ตอนที่ 7 : เรื่องประหลาดใจ
ดาวิสลืมตาหลังจากไม่กี่นาที เขามิอาจเข้าใจในสิ่งที่เพิ่งจะเกิดขึ้นได้เลย แต่เขารู้สึกอย่างแน่นอนว่ามีสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปจากภายใน ราวกับว่าดวงวิญญาณของเขาเริ่มเปล่งแสงและมีรูปร่างขึ้นมา
เขายังบอกได้อีกว่าเขาเรียกความทรงจำเก่ามาได้อย่างสมจริงราวกับกำลังเผชิญมันอยู่ มันทำให้เขาทึ่ง
แคลเช็ดน้ำตาของดาวิสและยิ้มอย่างภาคภูมิใจ
“เจ้าทำให้แม่ภูมิใจยิ่งนัก ดาวิส!”
‘เดี๋ยวสิ? เราร้องไห้เหรอ?’
ดาวิสมิอาจเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับดวงวิญญาณเขาและกำลังจะถามด้วยความอยากรู้
“ทะ…ท่านแม่ เกิดอะไรขึ้นกับข้ารึ?”
“ดาวิส เจ้าเพิ่งจะข้ามมาเป็นขั้นก่อวิญญาณ!”
แคลอุทานอย่างมีความสุข น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ แต่ในขณะเดียวกันเสียงก็ฟังดูปลื้มใจด้วย
“ขั้นก่อวิญญาณ? มันคืออะไรกัน?”
ดาวิสเริ่มจะเกิดความคิดเรื่องนี้เพราะเขาได้ยินมาขณะที่เรียนแต่ก็ถามออกไปอยู่ดี
แคลหัวเราะชอบใจ
“เจ้าโง่ เรื่องนี้น่ะเจ้าต้องรู้เรื่องระบบบ่มเพาะก่อน แม่จะอธิบายช้า ๆ นะ”
ดาวิสตื่นเต้นที่จะรู้เรื่องนี้ เขาเคยเห็นสัตว์อสูรอย่างไวเวิร์นและสัตว์อสูรตัวอื่นและแม้แต่คนที่บินนอกราชปราสาท คงเป็นเรื่องโกหกถ้าบอกว่าเขาไม่สนใจเลย
“ระบบบ่มเพาะน่ะมีสามประเภท”
แคลเริ่มอธิบาย
“อย่างแรกคือการบ่มเพาะรวมแก่นแท้ อย่างที่สองคือการบ่มเพาะกาย และสามคือบ่มเพาะวิญญาณ”
แคลยิ้มและชี้ที่หน้าผากของเขา
“ที่เจ้าเพิ่งจะสำเร็จนั่นคือการบ่มเพาะวิญญาณขั้นแรกหรือก็คือขั้นก่อวิญญาณ เจ้าทำสิ่งที่ไม่น่าเชื่อแล้วล่ะดาวิส ตามปกติมีแค่คนที่ถึงระบบบ่มเพาะรวมแก่นแท้ขั้นสามหรือเรียกว่าขั้นหมุนเวียนแก่นแท้ที่จะพัฒนาการบ่มเพาะวิญญาณขึ้นได้เพราะดวงวิญญาณมนุษย์นั้นอ่อนแอ”
“เจ้ายังรับรู้ไม่ได้ จนกระทั่งถึงขั้นหมุนเวียนแก่นแท้…”
ดาวิสรู้สึกยากที่เขาจะทำสิ่งนี้ได้ด้วยอายุเท่าเขาในคำพูดของนาง แต่ดูจากอายุจริงแล้ว บางทีอาจจะเป็นอายุของดวงวิญญาณ เขารู้สึกว่ามันน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของเขา
แต่ถึงแม้ว่าจะมีอายุร้อยปีแบบมนุษย์ธรรมดา มนุษย์คนนั้นก็มิอาจสัมผัสดวงวิญญาณได้ ดาวิสเดาเรื่องนี้ได้แต่ก็ลืมที่จะคิดถึงมัน
ที่จริงแล้วดาวิสมาถึงขั้นก่อวิญญาณได้เพราะสองเงื่อนไข หนึ่งคือดวงวิญญาณที่แข็งแกร่งขึ้นเพราะศิลาข้ามโลกและเรื่องที่เขาสยบอสูรดวงใจที่เขาไม่รู้ตัวเลย
ดาวิสใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าจะเข้าใจที่นางพูด
“ดาวิส!”
