ตอนที่ 8 : ความปรารถนา
“ดีจริง ๆ!”
โลแกนเบิกตากว้างด้วยความดีใจ เขาตัวสั่นด้วยความตื่นเต้นหลังจากหยุดนิ่งไปชั่วขณะ
‘อ๊ะ หมายความว่าข้าจะได้น้องชายหรือน้องสาวงั้นเหรอ?’
ดาวิสไม่เคยมีพี่น้องในชีวิตบนโลกใบที่แล้ว อย่างน้อยก็ที่เขารู้เพราะเขาเป็นเด็กกำพร้า
เขารู้สึกมึนหัวและรู้สึกขัดแย้ง แต่ในเวลาเดียวกันเขาก็ดีใจที่ได้ฟังข่าวดี
แคลรู้ว่านางตั้งครรภ์ในตอนที่ได้ร่วมหลับนอนกับโลแกนหลังจากเวลาอันยาวนาน แต่นางก็ปิดเขาไว้เพราะอยากเก็บเป็นความลับให้เขาประหลาดใจ นางไม่รู้ว่าลูกจะเป็นหญิงหรือชายแต่ด้วยสัมผัสที่มี นางน่าจะบอกได้ในอีกไม่กี่สัปดาห์ แต่นางจะไม่ยอมให้ใครเปิดเผยเรื่องน่ายินดีหรือเปิดเผยมันเองจนกว่าจะถึงเวลา
นี่เป็นหนึ่งในความสุขของการตั้งครรภ์ที่นางได้รับ ความรู้สึกที่พิเศษต่อนางและสตรีอื่น
นางเดินมาหาพวกเขาจากห้องน้ำและทันใดนั้นก็ล้มลง
“ท่านแม่!”
*ฟึ่บ!*
“แคล!”
โลแกนนั้นเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและรับตัวนางไม่ให้ล้มลงที่พื้น
ดาวิสไม่เห็นพ่อเคลื่อนไหวด้วยซ้ำ ราวกับว่าเขาหายไปและปรากฏตัวอีกครั้งที่ข้างกายแม่ เขารู้สึกตกใจในความทรงพลังของพ่อ
‘ตำแหน่งจักรพรรดิไม่ได้มีไว้แค่อวดจริง ๆ…’
เขาคิด
“ขะ…ข้าไม่เป็นไร แค่มึนหัวนิดหน่อยน่ะ…”
แคลอธิบายและลูบคิ้วสีบลอนด์ของนาง
“พอแล้ว เจ้าต้องพักผ่อนนะแคล…”
ดวงตาของโลแกนมีความห่วงใย แต่สีหน้าของเขานั้นออกไปทางแข็ง ๆ
เขาหันไปมองลูกสาวและพูด
“ดาวิส แม่เจ้าต้องไปพักนะ…”
“ข้าเข้าใจ”
ดาวิสตอบอย่างรวดเร็วและพยักหน้า
สตรีมักจะอ่อนแอเมื่อตั้งครรภ์ แม้ว่าจะมีพลังบ่มเพาะที่แข็งแกร่งเพียงใด มันเป็นเรื่องที่รู้กันทั่วไปแต่ดาวิสนั้นยังไม่รู้
และนี่เป็นสัญญาณแรกของการตั้งครรภ์ แคลรู้สึกอ่อนแอและเหนื่อยล้าในขณะเดียวกัน สาวใช้ในปราสาทไม่มีทางรู้หรือคาดเดาได้เลยเพราะว่าแคลอยู่กับดาวิสแทบจะตลอดเวลาและจะมาหาโลแกนก็ต่อเมื่อดาวิสหลับไปแล้ว
“ไม่ต้องห่วงนะดาวิส เดี๋ยวแม่ก็กลับมาหาลูกแล้ว”
แคลปลอบเขา ราวกับว่าความรักของเขาจากนางนั้นไร้ขอบเขต ไม่ว่าเขาจะมีความทรงจำเก่าหรือไม่ก็ตาม
“ข้าจะรอแม่นะ”
ดาวิสพยักหน้าอีกครั้ง
ดาวิสมองพวกเขาออกจากห้องเรียน เขามองแผ่นหลังที่หายลับไปตามลำพัง
ดาวิสหัวเราะเบา ๆ
“ฮ่า…ฮ่า…ฮ่า…”
‘เราได้พ่อแม่ที่รักใคร่กลมเกลียวบนโลกใบนี้ แล้วนอกจากนั้นก็จะมีพี่น้องด้วยเหรอ?’
