บทที่ 40: ปลอดภัยมาตั้งนานแล้ว เหยื่อภัยสงคราม
บทที่ 40: ปลอดภัยมาตั้งนานแล้ว เหยื่อภัยสงคราม
“ท่านผู้ว่าการ ข้าได้รับรายงานมาจากชาวบ้านว่ามีผู้หญิงต้องสงสัยสองคนถามถึงท่านในช่วงนี้” จ้าวกวงก้มหัวลงและรายงานซุยเฮ็งด้วยความเคารพ
“แล้วภูมิหลังของพวกนางล่ะ?” ซุยเฮ็งวางหนังสือในมือลงแล้วถามว่า “พวกนางใช่สายลับจากกองทัพของราชาหยานหรือเปล่า?”
“นั่นเป็นไปได้มาก ดูจากที่ชาวบ้านรายงานแล้ว ผู้หญิงทั้งสองคนนี้ก็ดูจะสนใจอย่างมากเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงล่าสุดในมณฑลจูเหอ” จ้าวกวงกล่าว “อย่างไรก็ตาม เราก็ยังไม่รู้แน่ชัดจนกว่าฮุ่ยฉีจะได้สอบสวนพวกนาง”
“เข้าใจแล้ว” ซุยเฮ็งพยักหน้าเล็กน้อยและยิ้ม “อันที่จริง เราก็ไม่จำเป็นต้องกังวลให้มากเกินไปหรอก มันก็แค่พวกกบฏ บางทีสองคนนี้อาจจะเพิ่งได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในมณฑลจูเหอ ดังนั้นพวกนางจึงมาที่นี่เพื่อตรวจสอบ”
พวกกบฎ?
นั่นคือราชาหยานผู้มีกองกำลังนับแสนเลยนะ!
และทัพหน้าที่หยานเฉิงเคยกล่าวถึงก่อนหน้านี้ก็มีจำนวนนับหมื่น!
จ้าวกวงไม่รู้ว่าจะตอบยังไง
แม้ว่าซุยเฮ็งจะเป็นเซียน แต่เขาก็ไม่เคยได้ยินตำนานที่บอกว่าเซียนสามารถเอาชนะกองทัพนับแสนได้
ถึงกระนั้น ซุยเฮ็งก็ดูมั่นใจมากอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่กล้าจะพูดอะไรอีก
ในขณะเดียวกัน ฮุ่ยฉีก็ได้เดินเข้ามา
“ท่านผู้ว่าการ เราทราบตัวตนของผู้ต้องสงสัยทั้งสองคนนั้นแล้ว” ฮุ่ยฉีกล่าวด้วยความเคารพ “ผู้หญิงทั้งสองคนนี้เป็นศิษย์ของผู้อาวุโสซูไป่ลู่แห่งสำนักกระบี่ยู่หัว”
“หญิงสาวคนโตชื่อฟางหมิน และคนที่อายุน้อยกว่าชื่อโจวไฉ่เว่ย ข้าเคยพบพวกนางเมื่อหกปีที่แล้วที่กลุ่มพันธมิตรวรยุทธ์ในภูผาเขียว”
“ศาลากระบี่ยู่หัว?” จ้าวกวงรู้สึกประหลาดใจ “นั่นคือสำนักอันดับหนึ่งในมณฑลลู่ และเป็นสำนักกระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดในเฟิงโจวด้วย!”
“ใช่แล้ว ศาลากระบี่ยู่หัวเป็นหนึ่งในเก้ากระบี่ของโลก มรดกของพวกเขาสืบทอดกันมานานเป็นพันปีและมีรากฐานที่ฝังรากลึก” ฮุ่ยฉีพยักหน้าและกล่าวว่า “ซูไป่ลู่ได้กลายเป็นปรมาจารย์ขอบเขตประตูลึกล้ำเมื่อหกปีที่แล้ว นางทรงพลังมากและเกลียดการทำสงคราม”
“ในตอนที่ข้าอยู่ในกองทัพของราชาหยาน ข้าก็เคยได้ยินหยานเฉิงและคนอื่นๆ บ่นระบายซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าศาลากระบี่ยู่หัวนั้นเป็นอุปสรรคอันดับหนึ่งในการยึดครองรัฐเฟิงโจว ดังนั้นฟางหมินและโจวไฉ่เว่ยจึงน่าจะมาตามคำสั่งของอาจารย์ของพวกนางเพื่อช่วยเหลือมณฑลจูเหอในการต้านภัยสงคราม”
“ต้านภัยสงคราม?” จ้าวกวงค่อนข้างประหลาดใจและถามด้วยความสงสัยว่า “พวกนางจะต้านมันได้อย่างไร? นั่นคือกองทัพนับแสนเลยนะ ต่อให้อาจารย์ของพวกนางจะมาเองเป็นการส่วนตัว แต่มันก็ยังช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี!”
