ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 142 พิพากษา
ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 142 พิพากษา
แปลโดย iPAT
เถาวัลย์สีเขียวขยายตัวออกไปท่ามกลางโลกแห่งความมืดและบ่อเลือด มันเติบโตขึ้นจนดูเหมือนรังไหม
รังไหมสั่นไหวอยู่ชั่วครู่ก่อนจะหยุดลง
เฉียนหรงจื่อหยุดพูดและจ้องมองรังไหมสีเขียวด้วยความมึนงง
หลังจากยืนยันการเสียชีวิตของเฉียนเยี่ยนเหนิง เตียวเฟยก็ดึงเถาวัลย์กลับไป เขายังค้นตัวเฉียนเยี่ยนเหนิงแต่ไม่พบกระเป๋าร้อยสมบัติ
นั่นทำให้เขาต้องหันไปมองหลี่ฉิงซานอย่างช่วยไม่ได้
หลี่ฉิงซานมองกองซากศพที่ทิ้งตัวนอนอยู่บนพื้นและรู้สึกว่าดวงดาวบนท้องฟ้ายังงดงามกว่า หลังจากคิดหลายสิ่งหลายอย่าง หลี่ฉิงซานก็ก้มศีรษะลง “เจ้าจัดการไปเท่าใด?”
“สาม สองคนหลบหนี”
“นั่นค่อนข้างดี”
“เจ้ายกย่องข้าเกินไปแล้ว”
มันเป็นเพียงบทสนทนาสั้นๆ แน่นอนว่าเตียวเฟยจะไม่ถามถึงกระเป๋าร้อยสมบัติของเฉียนเยี่ยนเหนิงเหมือนคนโง่และเขาก็ไม่ได้ขอให้หลี่ฉิงซานแบ่งปันมันให้เขา เดิมทีเขามีแผนการของตนเองเช่นกัน มันคือการไล่ล่าจอมยุทธ์ขั้นสองและฉกชิงสมบัติของพวกเขาก่อนจะกลับมาที่นี่อย่างเงียบๆเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ หากหลี่ฉิงซานตาย เขาจะจากไปและรายงานจ้าวจื่อป๋อ วิธีการดังกล่าวสามารถรับประกันความปลอดภัยของเขา
อย่างไรก็ตามเขาไม่เคยคิดว่าหลี่ฉิงซานจะสามารถทำให้เฉียนเยี่ยนเหนิงอยู่ในสภาพดังกล่าว เตียวเฟยรู้ดีว่าเพียงเถาวัลย์ของเขาไม่สามารถทำร้ายจอมยุทธ์ขั้นห้าภายใต้สถานการณ์ปกติ เห็นได้ชัดว่าเฉียนเยี่ยนเหนิงใกล้ตายแล้วและทั้งหมดเป็นเพราะหลี่ฉิงซาน
แม้ทุกอย่างจะอธิบายได้ยากแต่หลี่ฉิงซานก็สามารถจัดการจอมยุทธ์ขั้นห้าได้จริงๆ ดังนั้นเตียวเฟยจึงต้องรักษามารยาทและให้ความเคารพต่อหลี่ฉิงซาน
แม้เหล่าจอมยุทธ์จะอยู่ที่ตีนเขาแต่พวกเขาก็มีหลายวิธีที่สามารถตรวจสอบสถานการณ์ ตอนนี้ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ ตั้งแต่ต้นจนจบพวกเขาไม่เห็นผู้บัญชาการหมาป่าอินทรีย์แม้แต่คนเดียว ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง ทุกคนเต็มไปด้วยคำถาม ในฐานะจอมยุทธ์ขั้นสอง เขาสามารถต่อสู้กับเฉียนเยี่ยนเหนิงได้อย่างไร
แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขั้นห้าได้ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง บางทีอาจเป็นเพราะเฉียนเยี่ยนเหนิงแก่ลงจนถึงจุดที่เขาไม่สามารถต่อสู้กับจอมยุทธ์ขั้นสองที่โดดเด่น นี่เป็นคำอธิบายเดียวที่เป็นไปได้
กงเหลียงไป่พึมพำ “นี่เป็นไปได้อย่างไร?” เขากล่าวความคิดที่อยู่ในใจของจอมยุทธ์ทั้งหมดออกมา
ทันทีที่เฉียนหรงจื่อเห็นศพของเฉียนเยี่ยนเหนิง ร่างของนางก็สั่นสะท้านขึ้น รอยยิ้มของนางหายไปอย่างสมบูรณ์ นางยืนงงอยู่ชั่วครู่ก่อนที่ของเหลวอุ่นๆจะไหลลงมาจากใบหน้าของนาง มันไม่ใช่เลือดแต่เป็นน้ำตา
นางไม่รู้ว่าเหตุใดนางต้องร้องไห้ ตอนนี้นางไม่สามารถอธิบายความรู้สึกของตนเอง
หลี่ฉิงซานและเตียวเฟยมองหน้ากันแต่ทั้งสองไม่ได้กล่าวสิ่งใด
จากนั้นหลี่ฉิงซานก็สูดหายใจและประกาศ “วันนี้ผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ซึ่งประกอบด้วยหลี่ฉิงซาน เตียวเฟย และเฉียนหรงจื่อได้ทำการพิพากษาเฉียนเยี่ยนเหนิงอย่างเป็นทางการที่นี่” เขาหยุดชั่วครู่ก่อนกล่าวเสริม “เราทำลายตระกูลเฉียนที่ชั่วร้ายเพื่อเป็นการเตือนกองกำลังอื่นๆ จอมยุทธ์พลังปราณทั้งหมดควรใช้เหตุการณ์นี้เป็นบทเรียน หากพวกเจ้าเมินเฉยต่อศีลธรรมและฝ่าฝืนกฎหมาย พวกเจ้าจะพบชะตากรรมเดียวกันนี้!”
เสียงของเขาดังก้องไปทั่วทั้งเมือง
เสียงโห่ร้องแรกดังมาจากมุมมืดในตรอกซอย มันมาจากบัญฑิตยากจนที่มีช่วงเวลาอันยากลำบากในเมืองวายุบรรพกาล แต่กระทั่งเขาจะทำเช่นนั้น เขาก็ยังทำอย่างระมัดระวัง สองปีก่อนตระกูลเฉียนทำลายครอบครัวของเขา ภรรยาและลูกของเขากลายเป็นคนไร้บ้าน ด้วยความโกรธและโศกเศร้า ภรรยาของเขาล้มป่วยจนเกือบตาย เดิมทีเขาคิดว่าต้องอดกลั้นไปตลอดชีวิตแต่เขาไม่เคยคิดว่าวันแห่งการพิพากษาจะมาถึงในที่สุด
อย่างไรก็ตามเสียงโห่ร้องของเขาเหมือนชนวนจุดระเบิดและทำให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ มันนำไปสู่เสียงโห่ร้องครั้งใหญ่
ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนออกมาจากบ้านและโห่ร้องด้วยความตื่นเต้น หลายคนกอดกันร้องไห้และเดินไปรอบเมืองราวกับกำลังเฉลิมฉลองเทศกาลใหญ่ ในที่สุดตะเกียงและประทัดที่ตระกูลเฉียนบังคับให้พวกเขาเตรียมไว้ก็ถูกนำออกมาใช้ แต่ตอนนี้พวกเขากลับใช้มันเฉลิมฉลองการล่มสลายของตระกูลเฉียน