‘เรื่องแบบนี้แม้แต่ตัวเราเองก็ไม่มีทางได้แม้จะต้องการแค่ไหน…ได้แต่หวังว่าเราจะไม่ทำอะไรโง่ ๆ รบกวนครอบครัวนี้นะ’
ดาวิสถอนหายใจและคิดถึงอนาคต
‘หืม? อะไรเนี่ย?’
ทันใดนั้นเองดาวิสก็รู้สึกว่าเขาเข้าถึงบันทึกทมิฬในดวงวิญญาณได้ เขาไม่มีทางเข้าถึงมันได้เลยในอดีต ซึ่งเขาก็หมดหนทาง แต่ในตอนนี้นั้น…
หรือว่าจะเป็นเพราะเขาเป็นสิ่งที่เรียกว่าขั้นก่อวิญญาณ?
‘ลองใช้มันดีไหมนะ?’
ดาวิสเริ่มอยากทดลอง แต่เขาก็ห้ามใจตัวเอง
‘ไม่ เราไม่ควรทำอะไรน่าสงสัยในตอนที่อยู่ในปราสาท พ่อจะต้องกางม่านพลังไว้ที่นี่แน่ หรือไม่คนอื่นก็จับตาดูที่นี่อยู่…’
แต่ดาวิสไม่รู้เลยว่าห้องเรียนนั้นมีม่านพลังเป็นค่ายกลป้องกันอยู่แล้วเพื่อป้องกันการโจมตีทั่วไป แต่เป็นโลแกนที่สร้างม่านพลังที่แข็งแกร่งกว่าเพื่อใช้ปิดบังเสียงและคลื่นพลังบ่มเพาะ
นอกเหนือจากนั้น ดาวิสไม่รู้เลยว่ามียอดฝีมือที่ซ่อนตัวอยู่และแอบปกป้องเขาอย่างลับ ๆ อยู่ตลอดเวลา
======
ณ ที่พำนักราชินี ห้องของราชินี
โลแกนพาแคลมาพักบนเตียง เขามองนางด้วยแววตาอ่อนโยน แคลมองกลับมาที่เขาด้วยความรักอ่อนโยน
ทั้งสองผ่านความเป็นความตายมาด้วยกันเมื่อครั้งได้พบเจอ พวกเขาต่อสู้และรักกันภายใต้สถานการณ์ที่แตกต่าง และสุดท้าย ก่อนจะเกิดการกบฏ พวกเขาก็ได้อยู่ร่วมกัน เรื่องราวนี้อาจเป็นเรื่องที่เหนือธรรมชาติที่สุดในโลกเพราะพวกเขาอยู่ห่างไกลกันมาก
ระหว่างการกบฏ แม้ว่าแคลจะเมินโลแกนมาสามปีเพราะนางโทษเขาที่ทำให้นางเสียดาวิสไป แต่เขาก็ไม่รักสตรีอื่นใดนอกจากนาง เขาหลงรักนางอย่างลึกซึ้ง แม้จะมีสถานะเป็นจักรพรรดิ ถ้าเขาต้องการก็มีภรรยาได้นับร้อยพัน
แต่เขาเลือกที่จะไม่ทำเช่นนั้น เขาถึงกับประกาศแก่สาธารณะว่าใครก็ตามที่บังคับให้เขาต้องแต่งงานกับสตรีจะถูกจัดการอย่างเด็ดขาด และมันก็เป็นจริงตามนั้นด้วย
แคลเองก็บังเอิญได้เห็นกับตานางเอง
“โลแกน ดาวิสคือลูกของเรานะ…”
แคลพูดออกมาด้วยสีหน้ากังวล
“ข้ารู้…”
โลแกนถอนหายใจยาว
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จะมีความทรงจำจากชาติที่แล้วหรือไม่ เขาก็ยังเป็นลูกของเรา ข้าจะไม่ทำอะไรเขา”
แคลสับสน
“ถ้าอย่างนั้น ทำไมเจ้าถึง…”
“ถ้าหากเขาเคยเป็นคนชั่วร้ายมาก่อนล่ะ?”
