ตอนที่ 473 ความทรงจำสีเทา
“ท่านแม่ทัพน่าจะเสร็จแล้ว” เสี่ยวหลานไม่แน่ใจ
“ผ่านไปราวห้าชั่วโมง ก็น่าจะได้เวลาแล้ว” อาซิ่นพึมพำ “ถ้าแม่ทัพยังไม่เสร็จ ข้าว่าน่าจะให้คำแนะนำนาง ในฐานะผู้บัญชาการทหาร เราจะปล่อยให้ความรัก...”
คำพูดของเขาขาดคำเพียงเท่านี้ เนื่องจากเสี่ยวหลานใช้มือจับเขายก
“เฮ้ เฮ้ เฮ้, ผู้หญิงดุร้าย, ปล่อยข้าลงนะ...”
เสี่ยวหลานแก้ตัวกับเขา “ใครต้องการให้เจ้าสั่งสอนผู้บัญชาการ? ข้าจะสั่งสอนเจ้าแทนท่านแม่ทัพ”
“บริวารตาบอด! เจ้าก็เป็นบริวารตาบอดคนหนึ่ง!” อาซิ่นรู้สึกขมขื่นใจ “ผู้หญิงมีอกโตแต่สมองน้อยจริงๆ....”
“ข้าต้องการติดตามอย่างตาบอด!” เสี่ยวหลานพูดด้วยใบหน้าเย็นชา “สาวอกใหญ่สมองน้อย เฮ้อ.. เจ้าคงรอพูดอย่างนี้มานานแล้วสินะ !”
อาซิ่นรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ สีหน้าเขาเปลี่ยน ขณะเขาพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “นั่นเป็นคำชมเชยจริงๆ นะ! อกโตเป็นคำชมเชย สมองน้อยก็คือไม่มีปัญหากับคนอื่น แต่สำหรับเจ้า เป็นการชมกันตรงๆ นี่คือภาพที่แท้จริงจากสัญชาตญาณการต่อสู้ของเจ้าหรือเปล่า อย่าบอกข้านะว่าเมื่อเจ้ากำลังสู้ เจ้าใช้สมองสู้?”
“เจ้าจะใช้สมองในเวลาต่อสู้ได้ยังไง?” หน้าของเสี่ยวหลานผ่อนคลาย
“ก็ถูกแล้วไง นี่คือรูปแบบการต่อสู้ที่สาวๆควรเป็น สัญชาตญาณสูงกว่าระดับมาตรฐานนักสู้เมื่อพูดถึงเรื่องสัญชาตญาณทั้งหมด” จากนั้นอาซิ่นเสริมต่อ “ภายใต้สภาพได้เปรียบอย่างนั้น เจ้ายังคงรักษาอกโตๆ ของเจ้าไว้ได้ สาวน้อย เจ้าสมบูรณ์แบบ!”
“แม่ทัพนั่นแหละเป็นคนสมบูรณ์แบบ!” เสี่ยวหลานไม่ขยับ “มีอกโตมันดียังไง? ถ่วงน้ำหนัก ส่งผลกับการต่อสู้ของข้า”
“ว้า.. คุณค่าของเจ้าต้องถูกพวกป่าเถื่อนในกลุ่มดาวคนแบกงูบิดเบือนเป็นแน่ อกใหญ่สิดี..” อาซิ่นจีบปากจีบคอกะล่อนตลอดทางในที่สุดก็เอาตัวรอดได้
เมื่อทั้งสองมาถึงประตูดวงดาวบรอนซ์ เชียนฮุ่ยก็นั่งตัวตรงรอพวกเขาอยู่แล้ว
พวกเขามองหน้ากันและกันด้วยสีหน้าประหลาดใจ
แม่ทัพดูเหมือนมีท่าทีแปลกไปบ้าง...
ทั้งสองคนได้ต่อสู้ร่วมกันมาหลายต่อหลายครั้ง จนพวกเขาไวต่อความรู้สึก แม้ว่าเชียนฮุ่ยจะดูเหมือนว่านางนั่งเหมือนปกติ แต่ราศีของนางที่แผ่ออกมาจากร่างเยือกเย็นและจริงจังกว่าเดิม
นางเข้มแข็มขึ้น....