แคลเรียกเขาด้วยใบหน้าจริงจัง
“แม่?”
เขาตื่นจากภวังค์
“เจ้าเรียกความทรงจำจากชาติที่แล้วได้รึเปล่า?”
*ตู้ม!*
ดาวิสเหมือนกับแมวที่โดนเหยียบหาง! เขาก้าวถอยหลังทันทีเพราะเขาไม่คาดคิดเรื่องนี้มาก่อน หรือจะบอกว่าเขาลืมคิดเรื่องนี้เพราะความรู้เก่าจนเผลอลืมตัว
แคลกอดเข้าอีกครั้งในทันทีไม่ปล่อยให้เขาไปไหน
“ไม่เป็นไรนะดาวิส เจ้าไม่ต้องพูดอะไร เจ้ายังเป็นลูกแม่อยู่ เรื่องนี้ไม่แปรเปลี่ยนไปเลย”
นางรีบพูดปลอบเขา
“ท่านแม่ ข้าขอโทษ…”
ดาวิสเริ่มร้องไห้น้ำตานองแก้ม เขาทำได้แค่ให้นางเข้าใจผิดต่อไป จะโกหกไปก็ไม่มีประโยชน์เพราะนางสงสัยเขาแล้ว เขาเลยปล่อยเลยตามเลย
แคลยิ้มเมื่อเห็นดาวิสร้องไห้ นางมั่นใจว่าเขายังคงเป็นลูกชายนางและไม่ใช่อสูรโบราณกาล ด้วยความบริสุทธิ์ของภาวะอารมณ์ นางรู้สึกว่าสิ่งนี้มิใช่ของปลอม มิได้ปลอมได้โดยง่าย
พวกเขาอยู่ด้วยกันแบบนี้ในระยะเวลาหนึ่ง บางทีอาจจะเพราะทั้งคู่ที่รู้สึกหวั่นใจ
หลังจากเวลาที่แม่ลูกได้อยู่ร่วมกัน ดาวิสก็ตัดสินใจด้วยหัวใจทั้งดวงว่าจะเป็นลูกของนางทั้งร่างกายและจิตใจ เพราะมันไม่ดีถ้าหากเขาจะโกงความรู้สึกอันบริสุทธิ์นี้
อย่างน้อยเขาก็รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่เขาทำได้น้อยที่สุดเพื่อดาวิสที่ตายไป
“ดาวิส เรียกพ่อเจ้ามาที่นี่แล้วเล่าเรื่องของเรากันดีไหม?”
แคลนับตัวเองรวมไปกับเรื่องของดาวิส
แต่ถ้าเขาอยากจะปิดบังความจริงจนชั่วชีวิต นางก็อยากจะเคารพความเป็นตัวตนของเขา
“ท่านแม่ จะไม่เป็นไรรึ? ท่านพ่อจะโกรธรึเปล่า?”