โลแกนขยับมุมปากด้วยสีหน้าสิ้นหวัง
“เขาไม่ได้เป็นคนแบบนั้น ไม่มีทางที่ลูกข้าจะชั่วร้ายแม้จะเป็นชาติที่แล้ว…”
แคลตอบด้วยสายตาดื้อดึง
“ข้าถึงอยากจะมั่นใจ…”
โลแกนอธิบายอย่างใจเย็น
ตระกูลลอเรตนั้นถือค่าของความสงบสุขและเกียรติยศและจะไม่ทำเรื่องชั่วร้ายเลวทรามเด็ดขาด
อาณาจักรลอเรตเป็นเพียงอาณาจักรเดียวในแผ่นดินมหาสมุทรที่ไม่ก่อสงครามกับอาณาจักรอื่น อาณาจักรข้างเคียงนั้นอยู่ในสภาวะสงครามและนั่นคือเหตุผลที่มันไม่ถูกอาณาจักรอื่นโจมตีในระหว่างที่ภายในระส่ำระสาย แม้ว่ายามสงบสุขจะมีเหตุให้เกิดการกบฏขึ้นแต่อาณาจักรลอเรตก็ยังแข็งแกร่งอย่างเคย
แต่พวกเขากำลังประมาท
สาเหตุของการก่อกบฏนั้นเป็นเหมือนกับโอกาสเสียมากกว่า ความตายของจักรพรรดิองค์ก่อนหรือพ่อของโลแกนได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นการลอบสังหารและการล้างตระกูลราชวงศ์ นอกจากโลแกนแล้วสมาชิกตระกูลราชวงศ์ทั้งหมดโดนลอบสังหารตายหมดทั้งสิ้น
ส่วนคนที่อยู่ภายนอกนั้นก็ถูกจับตามองและตามล่า
นั่นคือสาเหตุให้โลแกนต้องจัดการส่งลูกชายคนเดียวออกไปในทันทีโดยมอบหมายให้เรย์ โนแลน หัวหน้าตระกูลขุนนางคนต่อไปทำหน้าที่
ในอาณาจักรลอเรตนั้นมีตระกูลขุนนางอยู่แปดตระกูลด้วยกัน
มีเพียงสองตระกูลเท่านั้นที่ไม่เข้าร่วมการก่อกบฏและช่วยปราบกบฏ สองตระกูลนี้คือตระกูลโนแลนและตระกูลคอลดอน
แน่นอนว่าเมื่อจบการกบฏ ตระกูลที่เหลือทั้งหกถูกล้างบางโดยกองทัพอาณาจักรลอเรตของโลแกนและกักขังไว้ในคุกพิเศษเพื่อที่จะประหารคนระดับสูงของหกตระกูลให้สิ้นซาก
มีเพียงหัวหน้าตระกูลขุนนางสองตระกูลคือฟาร์นเวนและฮอว์ควูดเท่านั้นที่รอดไปได้ด้วยบาดแผลสาหัส
เมื่อแคลได้พักผ่อนแล้วเขาก็ออกจากห้องของแคลและเดินไปที่ห้องบัลลังก์เพื่อประกาศการตั้งครรภ์ คนของเขาต่างแสดงความยินดีและชื่นชม เขารู้สึกกระอักกระอ่วนเสียมากกว่า
แม้ว่าจะเป็นจักรพรรดิเขาก็ไม่เคยได้รับการสั่งสอนการเป็นจักรพรรดิเพราะเขาเป็นผู้ครองบัลลังก์คนที่ห้าและเป็นเจ้าชายที่ห้าในอดีต เขารักอิสระและไร้การผูกมัดแต่ไม่มีทางเลือกนอกจากเป็นจักรพรรดิ เขาต้องรับตำแหน่งเพราะตระกูลของเขาในเมืองหลวงถูกสังหารจนหมด
มีเพียงน้องชายเจ็ดและแปดเท่านั้นที่รอดชีวิตในที่ใดสักแห่ง บางทีอาจจะผจญภัยอยู่ในพื้นที่อันตรายแต่เขาก็ไม่มีทางติดต่อพวกเขาเช่นกัน บางทีพวกเขาอาจจะตายโดยไม่เหลือซากศพให้ระบุตัวตนได้ด้วยซ้ำไป
เรื่องแบบนี้มิได้ผิดแปลก แต่จากที่เขาสืบมา ตระกูลขุนนางที่ก่อกบฏนั้นไม่รู้เรื่องน้องทั้งสองคนของเขาเลย ดังนั้นเขาจึงยังมีหวังอยู่บ้าง
โลแกนสูญเสียมากเกินไปจากสงครามภายใน และเขาก็เกลียดชังขุนนางหกตระกูลอย่างมาก เขาปรารถนาที่จะค้นหาและฆ่าหัวหน้าตระกูลฟาร์นเวินและฮอว์ควูดที่หนีไปให้ได้ คนเดียวที่สนับสนุนเขาคือภรรยา แคล และลูกชายดาวิสที่จะเป็นทายาทของเขา