หลี่ฉิงซานยิ้ม บางทีอาจมีผู้บริสุทธ์มากมายอยู่ท่ามกลางกองซากศพ อย่างไรก็ตามเขาไม่สามารถช่วยทุกคนได้อย่างสมบูรณ์ แม้เขาจะต้องการรักษาความยุติธรรมแต่เขาก็ไม่สามารถแบกรับชีวิตของมนุษย์ทุกคน หากตระกูลเฉียนทั้งหมดจะถูกสังหาร พวกเขาก็จะถูกสังหาร ไม่มีสิ่งใดที่เขาทำได้
ตอนนี้มีเพียงการแสดงออกของเหล่าจอมยุทธ์ที่อยู่ในความมืดเท่านั้นที่เปลี่ยนไปอย่างมาก น้ำเสียงคุกคามของหลี่ฉิงซานมุ่งเป้ามาที่พวกเขาอย่างชัดเจน พวกเขาพบว่ามันน่าอับอายและรู้สึกโกรธ แต่ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัว
การฆ่าเฉียนเยี่ยนเหนิงแทบจะเป็นไปไม่ได้ขณะที่การล่มสลายของตระกูลเฉียนก็ทำให้ชาวบ้านมีความสุข หลี่ฉิงซานกลายเป็นเทพผู้พิทักษ์กฎหมายและได้รับการเคารพบูชา ไม่มีผู้ใดกล้าพอที่จะเผชิญหน้ากับเขาอย่างเปิดเผย ทุกคนทำได้เพียงหดหัวและตัวสั่น
ในความเป็นจริงหลายคนไม่ได้ชั่วร้ายเหมือนเฉียนเยี่ยนเหนิง พวกเขามาเพื่อร่วมงานฉลองวันเกิดเท่านั้น อย่างไรก็ตามพวกเขายังไม่กล้าแสดงตัวและไม่กล้ารุกรามจอมยุทธ์พลังปราณที่โดดเด่น
เมื่อเวลาผ่านไป เหล่าจอมยุทธ์ค่อยๆออกจากเมืองวายุบรรพกาล แต่ทุกคนยังจำชื่อของคนผู้หนึ่งเอาไว้
หลี่ฉิงซานกล่าว “เจ้าร้องไห้พอหรือยัง?”
เฉียนหรงจื่อเงยหน้าขึ้นด้วยความสับสน
หลี่ฉิงซานกล่าวต่อ “หากเจ้าร้องไห้พอแล้วก็ไปกันเถอะ ภารกิจของเราเสร็จแล้ว!”
หลังจากนั้นเขาก็มองไปที่ยอดไม้ในระยะไกลก่อนจะลงจากภูเขาโดยไม่สนใจเตียวเฟยหรือเฉียนหรงจื่อ
เฉียนหรงจื่อกล่าว “รอเดี๋ยว!”
หลี่ฉิงซานหันกลับด้วยความสงสัย ทั้งหมดที่เขาเห็นคือเฉียนหรงจื่อเผยรอยยิ้มกว้างและปาดน้ำตาก่อนกล่าว “ข้ายังไม่ได้รับสิ่งใดเลย!” จากนั้นนางก็ค้นกองซากศพ “หากเจ้าทิ้งผู้หญิงอ่อนแอเช่นข้าเอาไว้ ข้าคงกลัวมาก”
หลี่ฉิงานตะลึง เดิมทีเขาคิดว่าแรงกดดันของนางคงบรรเทาลงหลังจากประสบความสำเร็จในการแก้แค้น บางทีนางอาจไม่ได้เรียนรู้มากนักจากเรื่องนี้แต่อย่างน้อยนางควรเข้าใจเรื่องราวเกี่ยวกับชีวตและความตายมากขึ้น นั่นอาจทำให้ความชั่วร้ายของนางลดลงบางส่วน อย่างไรก็ตามความจริงกลับตรงข้าม การแก้แค้นไม่ได้ปลดปล่อยบางสิ่งในใจของนางเลยแม้แต่น้อย