ดาวิสวิตก
ถ้าหากมีคนรู้ความจริงนี้ ชีวิตเขาจะตกอยู่ในอันตราย
โลแกนพ่อของดาวิสได้ชวนเขาไปเล่นด้วยหลายครั้ง แม้จะเข้มงวดกว่า มันเป็นเพราะเขาอยากให้ลูกชายเข้มแข็งเมื่อเจอความยากลำบาก
ดาวิสนั้นรู้สึกว่าพ่อของเขามีภาระมากมายบนบ่า พวกเขาจึงไม่ได้ผูกพันกันในระดับของเขาและแคล
“พ่อเจ้าต้องโกรธแน่ถ้าเจ้าไม่บอก ถ้าเจ้าเป็นคนพูดเขาจะเริ่มเชื่อและไว้ใจเจ้าเลยล่ะ ที่จริงพ่อน่ะเป็นคนง่าย ๆ ไม่ได้เข้มงวดเลย ถ้าเจ้าไม่บอก เขาอาจจะไม่เชื่อใจเจ้าเพราะไม่มีทางที่เจ้าจะปิดบังพลังที่เจ้าบ่มเพาะได้ในตอนนี้”
แคลอธิบายด้วยความตั้งใจดีที่สุด
นางยังเชื่อว่าโลแกนจะเชื่อคำพูดของนางและไม่อันตรายกับดาวิส
“อืม ข้าเชื่อท่านแม่นะ…”
ดาวิสพูดอย่างเศร้าหมองด้วยสีหน้าน่าทนุถนอม เขาเชื่อว่าแม้เรื่องราวจะพลิกผันไป บางทีแม่ก็อาจจะปกป้องเขาได้
ที่เขาเห็น แม้จักรพรรดิจะดูเป็นคนที่มีสถานะสูงที่สุด เขาก็ปฏิบัติต่อราชินีซึ่งเป็นแม่ของเขาอย่างเท่าเทียม และบางครั้งก็ใจอ่อนให้นางด้วย
“น่ารักจริง ๆ…”
แคลหยิกแก้มเขาราวกับอดไม่ได้กับความน่ารักนี้
แคลติดต่อสามีผ่านคริสตัลขนาดเท่ากำปั้น บอกเขาว่านางต้องการพบเขาเดี๋ยวนี้
“ท่านแม่ นั่นอะไรน่ะ?”
“นี่เหรอ? มันคือคริสตัลสื่อสาร มันใช้ติดต่อใครก็ได้ที่มีคริสตัลอีกครึ่งหนึ่ง คริสตัลมีหลายประเภท แม่จะเล่าให้ฟังทีหลังนะ”
ดาวิสพยักหน้าเมื่อนางอธิบาย
ไม่กี่วินาทีต่อมา
โลแกนเปิดประตูห้่องเรียนและปิดประตู เขามีสีหน้าดุดัน แต่จู่ ๆ สีหน้าของเขาก็ร่าเริงขึ้นมา
“ฮ่าฮ่าฮ่า มีอะไรเหรอที่รัก? มีเรื่องสำคัญอะไรที่ทำให้ข้าต้องรีบมาที่นี่ตามลำพัง?”
โลแกนเห็นแววตาประหลาดของลูกชายและตกตะลึง
“ขั้นก่อวิญญาณ!?”
เขาไม่อยากจะเชื่อสัมผัสของตัวเอง!
ดาวิสกับแคลมองหน้ากันและพยักหน้า
โลแกนเริ่มสังเกตเห็นความตึงเครียดในห้อง
“โลแกน ดาวิสกับข้ามีเรื่องสำคัญจะบอกเจ้า”
แคลบอกด้วยสีหน้าสงบ
“หืม? เจ้ากับดาวิสรึ? พูดให้ข้าฟังสิ…”
โลแกนเปิดม่านพลังที่สร้างจากพลังวิญญาณเมื่อรู้ว่ามันเป็นเรื่องสำคัญ
พลังวิญญาณนั้นเป็นพลังประเภทหนึ่งที่มาจากแก่นของวิญญาณ ยิ่งบ่มเพาะวิญญาณมากเท่าใดก็จะยิ่งมีพลังวิญญาณที่เพิ่มมากขึ้นและแข็งแกร่งขึ้น
แคลอธิบายเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่นาทีก่อน
“เจ้าจะบอกว่าลูกของเราได้รับความทรงจำจากชาติที่แล้วรึ?”
โลแกนทำหน้าประหลาด
“รวม ๆ แล้วก็ใช่…”
แคลทำหน้าสิ้นหวัง
เป็นบรรยากาศแห่งความเงียบ แทบจะอึดอัด
โลแกนหายใจเข้าลึกมองดาวิส แต่สายตานั้นไม่ใช่สายตาที่มองลูกชายอีกต่อไป เขาปล่อยแรงกดันรุนแรงออกมาจากดวงวิญญาณ
ดาวิสตัวสั่น สายตาของพ่อเขานั้นเฉียบคม และทันใดนั้นแรงกดดันก็ปกคลุมเขาอย่างรุนแรง เขารู้สึกราวกับว่าดวงวิญญาณในระหว่างคิ้วกำลังถูกกดทับทำให้เขาขยับไม่ได้แม้แต่นิ้วมือ!