แต่ในตอนนี้ เขารู้สึกห่างไกลจากลูกชาย แม้แต่ความสัมพันธ์ในครอบครัวก็กระอักกระอ่วน เขาจึงรู้สึกขมขื่นมากกว่า
บางแห่งในใจเขารู้สึกว่าเขาควรทำมันให้ถูกต้อง เมื่อถึงเวลากลางคืนหลังจากครุ่นคิดมากนาน เขาก็ตัดสินใจไปหาลูกชาย ดาวิส
======
ดาวิสอยู่ในห้องเรียน เขายังมีความอยากเรียนรู้เรื่องของโลกใบนี้จึงตั้งใจมองหนังสือมากมายบนชั้นหนังสือ ร่างเด็กเล็กนั้นมีผลต่อเขาอย่างมากและเขาก็รู้ดี
แม้ว่าเขาจะโหยหาครอบครัวที่อบอุ่นรักใคร่ในอดีต มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาต้องการในตอนนี้ แต่เขากลับได้ครอบครัวที่รักใคร่กลมเกลียวมาอย่างไม่คาดคิดผ่านร่างของเด็กที่เขาเข้าสิงและถึงกับสาบานว่าจะใช้ชีวิตส่วนที่เหลือให้ดี
เขารู้สึกว่าเขาไม่ควรทำให้ครอบครัวผิดหวัง อย่างน้อยก็เพื่อตัวเด็กที่เขายึดร่างไป
แต่ถึงอย่างนั้น แม้จะมีความมุ่งมั่นเช่นนี้ เขาก็ต้องสนใจเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นในวันนี้มากกว่า
*ก๊อก!*
“ดาวิส…”
เสียงดังมาจากอีกฟากประตู
มิใช่เสียงแข็งแต่เป็นเสียงที่ลังเล
“หืม? ท่านพ่อ?”
ดาวิสหันไปและลุกขึ้น เขาหรี่ตาและรู้สึกสับสนว่าเหตุใดพ่อถึงมาหาในเวลานี้ แต่เรื่องก่อนหน้านี้ก็ทำให้เขารู้ตัวอย่างรวดเร็ว
โลแกนเปิดประตูเข้ามามองหา มีหนังสือมากมายวางกองเป็นตั้ง
“เจ้ายังเรียนอยู่ตลอดเลยรึ?”
โลแกนหาเรื่องชวนคุย
“อื้ม…”
ดาวิสพยักหน้าอีกครั้ง
เพียงคำพูดคุยไม่กี่คำ แต่บทสนทนาก็ไม่ได้ก้าวไปไหน โลแกนรู้สึกอึดอัดมากกว่าเดิม เขาจึงตัดสินใจพูดตรง ๆ
“ดาวิส เรื่องก่อนหน้าน-”
“ข้าพูดได้หรือไม่?”
ดาวิสพูดขัด
โลแกนหยุดก่อนจะพยักหน้า
“เอาสิ”
ดาวิสสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะขยับริมฝีปาก
“ท่านพ่อ เป็นจริงที่ข้าเป็นตัวเอง แต่มันก็ยังไม่เปลี่ยนเรื่องที่ข้าเป็นลูกท่าน ในชีวิตที่แล้วมา ข้าไร้พ่อแม่พี่น้อง ข้าเป็นเพียงแค่เด็กกำพร้า”
“ตลอดชีวิตของข้ามีเพียงความลำพังไร้ซึ่งความรักจากครอบครัว ข้าไม่มีแม้แต่คนที่อยู่กับข้าในชีวิตนั้น และข้าก็อยู่คนเดียวตามลำพัง หากท่านอยากให้ไป ข้าจะออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้”
แต่แล้ว ดวงตาเขาก็ชื้นโดยไม่รู้ตัว
“แต่เพียงแค่…ขอแค่ ให้ข้าเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนี้ได้ไหม?”
น้ำตาไหลออกมาจากดวงตา ดวงตาที่มีโหยหาปรารถนาจะได้ความรักจากครอบครัว
โลแกนคุกเข่าและจับไหล่ลูกชาย
“เจ้าคือส่วนหนึ่งของครอบครัวนี้แล้ว”
เขาตอบอย่างหนักแน่น ดวงตาเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นต่ออนาคต