและจ้าวกู่ตันมองหน้ากันและอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกระสับกระส่าย เป็นไปได้ไหมว่าผู้ว่าการมณฑลได้ส่งกองกำลังออกมาเพื่อขับไล่พวกเขาออกไป?
ทั้งสองลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะก้าวออกไป
ไม่ว่าพวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากับอะไร มันก็เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดที่พวกเขาจะเกาะกลุ่มอยู่ร่วมกับคนอื่นๆ
จ้าวกู่ตันติดตามลุงสามและแฝงตัวเข้ากับฝูงชน เขาเขย่งและมองไปยังข้างหน้า
นายทหารในชุดเกราะเหล็กเดินออกมาพร้อมกับทหารสิบนาย
เจ้าหน้าที่ทหารคนนี้มีรูปร่างกำยำและสายตาของเขาก็เฉียบคมราวกับใบมีด แค่สายตาของเขาก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกหวาดกลัว
ผู้ลี้ภัยหลายคนเริ่มตื่นตระหนก และพวกเขาทั้งหมดก็ระแวดระวังตัวมาก
พวกเขาทั้งหมดกลัวว่าเจ้าหน้าที่ทหารจะมาที่นี่เพื่อไล่พวกเขาออกไป
แม้ว่าบ้านที่นี่จะทรุดโทรม แต่มันก็ยังเป็นที่พัก นอกจากนี้ มันก็ยังมีพื้นที่ทำการเกษตรที่พวกเขายังพอจะสามารถใช้ในการเพาะปลูกอาหารเพื่อประทังชีวิตได้
ถ้าพวกเขาต้องออกไปจากที่นี่ พวกเขาก็คงจะต้องตายในอีกไม่กี่วัน
และท้ายที่สุดแล้ว มันก็ไม่มีใครอยากจะตาย!
“ทุกคนไม่ต้องกังวล ไม่ต้องกลัวไป!”
ในขณะนี้ จ้าวกู่ตันก็ได้ยินเสียงเจ้าหน้าที่ทหารตะโกนขึ้น
เสียงของเขาไม่ได้ดังมาก แต่ทุกคนก็ได้ยินมันอย่างชัดเจน
“ท่านผู้ว่าการมณฑลจูเหอทรงมีเมตตากรุณา ไม่เพียงแต่ท่านจะยอมให้พวกเจ้าทุกคนได้อยู่พักพิงที่นี่ต่อไปเท่านั้น แต่ท่านยังยอมเปิดยุ้งฉางเพื่อนำเสบียงอาหารมามอบให้กับพวกเจ้าทุกคนอีกด้วย!”
“นอกจากนี้ ท่านผู้ว่าการก็ยังสัญญาว่าหากกองทัพของราชาหยานบุกเข้ามาโจมตีเมื่อไหร่ ท่านก็จะรับพวกเจ้าเข้ามาข้างในเมืองเพื่อหลบภัยและจะไม่ปล่อยให้พวกเจ้าต้องประสบกับภัยพิบัติอีกเป็นครั้งที่สอง”
“ท้ายที่สุดนี้ จงจำเอาไว้ว่าทั้งหมดนี้คือความเมตตากรุณาจากท่านผู้ว่าการมณฑลจูเหอ!”
บู้มมมมม!
เหล่าผู้ลี้ภัยต่างก็ระเบิดเสียงดังในทันที ใบหน้าของทุกคนแสดงให้เห็นถึงความเหลือเชื่อ
จากนั้นสีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนเป็นมีความสุข
ผู้ลี้ภัยสามถึงสี่พันคนต่างก็เริ่มคุกเข่าลงทีละคนและก้มหัวกราบไหว้ไปทางเมืองจูเหอ
“ท่านผู้ว่าการจงเจริญ!”
“ข้าและลูกเมียจะไม่มีวันลืมพระคุณของท่านที่ช่วยชีวิตพวกเรา ท่านผู้ว่าการ!”
“ท่านผู้ว่าการจงเจริญ!”
ทุกคนส่งเสียงเชียร์กึกก้อง เสียงเชียร์ผสมผสานกับเสียงสะอื้นจนดังลั่น ทุกคนต่างก็หลั่งน้ำตาแห่งความปิติยินดีออกมา
จ้าวกู่ตันเองก็เป็นหนึ่งในคนที่โห่ร้องออกมาอย่างปลื้มปิติ
เขาไม่สามารถเอาความสง่างามและความสูงส่งของผู้ว่าการมณฑลจูเหอออกไปจากใจของเขาได้
นี่คือการช่วยชีวิต!
เขาสาบานว่าเขาจะอุทิศชีวิตทั้งชีวิตเพื่อชดใช้และตอบแทนให้กับอีกฝ่าย!
…
ณ ลานกลางเมือง
ฟางหมินเพิ่งจะพูดคุยกับโจวไฉ่เว่ยเสร็จในตอนที่เธอได้ยินข่าวว่าผู้ว่าการมณฑลกำลังจะเปิดยุ้งฉางเพื่อนำเสบียงไปมอบให้กับผู้ลี้ภัยข้างนอกเมือง
สิ่งนี้ทำให้เธอตกใจมาก และเธอก็ยังพบว่ามันยากที่จะเข้าใจได้ด้วยซ้ำ
ด้วยเหตุนี้เอง เธอจึงไปพบกับจ้าวกวงและถามอีกฝ่ายว่า “ท่านจ้าว ข่าวลือข้างนอกนั่นเป็นความจริงหรอ? ท่านผู้ว่าการจะเปิดยุ้งฉางเพื่อมอบเสบียงให้กับเหล่าผู้ลี้ภัยจริงๆ หรอ?”