“โลแกน!”
แคลปกป้องลูกชายโดยการก้าวมาข้างหน้า
“เงียบก่อน! ข้าแค่อยากจะถามเขาในตอนนี้”
สีหน้าโลแกนไม่มั่นคง เขาเหวี่ยงแขน แคลตกใจอย่างมาก
“แกเป็นใคร?”
โลแกนถามด้วยเสียงน่ากลัว
“ดาวิส…”
ดาวิสตอบโดยไม่เปลี่ยนสีหน้ามากนัก
เขาคาดเดาเรื่องนี้มาก่อนอยู่แล้ว เขารู้สึกว่าถ้าเป็นเขาเองก็คงจะทำแบบเดียวกันเพื่อยืนยันความสงสัยด้วยวิธีการหนึ่ง
“โกหก! แกต้องการอะไร?”
“ท่านพ่อ ข้าไม่ได้โกหกนะ!”
ดาวิสน้ำตาไหลอย่างไม่ตั้งใจ เขาไม่ได้ต้องการอะไรเลยและร่างกายที่ยังไม่ทันเติบโตก็มิอาจควบคุมอารมณ์ได้เมื่อโดนตำหนิและใส่ร้ายโดยคนที่เขานับว่าเป็นพ่อ
“อย่ามาเรียกข้าว่าพ่อ!”
โลแกนสีหน้าหนักใจ
“ท่านพ่อ ได้โปรด…”
ดาวิสพูดเบา ๆ
เขาไม่อยากจะสร้างความเหินห่างระหว่างพวกเขาสามคน เขาใบสีหน้าเศร้าหมอง เขารู้สึกราวกับว่าทนไม่ไหวอีกแล้ว
“โลแกน! เจ้าทำเกินไปแล้ว”
แคลตะโกนด้วยความโกรธเกรี้ยว
โลแกนถอนหายใจและถอนแรงกดดันออก เขามองลูกอีกครั้ง สายตานั้นกลับมาเป็นสายตาที่พ่อมองลูกแล้ว
“อย่างน้อยก็เล่าให้ข้าฟังว่าเจ้าเป็นแค่คนธรรมดาหรือตัวตนที่สูงกว่าอย่างผู้บ่มเพาะพลังหรือมากว่านั้นมาที?”
“ข้าเป็นคนธรรมดา”
หลังจากความเงียบ ดาวิสก็เลือกตอบโดยไม่ละสายตา สายตาเขาเปล่งประกายความบริสุทธิ์อย่างไร้ความคิดร้าย
โลแกนรู้สึกได้ถึงดวงวิญญาณที่สั่นไหวขณะที่ดาวิสพูด ถ้าเขาโกหกโลแกนจะต้องรู้แน่ มันไม่มีการสั่นไหวแปลก ๆ ในดวงวิญญาณ อย่างน้อยเขาก็ยืนยันได้ว่าลูกชายไม่ได้โกหก
บางทีอาจจะมีแค่คนที่โกหกอย่างเชี่ยวชาญเท่านั้นที่จะควบคุมการสั่นไหววิญญาณได้ แต่เขาไม่เห็นว่าลูกชายเป็นคนเช่นนั้น
โลแกนถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เขาอุ้มดาวิสสู่อ้อมแขนและกระซิบ
“พ่อขอโทษ”
“ข้าต้องทำแบบนี้เพื่อความปลอดภัยของครอบครัวเรา”
ดาวิสพยักหน้าและไม่เก็บมันใส่ใจ เขารู้ว่าพ่อทำลงไปเพราะห่วงความปลอดภัยของครอบครัวและจะต้องเป็นห่วงลูกชายมาก เขารู้อดีตของพ่อและมันเป็นเรื่องซับซ้อนหนักหนา หากจะอธิบายเพียงเท่านี้
แคลเดินมาหาพวกเขาด้วยความชื่นใจ
ครอบครัวได้สวมกอดกัน บางทีอาจเพราะไม่รู้สึกหวั่นไหวอีกแล้ว พวกเขากอดกันอย่างอบอุ่นหัวใจ มันเป็นความรู้สึกดีที่สุดที่พวกเขาเคยรู้สึกมา
“โลแกน เจ้าแกล้งกันเกินไปแล้ว…”
แคลแหย่โลแกนเพื่อพยายามจะลดบรรยากาศที่ตึงเครียดให้น้อยลง
“ข้ารู้ ข้าขอโทษ”
โลแกนเลือกที่จะจบเรื่องน่าอายแต่ก็สำคัญนี้ไว้
มีตำนานมากมายเกินไปบนโลกที่เขาจะเมินความประหลาดของลูกชายได้ เท่าที่เขารู้มานั้นไม่มีใครเลยที่ทะลวงพลังเป็นขั้นก่อวิญญาณเมื่ออายุเพียงสามปี และโดยที่ไม่ได้มีพลังในขั้นหมุนเวียนแก่นแท้ด้วย
เขารู้สึกว่าลูกชายเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดบนโลกใบนี้ ดังนั้นเขาจึงอยากจะมั่นใจว่าลูกของเขาที่ดูเหมือนจะได้ความทรงจำจากชาติที่แล้วมาไม่เป็นภัย!