อาซิ่นตกตะลึงพูดไม่ออก เชียนฮุ่ยคืออัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุด เท่าที่เขาเคยเห็น และเขาบอกได้ชัดว่านางไม่เคยได้รับการฝึกฝนในโรงเรียนนายทหารมาก่อน เหมือนกับว่านางมีพรสวรรค์ล่วงรู้วิธีสู้
เมื่ออาซิ่นพบเชียนฮุ่ยครั้งแรก แม้ว่าเขามีขนาดกองทัพเพียงหนึ่งในห้าเมื่อเทียบกับนาง เขาเกือบพลิกสถานการณ์การต่อสู้ได้ เวลานั้น เขามีความประทับใจเชียนฮุ่ยซึ่งเป็นผู้บัญชาการทหารธรรมดา
แต่เมื่อมีการต่อสู้ เขาได้เห็นกับตาตนเองว่าเชียนฮุ่ยยังคงเรียนรู้จากทุกการต่อสู้ และเข้มแข็งขึ้นต่อไป แม้ในการรบที่รุนแรงที่สุด นางก็ยังรักษาความสงบได้ สมรภูมิโบราณมีวิญญาณนับไม่ถ้วนวนเวียนล่องลอยอยู่กลายเป็นสถานที่ดีที่สุดให้นางได้เรียนรู้
ขณะนั้น อาซิ่นเชื่อแล้ว นอกจากอ่อนประสบการณ์ เชียนฮุ่ยไม่แพ้เขาในเรื่องปัจจัยอย่างอื่น
แต่ขณะเดียวกัน...
ราศีเยือกเย็นของเชียนฮุ่ยแผ่อยู่รอบตัวนาง ทำให้เขารู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของนาง เชียนฮุ่ยคนเดิมจะหลักแหลมและมีรายละเอียดที่คุ้นเคย แต่ในสายตาของอาซิ่น นางยังขาดราศีที่สยบขวัญซึ่งแม่ทัพผู้มีชื่อเสียงมีกัน ราศีสยบขวัญที่คุ้นเคยมาจากความรู้สึกมั่นใจในตนเองของแม่ทัพผู้แข็งแกร่ง ความละเอียดรอบคอบทุกอย่างเป็นไปเพื่อชัยชนะ
เชียนฮุ่ยในเวลานี้เปล่งประกายราศีที่สยบขวัญ
ตาของนางจริงจังและสงบมากทำให้เขาหัวใจของเขาเต้นรัว นางนั่งตัวตั้งตรงเหมือนกระบี่ที่หลุดจากฝักปลดปล่อยรังสีแหลมคมเกิดความน่ากลัวทุกทิศทาง
ไม่มีใครหยุดนางได้!
สตรีผู้นี้น่ากลัวอย่างแท้จริง
อาซิ่นซึ่งยังตกอยู่ในอาการตะลึง ได้ยินเสียงเชียนฮุ่ยพูดอย่างใจเย็น
“ใช้ประตูดวงดาวนี้เป็นจุดศูนย์กลาง สร้างแนวป้องกันตามระดับจนสูงสุด แบ่งคนของเราครึ่งหนึ่งเฝ้าที่นี่ไว้ เราจะออกไปที่หุบเขาแดง”
น้ำเสียงของนางสงบ แต่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นอย่างมิต้องสงสัย
อาซิ่นเงยหน้าทันที ใบหน้ามีแววตกตะลึง
หุบเขาแดง!
ตั้งแต่ถังเทียนกลับออกมาจากค่ายหมายเลขเจ็ด เขากลายเป็นคนเลือดร้อน ใบหน้ามีความโกรธ มีรังสีอำมหิตเต็มที่ ราวกับมีไฟลุกโชนอยู่ในอก เพลิงที่ลุกโชติช่วงเป็นประวัติการณ์กำลังแผดเผาเขาให้มอดไหม้เหลือแต่เถ้าถ่าน
ข้าสัญญากับเชียนฮุ่ยไว้แล้ว!
เขาเรียกติงตังและขอให้นางช่วยสืบเรื่องดวงตาแห่งเซกซ์แทนส์และตาพลังดวงดาวของกลุ่มดาววาฬ จากนั้นเขารีบไปหาปิง
ปิงทุ่มเทจิตใจและความพยายามอยู่กับโครงการพญาหมีเมื่อเร็วๆ นี้ แม้ว่าเขาจะมีความรอบรู้เล็กน้อยในเรื่องวิทยายุทธเจาะจง แต่เขารู้ว่าอะไรสำคัญที่สุดและจำเป็นต่อกองทัพ คำแนะนำของเขามักทำให้ผู้เกี่ยวข้องผู้เชี่ยวชาญโลหิตวิทยา หรือนักสู้ที่ถูกคัดเลือกซึ่งมีทฤษฎีที่ดีล้วนชื่นชมสรรเสริญปิง
ในห้องปฏิบัติการ พายุวังวนกระบี่ขนาดเล็กสามจุดหมุนอย่างรวดเร็ว รังสีกระบี่ส่งเสียงหวีดหวิวหนาแน่นเต็มไปทั่วห้อง
ทุกคนมองดูและจดบันทึก
พายุวังวนกระบี่ทั้งสามมีขนาดเล็กปรับแต่งมาเพื่อพวกเขา ความเข้มข้นของพายุมีขนาดเพียงครึ่งเดียวของวิชาวังวนกระบี่ทอนวิญญาณ พวกเขาได้ค้นพบสิ่งสำคัญต่างๆ ตัวอย่างเช่น บรรดารังสีทั้งหมด รังสีกระบี่มีผลต่อพลังงานดีที่สุด นอกจากนี้ความสามารถทางกายภาพหลังจากนั้นก็ยังเกี่ยวข้องกับระดับของปราณแท้ก่อนแปลงพลัง ยิ่งปราณแท้มีระดับสูง ผลของการแปลงพลังงานให้ผลดีกว่า และความสามารถทางกายภาพของนักสู้จะมีความน่าทึ่งมากยิ่งขึ้น
เกี่ยวกับสถานการณ์เช่นนี้ ปิงประยุกต์หัวข้อสำหรับการฝึกฝนทหาร เพื่อที่ว่าเวลาร้อยละแปดสิบถูกใช้ไปเพื่อฝึกปราณแท้ การเลือกวิชาฝึกทางจิตนั้นมีความรุนแรงมาก เรียกว่าวิชา “คุมโลหิต” ซึ่งเป็นวิชาที่ตกทอดมาจากสำนักโบราณนามว่าเจียงชิง การคุมโลหิตเป็นการฝึกจิตแบบเร่งรัด ต่างจากการฝึกจิตอย่างอื่นซึ่งใช้ปราณแท้โคจรอยู่ในเส้นชีพจร หลักการของวิชาคุมโลหิตก็คือบังคับให้ปราณแท้เข้าไปในกระแสเลือดและด้วยการช่วยเหลือของการไหลเวียนของโลหิต พลังงานจะถูกส่งผ่านไปทั่วร่างกาย ประโยชน์อีกประการหนึ่งคือ ไม่มีอุปสรรคที่ต้องเอาชนะ ดังนั้นกระบวนการของพลังจะมีความมั่นคงมาก
การคุมโลหิตมีผลที่รวดเร็ว ไม่มีอุปสรรคในการฝึก แต่คนไม่ค่อยรู้เรื่องข้อบกพร่องที่เห็นได้ชัดตามธรรมชาติ หนึ่งในนั้นก็คือขณะที่เลือดกำลังไหลเวียน ความเจ็บปวดจะรู้สึกเหมือนกับมีมีดอยู่ภายในร่างกาย อีกประการหนึ่งปราณแท้ไม่ได้ถูกขัดเกลา จึงมีความแตกต่างกันมาก ดังนั้นจึงทำให้มีความเสียหายที่มองไม่เห็นอยู่มาก
ทำไมปิงถึงกล้าใช้วิชาฝึกจิตที่สุดโต่งอย่างนั้น เพราะเขาได้มีการค้นพบที่น่าทึ่งขณะทดสอบกับการเคี่ยวพลังงาน การเคี่ยวพลังงานนั้นสามารถลบล้างความเสียหายทั้งหมดที่มองไม่เห็นในร่างกาย
แม้แต่เซียนเภสัชติงม่านก็ยังประหลาดใจกับการค้นพบครั้งนี้ นางตั้งใจเอาไปผสานกับวิชาการใช้ยาของนาง
นักสู้ชาวหมาป่าเป็นชุดแรกที่ผ่านกระบวนเคี่ยวพลังนี้ ปราณแท้ของพวกเขาถึงระดับแปด และหลังจากผ่านกระบวนการเคี่ยวพลังงาน ร่างกายของพวกเขาเทียบเท่ากับนักสู้ที่มีพลังสายเลือดระดับทอง
นอกจากนี้พวกเขายังพบว่า แม้ว่าร่างกายจะมีพลังกายเป็นศูนย์ก็ไม่มีความสามารถลึกลับที่แตกต่างของพลังสายเลือดเลย แต่มีปัจจัยที่เป็นเอกลักษณ์ เนื่องจากมันลบปราณแท้หายไปตามธรรมชาติ แน่นอนว่าหลังจากปราณแท้ในร่างกายเป็นศูนย์ ความเสียหายใดๆ ที่เกิดขึ้นจะลดลงอย่างมาก
ปิงรู้สึกดีเกี่ยวกับเรื่องนั้น เขารู้ดี เพียงจุดนี้ ร่างกายที่มีพลังเป็นศูนย์จะกลายเป็นเอกลักษณ์ที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงซึ่งไม่ด้อยไปกว่าพลังสายเลือดเลย!