“มันไม่มีอะไรมากไปกว่าการเจรจาหรอก” ฮุ่ยฉีเข้าใจดีเกี่ยวกับวิธีที่พวกเธอจะเลือกใช้ เขาอธิบายว่า “เพื่อที่ศาลากระบี่ยู่หัวจะดำรงตำแหน่งหนึ่งในเก้ากระบี่ของโลกได้ นั่นก็หมายความว่าพวกเขาจะต้องมียอดฝีมือขอบเขตสัมผัสโลกาอยู่ภายใน”
“ดังนั้นแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถเอาชนะกองกำลังนับแสนได้ แต่ลำพังพวกเขาเพียงคนเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ราชาหยานต้องเผชิญหน้ากับการสูญเสียอย่างหนัก นอกจากนี้ มันก็ยังมีโอกาสสูงมากที่พวกเขาจะสามารถบุกเข้าไปประชิดตัวและทำการสังหารราชาหยานลงไปได้โดยที่ไม่ต้องต่อสู้กับกองทหารนับแสน”
“เพราะแบบนี้เองสินะ พวกเขาถึงกล้าที่จะไปทำการต่อรองกับอีกฝ่ายจ้าวกวงรู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้ยินสิ่งนี้และพูดกับซุยเฮ็งว่า” ขอแสดงความยินดีด้วยท่านผู้ว่าการ มณฑลจูเหอของเรารอดจากการทำสงครามแล้ว!”
“นี่เป็นข่าวดีจริงๆ” ซุยเฮ็งยิ้มและไม่แสดงความคิดเห็นอะไรเพิ่มเติม
ที่ตั้งของมณฑลจูเหอนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง แน่นอนว่ามันสามารกำหนดทิศทางของสงครามได้ ดังนั้นแล้วราชาหยานจึงจะต้องไม่ยอมปล่อยมันไปง่ายๆ อย่างแน่นอน
นอกจากนี้ หยานเฉิงก็ยังเคยเห็นความแข็งแกร่งของเขามาก่อนแล้ว ดังนั้นหากกองทัพของราชาหยานต้องการจะโจมตีมณฑลจูเหอจริงๆ พวกเขาก็จะต้องเตรียมพร้อมเรื่องความปลอดภัยของแนวหลังอย่างแน่นอน”
“…” ฮุ่ยฉีอดไม่ได้ที่จะกลอกตาและเตือนจ้าวกวงว่า “นายทะเบียนจ้าว มณฑลจูเหอของเราอยู่รอดปลอดภัยมาตั้งแต่มีท่านผู้ว่าการแล้ว”
เขาได้เห็นมากับตาตัวเองแล้วว่าซุยเฮ็งนั้นทรงพลังเพียงใด
เขาคือเทพเซียนผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่เหนือกว่าโลกมนุษย์โดยสิ้นเชิง!