“ถูกต้องแล้ว” จ้าวกวงพยักหน้าและยิ้ม “ท่านผู้ว่าการเป็นคนใจดี ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถทนดูเหล่าผู้ลี้ภัยต้องทนทุกข์ทรมานได้”
เขาได้รับข้อความจากซุยเฮ็งและรู้เรื่องการตัดสินใจจะปล่อยเสบียงอาหารแล้ว
“อย่างไรก็ตาม กองทัพของราชาหยานก็กำลังจะมาถึงนะ!” ฟางหมินกล่าวอย่างกังวลใจ “เราจะปกป้องเมืองได้อย่างไรหากเราปล่อยให้เสบียงอาหารหมดลงซะตั้งแต่ตอนนี้? หากเรายื้อเวลาเอาไว้ได้น้อยเกินไป ข้าก็เกรงว่าเราจะไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้เจรจาด้วยซ้ำ และเมื่อถึงเวลานั้น ชาวเมืองทั้งเมืองก็จะต้อง…”
แม้แต่ยอดฝีมือของพวกเธอเองก็ยังต้องการเวลาเพื่ออ้อมเข้าโจมตีราชาหยาน
“พี่สาว ข้าได้ยินมาว่าผู้ลี้ภัยที่อยู่ข้างนอกนั่นมีจำนวนมากกว่าสามถึงสี่พันคน” จู่ๆ โจวไฉ่เว่ยก็พูดขึ้นว่า “ถ้าท่านผู้ว่าการไม่ยอมมอบเสบียงอาหารให้กับพวกเขา พวกเขาก็จะต้องอดตายกันหมด”
“นั่นก็จริง แต่…” ฟางหมินลังเล เธอไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีในสถานการณ์เช่นนี้
“ท่านผู้ว่าการคนนี้ฉลาดมาก” โจวไฉ่เว่ยยิ้มเล็กน้อยและพูดต่อว่า “ข้าคิดว่าในเมื่อเขาตัดสินใจจะทำเช่นนี้แล้ว งั้นแสดงว่าเขาก็คงจะต้องเตรียมแผนสำรองเอาไว้แล้วแน่ๆ เขาจะไม่ปล่อยให้พวกของเขาต้องอดตายหรอก”
“ศิษย์น้อง เจ้ามั่นใจมากขนาดนั้นเลยหรอ?” ฟางหมินถามด้วยความประหลาดใจ
“ศิษย์พี่ ท่านลืมไปแล้วหรอ?” โจวไฉ่เว่ยพูดด้วยรอยยิ้ม “ในตอนที่เราออกไปหาข้อมูลกันก่อนหน้านี้ ท่านก็ตกใจมากเมื่อได้ยินเกี่ยวกับการกระทำต่างๆ ของท่านผู้ว่าการ คนที่มีอำนาจเช่นนี้จะต้องพิจารณาทุกด้านอย่างรอบคอบแล้วแน่นอน ข้าพูดถูกไหม?”
“…” ฟางหมินเงียบลงเมื่อได้ยินสิ่งนี้ จากนั้นเธอก็โค้งคำนับและกล่าวขอโทษจ้าวกวง “ท่านจ้าว ก่อนหน้านี้ข้ารู้สึกกังวลเล็กน้อยและไม่ได้แสดงความเคารพต่อท่านผู้ว่าการ โปรดยกโทษให้ข้าด้วย”
“อันที่จริง ท่านผู้ว่าการก็ได้คาดคิดเอาไว้แล้วว่าท่านจะต้องรู้สึกเป็นกังวลอย่างแน่นอน” จ้าวกวงยิ้มและกล่าวว่า “ดังนั้นแล้วท่านผู้ว่าการจึงได้บอกข้าว่าหากท่านมีข้อสงสัยใดๆ ท่านก็สามารถถามเขาเองเป็นการส่วนตัวได้ในวันพรุ่งนี้”
ฟางหมินตกตะลึงเมื่อได้ยินสิ่งนี้ เธออดไม่ได้ที่จะอุทานว่า “สามารถมองการณ์ไกลได้ขนาดนี้ สายตาของท่านผู้ว่าการเปรียบได้กับสายตาแห่งเทพจริงๆ!”
…
ในสำนักงานเทศมณฑลจูเหอ
ลู่เจิงหมิงมองไปที่บัญชีของยุ้งฉางในมือด้วยสีหน้าขมขื่นและพูดด้วยรอยยิ้มที่บิดเบี้ยวว่า “ท่านผู้ว่าการ เราแทบจะไม่มีเสบียงอาหารเหลืออยู่ในยุ้งฉางเลย พูดกันตามตรง เราก็มีไม่เพียงพอที่จะรองรับคนจำนวนมากถึงสามสี่พันคน”
อาหารที่พวกเขายึดมาจากตระกูลหวงนั้นถูกแจกจ่ายให้กับประชาชนทั้งหมดไปแล้ว ด้วยเหตุนี้เอง คลังยุ้งฉางของพวกเขาจึงไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนักและยังคงอยู่ในระดับเดิม
“ไม่ต้องกังวลไป พาข้าไปที่ยุ้งฉางหน่อย” ซุยเฮ็งลุกขึ้นยืนและยิ้ม “ตราบใดที่มีข้าวเหลือแม้เพียงเมล็ดเดียว เราก็ยังสามารถเติมยุ้งฉางให้เต็มและเลี้ยงคนจำนวนมากได้”