นักสู้ที่มีพลังกายเป็นศูนย์จะมีความสามารถเอาตัวรอดในสนามรบที่แข็งแกร่งมากกว่า
และเนื่องจากเทียบได้กับพลังสายเลือดที่มีราคาสูงมาก การเคี่ยวพลังมีค่าใช้จ่ายถูกกว่ามาก และเหมาะกับคนทั่วไป
เมื่อคิดว่าประชาชนชาวหมาป่าหกแสนคนใช้วิธีคุมโลหิต เพียง 10% ของพวกเขาสามารถฝึกปราณแท้จนถึงระดับแปดได้ นั่นจะเป็นคนหกหมื่นคน! กองทัพใหญ่นักสู้ระดับทองหกหมื่นคน นั่นจะสามารถกวาดไปทั่วสวรรค์วิถีได้แน่นอน และมีความสามารถจะกำจัดและทำลายกลุ่มดาวทั้งสองได้อย่างเป็นจังหวะ
จิ่งหาวและพวกอีกสองคนอยู่ในกระบวนการขัดเกลารอบที่สอง พวกเขาเคี่ยวพลังงานสำเร็จแล้ว และตอนนี้กำลังขัดเกลาจิตวิญญาณยุทธของพวกเขา แม้ว่าผลของพายุวังวนกระบี่ประยุกต์จะไม่โดดเด่นเท่ากับวิชาวังวนกระบี่ทอนวิญญาณ แต่ก็สามารถขัดเกลาจิตวิญญาณยุทธได้และปลอดภัยกว่า มีความทรมานที่ลดลงอย่างมากมาย
แต่ก็ยังโดดเด่นมากกว่าเมื่อเทียบกับเคล็ดการขัดเกลาจิตวิญญาณยุทธอย่างอื่น
“ลุง, ลุง!”
เห็นได้ชัดว่าปิงอยู่ห่างไกลมาก ปิงพูดกับคนที่เหลือสองสามเรื่อง จากนั้นเขาเดินออกมา
“เจ้าหาเงินได้หรือ?” ปิงพ่นควันเป็นวงได้อย่างง่ายดาย ทำตัวราวกับเป็นหัวหน้ามาเฟีย
“ข้าพบเชียนฮุ่ยแล้ว! ฮ่าฮ่า! ข้าพบเชียนฮุ่ย!” ถังเทียนเต็มไปด้วยอารมณ์ตื่นต้นและดีใจ
ปิงตะลึง หน้าของเขามีแววตกใจ “เจ้าพบนางที่ไหน?”
“ไม่ใช่อย่างนั้น!” ถังเทียนตบหน้าผากเขา“ข้ายังหานางไม่พบ แต่ข้าติดต่อนางได้”
“เจ้าฝันไปหรือเปล่า?” ปิงมองถังเทียนด้วยท่าทางสงสัย
“เป็นความจริง!” ถังเทียนจ้อง“ตอนข้าอยู่ในค่ายหมายเลขเจ็ด ที่ประตูดวงดาวบรอนซ์!”
ปิงชะงักชั่วขณะ แน่นอน เขารู้ว่าประตูดวงดาวบรอนซ์สามารถใช้ติดต่อสื่อสารได้ สีหน้าของเขาจริงจัง “นางอยู่ที่ไหน?”