ไม่ต้องพูดถึงสิ่งอื่นใด แค่ลูกบอลเพลิงลูกเล็กๆ ที่เขาสร้างเมื่อวันก่อนก็เพียงพอแล้วที่จะถล่มกองทัพนับแสนของราชาหยานให้ราบเป็นหน้ากลอง
“จริงด้วย! ท่านผู้ว่าการโปรดยกโทษให้ข้าด้วย!” จ้าวกวงตระหนักได้ถึงความผิดของเขาและรีบโค้งคำนับเพื่อขอโทษ
“ไม่เป็นไรหรอก มันเป็นเพราะเจ้าเป็นห่วงมณฑลจูเหอ เจ้าเลยพูดแบบนั้นออกมา” ซุยเฮ็งโบกมือโดยไม่สนใจเรื่องนี้ เขายิ้มและพูดว่า “สรุปแล้วพวกนางทั้งสองก็มาที่นี่เพราะมีเจตนาดีสินะ”
“ใช่แล้วท่านผู้ว่าการ!” ฮุ่ยฉีโค้งคำนับ
อันที่จริง มันก็เป็นเรื่องปกติที่จ้าวกวงจะไม่รู้ว่าซุยเฮ็งนั้นทรงพลังเพียงใด
แม้ว่าเขาจะปล้นสุสานมาหลายปีและฝึกฝนวรยุทธ์มาบ้างเล็กน้อย แต่กระนั้นเขาก็มาถึงเพียงขอบเขตบำรุงกายาเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เอง มันจึงไม่แปลกที่เขาจะเกรงกลัวกองทัพนับแสนของราชาหยาน
นอกจากนี้ เขาก็ยังไม่เคยเห็นลูกบอลเพลิงที่ซุยเฮ็งจุดขึ้นมา
…
ฟางหมินรู้สึกประหลาดใจมากในตอนนี้
เธอไม่คิดมาก่อนว่าคนจากสำนักงานเทศมณฑลจะมาเคาะประตูที่พักเธอหลังจากเธอเริ่มสอบถามไปได้เพียงแค่ครึ่งวัน
เธอเพิ่งจะถามคนไปเพียงไม่กี่คนเท่านั้น และนอกจากนี้ เธอก็ยังให้เงินห้าตำลึงแก่พวกเขาเพื่อเป็นค่าปิดปาก
เงินห้าตำลึงนี้ไม่ใช่เงินจำนวนเล็กน้อย มันนับเป็นรายได้ครึ่งปีของเกษตรกรส่วนใหญ่!
ถึงกระนั้น หลังจากที่พวกเขารับเงินไปแล้ว พวกเขาก็ยังไปรายงานเรื่องนี้ต่อทางการอีก สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าผู้คนที่นี่เชื่อถือในตัวทางการมาก มิฉะนั้นแล้ว พวกเขาก็คงจะไม่ทำสิ่งนี้
นี่เป็นการพิสูจน์ว่าข้อมูลที่เธอได้รับมาก่อนหน้านี้นั้นถูกต้องจริงๆ!
ผู้ว่าการมณฑลคนใหม่ของมณฑลจูเหอได้รับความนิยมมาก เขายังทำงานอย่างหนักเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนในมณฑลจูเหอ ด้วยเหตุนี้เอง มันจึงไม่แปลกใจเลยที่ประชาชนเหล่านี้จะอยู่ข้างเขาและปฎิเสธการก่อกบฎ
และในตอนนี้ สิ่งที่ไม่คาดคิดยิ่งกว่าก็ได้เกิดขึ้น
ตัวตนของเธอและน้องสาวถูกเปิดเผย!
นายอำเภอที่เข้ามาตรวจสอบได้เรียกชื่อของพวกเธอในทันทีที่เขาเปิดประตูเข้ามา
“ฝีเท้าของเขามั่นคงและออร่าของเขาก็ลึกล้ำ วรยุทธ์ของคนผู้นี้ไม่ธรรมดาเลย บางทีเขาอาจจะมาถึงขอบเขตควบรวมปราณแล้วก็ได้”
ฮุ่ยฉีทำให้ฟางหมินรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก “ยอดฝีมือเช่นนี้เป็นนายอำเภอของมณฑลเล็กๆ แห่งนี้จริงๆ หรอ?”
