ตอนที่แล้วตอนที่ 113 ญาติ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 115 บทกวีที่สั่นคลอนโลก(ตอนฟรีปีใหม่)

ตอนที่ 114 โออิรันเผยตัว(ตอนฟรีปีใหม่)


คนกลุ่มหนึ่งเดินขึ้นมาที่ชั้นหนึ่ง

ผู้นำกลุ่มคือชายอ้วนในชุดแฟนซีที่มองฮัวหมานโหลวด้วยสายตาขี้เล่น “อะไรกัน ครั้งที่แล้วนายน้อยฮัวยังอายไม่พออีกรึ?”

เสียงหัวเราะดังมาจากคนที่อยู่ข้างหลังเขา

ฮัวหมานโหลวส่ายหัวและพูดว่า “เจ้ารู้อะไรบ้างด้วยสมองอันน้อยนิดของเจ้า? ถ้าไม่ใช่เพราะผู้ติดตามของเจ้า ข้าเกรงว่าเจ้าคงไม่กล้าเข้ามา”

ใบหน้าของฉูชีบูดบึ้ง เขาตะคอกอย่างเย็นชา “เจ้าคนอวดดี ถ้าเจ้ากล้าทีหลังก็อย่าหนี มาดูกันว่าใครจะหัวเราะเป็นคนสุดท้าย!”

เมื่อกล่าวจบ เขาก็นำคนเหล่านั้นไปยังที่โต๊ะที่อยู่ไกลออกไปเล็กน้อยแล้วนั่งลง

เฉินชิงหลวนขมวดคิ้วและพูดว่า “เจ้าไปมีปัญหาอะไรกับเขา?”

ฮัวหมานโหลวพูดอย่างช่วยไม่ได้ “ครั้งล่าสุดที่งานฤดูใบไม้ผลิ เขาและข้าต่างสนใจโออิรันเมิ่งอวี่เอ๋อร์แต่นางไม่ชอบทองและเงิน นางชอบแต่บทกวี ดังนั้น...”

เฉินชิงหลวนพูดอย่างขบขัน “เพราะเรื่องนี้? เจ้าจึงแพ้เขา?”

ฮัวหมานโหลวพูดอย่างไม่เห็นด้วย “ผู้ชายคนนั้นงี่เง่า เขาเขียนบทกวีได้ที่ไหนกัน? ถ้าเขาไม่ได้นำผู้รู้หนังสือมาด้วย!”

เฉินชิงหลวนส่ายหัว

คนหนึ่งเป็นบุตรชายของจอมปราชญ์แห่งวังหลวง ส่วนอีกคนเป็นบุตรชายของเจ้าชาย แต่พวกเขากำลังฟาดฟันกันเพราะผู้หญิงคนหนึ่งจากหอนางโลม

“เจ้ามันไม่ได้เรื่องจริงๆ”

"เจ้าจะไปรู้อะไร?"

ฮัวหมานโหลวส่ายหัวและพูดต่อ “นางเป็นผู้หญิงที่สวยและใจดี นอกจากนี้เมิ่งอวี่เอ๋อร์คือโอริรันคนใหม่ของที่นี่และคู่ครองของนางสามารถพานางเดินรอบคูเมืองได้อีกด้วย!”

“ถ้าเจ้าได้เป็นแขกของนาง เจ้าจะมีชื่อเสียงในเมืองหลวงจริงๆ”

ใครไม่อยากเจอโออิรันที่เป็นที่ต้องการตัวมากที่สุด?

หากเขาคว้ารางวัลใหญ่ได้ เขาจะกลายเป็นคนดังในบรรดาชายหนุ่มที่มีพรสวรรค์ และโดดเด่นในเมืองหลวงอย่างแน่นอน

“น้องชายชูคิดว่าอย่างไร?”

ซูสือยิ้มและไม่พูดอะไร

หอนางโลมจับจิตวิทยาของคนเหล่านี้ได้อย่างแม่นยำ

สิ่งที่เรียกว่าโอริรันเป็นเพียงชนชั้นสิ่งของและการตลาด ยิ่งพวกนางทำตัวสูงส่งและหยิ่งผยองมากเท่าไหร่ พวกนางก็ยิ่งดึงดูดให้ขุนนางติดตามมากขึ้นเท่านั้น

และด้วยวิธีนี้หอนางโลมแห่งนี้สร้างรายได้มหาศาล

เมื่อคุณค่าของพวกนางหมดลง พวกนางจะถูกขายตรงให้กับคนรวยในราคาสูงลิ่ว จากนั้นจึงค่อยหาสาวสวยหน้าใหม่

นี่เป็นวิธีปกติของกิจการหอนางโลม

เมื่อมองย้อนกลับไปที่คนกลุ่มนั้น ฮัวหมานโหลวขมวดคิ้ว หนึ่งในนั้นดูเหมือนจะเป็นสุดยอดศิษย์ใหม่ประจำปีนี้

“ดูเหมือนครั้งนี้ฉูชีจะเตรียมตัวมาดี”