ความยินดีของนางไม่ได้เกิดจากการแก้แค้นแต่เป็นเพราะนางไม่ต้องทำหน้าที่คุณหนูตระกูลเฉียนอีกต่อไป นางหัวเราะอยู่ท่ามกลางกองซากศพ ความบ้าคลั่งดูเหมือนจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของนางและทำให้ใบหน้าของนางดูบิดเบี้ยวมากขึ้น
ตอนนี้หลี่ฉิงซานพึ่งเข้าใจว่าการรู้แจ้งและการกลับใจอย่างกะทันหันเป็นเพียงเรื่องราวในเทพนิยายเท่านั้น บรรทัดฐานที่แท้จริงของโลกใบนี้คือแม้โลกจะเปลี่ยนไปแต่ธรรมชาติของผู้คนไม่เคยเปลี่ยนแปลง บางทีแม้แต่เทพหรือปีศาจก็อาจมีบรรทัดฐานของตนเองเช่นกัน
เฉียนหรงจื่อโค้งคำนับเล็กน้อย “ขอบคุณที่ช่วยข้าในวันนี้ หากไม่ใช่เพราะเจ้า ข้าคงแก้แค้นไม่สำเร็จ หากเจ้าไม่ถือสา ข้ายินดีเสนอตัวเอง” นางเผยรอยยิ้มกว้างไปถึงใบหู นางดูอารมณ์ดีมาก
หลี่ฉิงซานไม่สนใจแม้แต่น้อยขณะที่เตียวเฟยก็เดินจากไปเช่นกัน พวกเขาทำตัวราวกับกำลังหลีกเลี่ยงโรคระบาดและรีบออกห่างจากเสียงหัวเราะที่บ้าคลั่งของเฉียนหรงจื่อ
เฉียนหรงจื่อเดินไปรอบๆราวกับภูตผี นางค้นสมบัติจากกองซากศพและชื่นชมผลงานชิ้นเอกของนางราวกับกำลังเดินเล่นชมสวนดอกไม้
นางหยุดเป็นครั้งคราวและใช้มือช้อนใบหน้าที่คุ้นเคยขึ้นมาพูดคุยด้วย แม้จะไม่มีการตอบกลับแต่นางก็ยังหัวเราะคิกคักกับตนเอง เมื่อเปรียบเทียบกับซากศพในนรกขุมนี้ นางดูแปลกและน่ากลัวกว่ามาก
หลังจากได้รับสัญญาณจากหลี่ฉิงซาน เสี่ยวอันไม่ได้ปรากฏตัวออกมาทันที เขายังซ่อนตัวอยู่ในมุมหนึ่งและจมอยู่กับความคิดของตนเอง
‘ข้าเข้าใจแล้ว พระพุทธองค์ทรงเห็นถึงความโง่เขลาของสรรพสัตว์และต้องการช่วยเหลือพวกเขาให้พ้นทุกข์ แต่พวกเขาไม่เคยฟังและไม่เข้าใจคำสอนของพระองค์ สุดท้ายเมื่อพวกเขาไม่พยายามที่จะเปลี่ยนแปลงตนเอง จุดจบของพวกเขาก็มีเพียงความตายและความทุกข์ทรมานเท่านั้นที่รออยู่’
ในโรงเตี้ยมเล็กๆที่ตีนเขา เสี่ยวอันเขียนความเข้าใจของเขาลงบนแผ่นกระดาษและบอกหลี่ฉิงซาน
หลี่ฉิงซานกล่าว “เสี่ยวอัน หากเจ้าต้องการมีชีวิตในฐานะมนุษย์ผู้หนึ่ง ส่วนสำคัญที่สุดคือการมีความสุข มันไม่ต่างกันแม้เจ้าจะอยู่ในร่างโครงกระดูก หากเจ้าเผชิญหน้ากับบางคน เจ้าสามารถใช้เหตุผลกับพวกเขา แต่หากเหตุผลใช้ไม่ได้ผล เจ้าก็เพียงต้องกวัดแกว่งดาบของเจ้าออกไป”