อันที่จริง เขาไม่รู้ว่าจะมองหน้าลูกชายอย่างไรอีก เขาถึงกับอึดอัดเมื่อได้เจอลูกชายเพราะคิดว่าลูกชายอาจจะเคยเป็นชายแก่มาก่อน
แต่เมื่อมองใบหน้าและดวงตาของลูกชายที่ละม้ายคล้ายกับเขาและมีเส้นผมบลอนด์เหมือนกับแม่ เขาก็ไม่มีข้อกังขาอีก เพราะดาวิสคือลูกของเขา ลูกของพวกเขา
และเขาเองก็ยืนยันไปห้องสายโลหิตไปแล้วด้วยหลังจากที่ลูกชายกลับมา
ดาวิสหัวเราะเบา ๆ ทำให้พวกเขาหัวเราะไปด้วยด้วยความไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีกต่อไปอีกแล้ว
“ฮ่าฮ่าฮ่า~”
ทั้งสามหัวเราะกันราวครอบครัวปกติ แต่เสียงหัวเราะนั้นก็ทำให้บรรยากาศตึงเครียดจางหายไป
ดาวิสรู้สึกเขินอายที่หลั่งน้ำตาออกมาแต่ก็คิดว่ามันเป็นเพราะร่างของเด็กที่ยังไม่โต และมันก็สมเหตุสมผลเพราะเขายังมีความเป็นเด็กอยู่
‘ครั้งสุดท้ายที่เราร้องไห้บนโลกมันเมื่อไหร่กันนะ? สิบปีก่อน? สิบห้าปีก่อน?’
เขาตลกตัวเอง
แม้ว่าเขาจะรู้สึกผิดที่ไม่ได้บอกความจริงที่แบกรับว่าเขาฆ่าลูกชายของพ่อและแม่ เขาก็มีความสุขตราบเท่าที่พ่อและแม่คิดว่ามี ‘ดาวิส’ อีกคนอยู่ในตัวลูกชาย นี่ทำให้เขาขจัดความรู้สึกผิดที่เก็บซ่อนเอาไว้ได้ทั้งหมด
แม้พวกเขาจะเข้าใจผิด แต่มันก็เหมือนกับว่าพวกเขาเข้าใจในส่วนอื่นที่เขาไม่รู้ว่าดาวิสเป็นคนฆ่าดาวิสคนแรกโดยบังเอิญและสิงร่างนี้มา
ซึ่งที่จริงแล้วเขาก็อยากจะให้มันเป็นแบบนี้ต่อไป
แคลสีหน้าเปลี่ยนไปในทันทีราวกับว่าทนบางอย่างไม่ไหว นางรีบไปที่ห้องน้ำขณะที่ปิดปากไว้ด้วยมือ
“ท่านแม่!”
“แคล!”
ทั้งสองตะโกนพร้อมกันด้วยความเป็นห่วง
เสียงอาเจียนดังมาจากในห้องน้ำและเมื่อผ่านเวลาไปครู่หนึ่ง…แคลก็เดินออกมาด้วยสีหน้าเขินอาย
“...ดูเหมือนว่าข้าจะท้องน่ะ”