“ช่างเถอะ ดื่มสุราตรงหน้ากันดีกว่า”

“มาเถิดน้องชายชู ข้าจะรินให้เจ้า”

ซูสือยกจอกสุราขึ้น “ขอบคุณ”

สุราบ่มและเสียงขับร้องช่างไพเราะเสนาะหู

ทั้งสองชนแก้วแล้วแก้วเล่า ดื่มกันอย่างมีความสุข

แม้ว่าฮัวหมานโหลวคนนี้จะเป็นคนอารมณ์ร้อน ขี้โวยวาย แต่จิตใจของเขาเข้าใจง่ายมาก ไม่เสแสร้ง

การคบกับคนแบบนี้ไม่มีอะไรเสียหาย

หลังจากดื่มสุราด้วยกัน

ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งสองก็แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

ฮัวหมานโหลวดูเหมือนจะเมาเล็กน้อยและดวงตาของดูเหม่อลอย ในขณะที่เขาพูดว่า “น้องชายซูข้าขอร้องเจ้า ช่วยรับเฉินชิงหลวนเข้าบ้านที!”

"แค่ก!"

ซูสือพ่นสุราเต็มปากออกมา

ใบหน้าสวยของเฉินชิงหลวนเปลี่ยนเป็นสีแดง ขณะที่นางตื่นตระหนก “เจ้าพูดพล่ามอะไร?”

ซูสือเช็ดปากและพูดอย่างเคอะเขินว่า “พี่ชายฮัว ท่านเมาแล้ว”

ฮัวหมานโหลวส่ายหัว “ข้าไม่ได้เมา!”

เขาคว้ามือของซูสือและพูดทั้งน้ำตาว่า “เจ้าไม่รู้หรอกว่านางโหดเหี้ยมแค่ไหน นางทุบตีใครก็ตามที่ไม่เห็นด้วยกับนาง และเนื่องจากพ่อของนางเป็นปรมาจารย์กระบี่ผู้ยิ่งใหญ่ มีผู้ชายคนไหนในเมืองนี้ไม่รู้จักชื่อเสียงของนางบ้าง?”

“นางทำขาข้าหักไปแล้วสองครั้ง! มันเจ็บทุกครั้งที่ฟ้าครึ้มหรือฝนตก ผู้คนจึงเรียกข้าว่าเครื่องวัดอากาศเดินได้.....”

“มันน่าอายมาก!”

ซูสือกลืนน้ำลาย “จริงรึ?”

เฉินชิงหลวนพูดอย่างหมดหนทาง “ตอนที่เขาอายุหกขวบ เขาพูดว่าเขาต้องการยกย่องพ่อของข้าเป็นอาจารย์ของเขา เขาบอกว่าเขาต้องทุบตีข้าจึงจะทำอย่างนั้นได้ จากนั้น...”

ซูสือพูดด้วยความสงสัย “แล้วครั้งที่สองล่ะ?”

เฉินชิงหลวนกระซิบ “เมื่อเขาอายุแปดขวบ เขาท้าทายข้าอีกครั้ง”

ซูสือ: "..."

“เมืองหลวงได้รับความเดือดร้อนเพราะเฉินชิงหลวนมาเป็นเวลานาน!”

ฮัวหมานโหลวกระกบมือและพูดว่า “น้องชายซูถือว่าเจ้าได้ช่วยเหลือผู้คนแล้ว เยาวชนในเมืองหลวงจะจดจำความเมตตาอันยิ่งใหญ่ของเจ้าตลอดไป!”

ศีรษะของเฉินชิงหลวนก้มต่ำ หูของนางแดง และกำหมัดแน่น

ซูสือพูดอย่างหมดหนทาง “พี่ชายฮัว ถ้าไม่มีเรื่องไม่คาดคิด ขาของท่านอาจจะต้องหักเป็นครั้งที่สาม ...”

เป้ง!

ในขณะนั้นเอง เสียงฆ้องก็ดังขึ้น

“โออิรันแห่งเฟิงชุนมาแล้ว!”

ทุกคนมองไปที่โถงกลาง

เห็นสาวใช้ประกบสองข้าง กลีบกุหลาบร่วงลงมาจากอากาศ และหญิงในชุดคลุมสีชมพูเดินเข้ามาอย่างมีสไตล์

แม้ว่าพวกเขาจะมองไม่เห็นใบหน้าของนาง แต่รูปร่างของนางก็เพรียวบางและรับรู้ได้ว่านางงดงาม

“นั่นคือเมิ่งอวี่เอ๋อร์!”

“นางสมเป็นเป็นโออิรันจริงๆ!”