เธอตระหนักได้ทันทีว่ามณฑลจูเหอไม่ได้ธรรมดาอย่างที่ตาเห็นแน่นอน ผู้ว่าการคนใหม่ของมณฑลจูเหอเองก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน สิ่งนี้ทำให้เธอเริ่มรู้สึกลุกลี้ลุกลนอย่างอธิบายไม่ถูก
ความรู้สึกนี้เกิดมาจากความกลัวในสิ่งที่ไม่รู้จัก
ฟางหมินมองไปที่โจวไฉ่เว่ยที่อยู่ข้างๆ เธอและตระหนักได้ว่าผู้หญิงคนนี้กำลังจดจ่ออยู่กับการกินของหวาน เธอยังคงดูไร้กังวล ดังนั้นฟางหมินจึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
โชคดีที่เธอคนนี้มีพรสวรรค์อย่างมากและมีทักษะวรยุทธ์อันยอดเยี่ยม มิฉะนั้นแล้ว เธอก็คงจะถูกหลอกโดยสายตาที่เหม่อลอยนั่นแล้ว
“ท่านนายอำเภอ เรากำลังจะไปพบท่านผู้ว่าการมณฑลอย่างงั้นหรอ?” ฟางหมินถามอย่างสงสัย
“ไม่” ท่าทีของฮุ่ยฉีนั้นเย็นชามากในขณะที่เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า “ท่านผู้ว่าการมณฑลกำลังยุ่งอยู่และไม่มีเวลามาต้อนรับพวกท่านทั้งสองในวันนี้ อย่างไรก็ดี นายทะเบียนจ้าวได้จัดหาที่พักชั่วคราวไว้ให้กับพวกท่านแล้ว และท่านผู้ว่าการมณฑลจะมาหาท่านในวันพรุ่งนี้”
ซุยเฮ็งกำลังยุ่งอยู่จริงๆ หลังจากได้รับเคล็ดวิชายุทธ์ที่ฮุ่ยฉีคัดลอกมา เขาก็หมกมุ่นอยู่กับการศึกษาวิธีการต่างๆ ในการใช้พลังปราณ
ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา เขาก็ได้พัฒนาลูกเล่นที่แปลกใหม่และทรงพลังขึ้นมามากมาย
และจากการประมาณการณ์ของเขา เขาก็น่าจะตรวจสอบพวกมันทั้งหมดเสร็จในวันพรุ่งนี้
“ขอบคุณท่านนายอำเภอ เนื่องจากท่านผู้ว่าการมณฑลไม่ว่าง ดังนั้นเราก็จะรออยู่อย่างเงียบๆ” ฟางหมิงพยักหน้า
แม้ว่าเธอจะต้องการพบผู้ว่าการมณฑลโดยเร็วที่สุด แต่เธอก็เข้าใจดีว่าวิธีที่ดีที่สุดในการทำงานร่วมกับใครสักคนก็คือการปฏิบัติตามกฎของพวกเขา
“หัวหน้า! หัวหน้า!”
ในขณะนี้ เสียงตะโกนอย่างเร่งด่วนก็ดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง ตำรวจคนหนึ่งรีบวิ่งเข้ามาขณะหายใจหอบ
“มีอะไร?” ฮุ่ยฉีถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
“ทหารยามที่เฝ้าประตูเมืองส่งข้อความมา พวกเขาบอกว่า บอกว่า…”เจ้าหน้าที่ทางการสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดว่า “พวกเขาบอกว่ามีผู้ลี้ภัยจำนวนมากกำลังหลบหนีมาที่นี่ ข้าเกรงว่าพวกเขาจะมีกันมากกว่าสามถึงสี่พันคน!”
“ปีนี้ไม่ใช่ปีแล้ง แบบนั้นแล้วผู้ลี้ภัยจำนวนมากขนาดนี้เดินทางมาจากไหนกัน?” คิ้วของฮุ่ยฉีเลิกขึ้นด้วยความสับสน
“พวกเขาเป็นผู้ลี้ภัยจากมณฑลต้าคังทางทิศตะวันตก!” สีหน้าของเจ้าหน้าที่ทางการดูหวาดกลัวเล็กน้อย “หัวหน้า ข้าเกรงว่ากองทัพของราชาหยานจะยึดครองมณฑลต้าคังไปเรียบร้อยแล้ว และเราก็กำลังจะเป็นรายต่อไป!”
“หุบปาก!” ฮุ่ยฉีจ้องเขม็งไปที่อีกฝ่ายและหันไปพูดกับเจ้าหน้าที่ที่อยู่ข้างๆ ว่า “พวกเจ้าพาแขกทั้งสองคนนี้ไปยังที่พักก่อน ส่วนพวกเจ้าสองคนไปรายงานสถานการณ์ดังกล่าวต่อท่านรองผู้ว่าการลู่”
จากนั้นฮุ่ยฉีก็หันกลับมาและกล่าวกับเจ้าหน้าที่ที่มารายงานว่า “ไปกันเถอะ พาข้าไปที่ประตูเมือง!”