“สมรภูมิโบราณ เป็นสมรภูมิสุดท้ายระหว่างสามกองทัพใหญ่” ถังเทียนเกาศีรษะ พยายามเค้นความทรงจำ “โอว เชียนฮุ่ยบอก นางพบกับขุนพลวิญญาณจากกองทัพดาวกางเขนใต้ เขาชื่ออาซิ่น”
บุหรี่ในง่ามนิ้วปิงตกร่วงลงกับพื้น
เหมือนกับว่าเขาถูกฟ้าผ่า จิตใจว่างเปล่า ภาพสีเทาปรากฏผ่านเข้ามาในใจ เขาสั่นสะท้าน
ใบหน้าที่มีควันบังยังชัดเจนสำหรับเขา
****************************
“โอ๊ย เราเกือบแพ้พวกเขาแล้ว
ประตูของชุดอาวุธจักรกลที่จมน้ำครึ่งหนึ่งเปิดออก บุรุษร่างผอมพึมพำขณะที่เขากระโดดออกมา
บุรุษหนุ่มเปิดประตูของอาวุธจักรกลขณะที่เขาอ้าปากหอบหายใจ เขาเหนื่อยมากจนไม่สามารถขยับนิ้วได้ กลิ่นควันดินปืนลอยอยู่ในอกาศจนแทบหายใจไม่ออก
“นี่ดูไม่ดีเลย” อาซิ่นพึมพำกับตนเองขณะกระโดดขึ้นไปด้านบนของอาวุธจักรกลและมองดูข้างหน้า
บุรุษหนุ่มดิ้นรนยืนขึ้นและได้ยินคำพูดอาซิ่นกล่าว เขามองขึ้นมาและถาม “อาซิ่น เราสามารถเอาชนะได้ไหม?”
“แน่นอน!” อาซิ่นมีท่าทางมั่นใจ เขาจ้องมองปิงชั่วขณะและกล่าวทันที “เจ้าหนู!”
“หือ?” เด็กหนุ่มมองทันที
“บางทีอาจมีทางหนึ่ง” อาซิ่นพูดกับตัวเองอีกครั้ง “เจ้าไปที่มหาสมุทรเนรเทศและมองหาอะไรบางอย่าง บางทีเราอาจชนะด้วยวิธีนั้น”
“มันคืออะไร?” เด็กหนุ่มกระตือรือร้นขึ้น
“ข้าก็ยังไม่รู้ เข้าเพียงแต่ได้ยินผู้บัญชาการพูดถึงมันไว้เท่านั้นเอง” อาซิ่นพูดต่อ “เราขอฝากทุกอย่างไว้กับเจ้า, เจ้าหนู!”
“จริงหรือ?” เด็กหนุ่มจ้องมองหน้าอาซิ่นพยายามค้นหาว่าเขาถูกหลอก อาซิ่นชอบโกหกเขาเสมอ
อาซิ่นมองอย่างเข้าใจ “ไม่แน่ แต่อาจจะใช่ก็ได้ อย่างไรก็ตาม เราไม่มีวิธีแก้ปัญหาอื่นเช่นกัน ดังนั้นก็ยังสามารถฝากความหวังไว้กับอนาคตได้”
นั่นเป็นเรื่องจิรง ไม่มีวิธีอื่นอีกแล้ว....
“อาซิ่น, ท่านต้องทนอยู่ในนั้น! รอให้ข้ากลับมา!” เด็กหนุ่มตะโกนบอกอาซิ่น
อาซิ่นยิ้ม “ข้ารู้ ข้ารู้ ข้าก็กลัวตายเหมือนกัน”
บุรุษหนุ่มหันกลับและโดดลงไปในอาวุธจักรกล บุกมุ่งไปตามสนามเพลาะจนถึงมหาสมุทรเนรเทศ เขาแทบจะบ้าเสียให้ได้เมื่อรู้ว่าสถานการณ์เลวร้ายเพียงไหน
เขาขับขี่อาวุธจักรกลออกจากสนามรบ เหมือนกับสัตว์ร้ายที่ถูกไล่ต้อนเข้ามุม เขาปีนขึ้นไปบนเขาด้วยมือและเท้า
“กองทัพกางเขนใต้ ประจัญบาน!”
เสียงเลือนรางคุ้นเคยดังอยู่ในอากาศ เป็นเสียงที่คุ้นเคยมาก...
เด็กหนุ่มตะลึงขณะเขาหอบหายใจ หน้าของเขาซีดขาว
เขาเหลียวหลังทันที ศัตรูฝ่าแนวป้องกันเข้ามาเหมือนกับคลื่นทะเล
น้ำตาบดบังทัศนวิสัยของเขา ทั้งตอนนั้น หรือว่าตอนนี้
อาซิ่น...