“ข้าไม่คิดว่าจะได้เห็นโออิรัน เป็นการเดินทางที่ดีจริงๆ”

“ข้าสงสัยว่าผู้ชายแบบไหนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมคู่ควรกับนาง”

ผู้คนพูดคุยกัน

ฉูชีมองไปที่เมิ่งอวี่เอ๋อร์อย่างหื่นกระกาย ดวงตาของเขาก็ฉายแววตัณหา

แม่เล้ายิ้มและพูดว่า “วันนี้ผู้มีความสามารถและมีเกียรติทั้งหมดมารวมตัวกัน อวี่เอ๋อร์ต้องการที่จะมาให้กำลังใจทุกคน เราอาจมีการแข่งขันบทกวีด้วย โดยอวี่เอ๋อร์จะเป็นคนเล่าเรื่อง ผู้ชนะจะสามารถดื่มและพูดคุยกับอวี่เอ๋อร์บนเรือตามลำพัง”

เมื่อได้ยินดังนี้ ผู้คนต่างรู้สึกตื่นเต้น

“ข้าแข่งด้วย!”

“ดื่มกับโออิรันสองต่อสอง? น่าตื่นเต้นเกินไปแล้ว”

“เฮ้ ไม่มีใครรู้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง”

ฉูชีมองไปที่ชายร่างเพรียวข้างๆ เขาและกระซิบว่า “มู่ไป๋ เจ้าเขียนบทกวีได้ดีที่สุด ข้าจะฝากให้เจ้าจัดการ”

หลี่มู่ไป่ประกบมือคำนับ และพูดว่า “ไม่ต้องกังวล ข้าจะทำให้ดีที่สุด”

ฉูชีพยักหหน้า “ข้าเชื่อในตัวเจ้า”

หลี่มู่ไป๋เป็นศิษย์ใหม่จากสถาบันหลวง ใครจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้?

“ฮัวหมานโหลว เจ้าจะเอาอะไรมาแข่งกับข้า!”

ชฉูชีหัวเราะอย่างเย็นชา

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เมิ่งอวี่เอ๋อร์ก็พูดขึ้น น้ำเสียงของนางชัดเจนและน่าฟัง "ก่อนหน้านี้ คนนอกออกอาละวาด พยายามที่จะบุกรุกอาณาจักรหลินหลางของเรา แต่โชคดีที่มีวีรบุรุษเข้ามาพลิกสถานการณ์"

“คราวนี้ข้าขอใช้คำว่า ‘วีรบุรุษ’ เป็นหัวข้อ”

“หัวข้อดี!”

“ไม่คิดเลยว่าแม่นางเมิ่งจะมีหัวใจเห็นแก่บ้านเมือง!”

หัวข้อกว้างมากและมีอะไรให้เล่นเยอะ

สาวใช้เดินจากโต๊ะหนึ่งไปอีกโต๊ะหนึ่งเพื่อแจกพู่กันและหมึก

หลี่มู่ไป๋ครุ่นคิดเล็กน้อย และในไม่ช้าก็ได้คิดได้ เขากางกระดาษออกแล้วเขียนอย่างตื่นเต้น

รอยยิ้มของฉุชีกว้างขึ้น

เมื่อมองไปที่กระดาษสีขาวตรงหน้าเขา ฮัวหมานโหลวรู้สึกสับสน

พ่อของเขาเป็นบัณฑิต และเขายังมีความสามารถด้านวรรณกรรม ดังนั้นการเขียนบทกวีจึงไม่ใช่ปัญหา

แต่เขาเมามากเกินไป และตอนนี้จิตใจของเขาสับสนจนนึกคำศัพท์ไม่ได้แม้แต่คำเดียว!

“จบแล้ว ข้าต้องส่งกระดาษเปล่าจริงหรือ?”

“ฉูชีจะกระจายข่าวไปทั่วเมืองอย่างแน่นอน ข้าจะยังคงอยู่ในเมืองหลวงได้อย่างไรหลังจากนี้”

ฮัวหมานโหลวสะบัดหัวของเขาอย่างเศร้าสร้อย

ในขณะนั้น เขาสังเกตเห็นซูสือซึ่งกำลังดื่มอยู่ข้างๆ ราวกับว่าเขาเห็นฟางเส้นสุดท้ายในชีวิต

“น้องชายชู ช่วยข้าด้วย!”

ซูสือเงียบไปครู่หนึ่ง “ท่านกำลังขอให้ข้าเขียนแทนท่านอย่างงั้นหรือ?”

ฮัวหมานโหลวอ้อนวอนอย่างหมดหวัง “ตอนนี้ข้ามีแต่เจ้า”

ซูสือพูดอย่างหมดหนทาง “ก็ได้ แต่ข้ารับประกันไม่ได้นะว่าจะชนะ”

ฮัวหมานโหลวพยักหน้าอย่างแรง “ไม่เป็นไร ขอแค่บทกลอนราบรื่นเป็นพอ”

ครั้งนี้แพ้ก็ไม่เป็นไร ขอแค่เขาไม่เสียหน้ามากเกินไปเป็นพอ

เฉินชิงหลวนมองซูสือด้วยความอยากรู้อยากเห็น “เจ้ารู้วิธีเขียนบทกวีด้วยหรือ?”

ซูสือยิ้ม “ในสายงานอย่างเรา นี่เป็นหนึ่งในวิชาที่จำเป็น”

เขียนไม่ได้ แล้วถ้าลอกล่ะ?

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด