บทที่ 39: แขกจากแดนไกล
บทที่ 39: แขกจากแดนไกล
“ฟู่ว!”
ซุยเฮ็งรีบพ่นลมหายใจออกมาเพื่อดับเปลวเพลิงลูกเล็กๆ บนฝ่ามือของเขา พูดตามตรง เขาก็ค่อนข้างประหลาดใจ
เขารู้สึกสงสัยเล็กน้อยในเคล็ดวิชาที่ฮุ่ยฉีได้เขียนไว้ ดังนั้นเขาจึงลองปล่อยพลังออกมาตามความเข้าใจของเขาดู
เขาไม่ได้คาดคิดเลยว่าเขาจะสามารถจุดเปลวเพลิงที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ได้ในทันที
ในชั่วพริบตา เปลวเพลิงที่มีอุณหภูมิสูงจนสามารถเผาสำนักงานเทศมณฑลให้วอดวายกลายเป็นเถ้าถ่านได้ก็ได้ดับลง
หากความร้อนนี้ถูกปล่อยออกไปข้างนอก มณฑลจูเหอทั้งหมดก็คงจะวอดวายกลายเป็นผุยผงแน่
และทั้งหมดนั่นก็เป็นผลมาจากการที่เขาจุดไฟด้วยพลังปราณอ่อนๆ ของเขา!
“การใช้พลังปราณนั้นช่างลึกล้ำจริงๆ นี่มันแข็งแกร่งยิ่งกว่าตอนที่ฉันใช้พลังปราณเพื่อใช้วิชากระบี่ซะอีก”
ซุยเฮ็งประมาณการณ์ว่าถ้าเขาใช้พลังปราณทั้งหมดของเขาเพื่อจุดเปลวเพลิงขึ้นมา มันก็จะต้องเป็นเปลวเพลิงขนาดมหึมาอย่างแน่นอน และบางที เขาก็อาจจะสามารถเผาภูเขาและทำทะเลให้เดือดได้!
แน่นอนว่าเขายังไม่สามารถยืนยันมันได้จนกว่าเขาจะได้ใช้มันจริงๆ
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เขาก็ตั้งหน้าตั้งตารอว่าคาถาเวทย์ที่แท้จริงนั้นจะเป็นยังไง
ท้ายที่สุดแล้ว ในบรรดาวิธีการที่เขาได้เรียนรู้มาในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นการควบแน่นพลังปราณเข้ากับกระบี่หรือการจุดเปลวเพลิงขึ้นมา พวกมันก็มีประโยชน์แค่สำหรับใช้ในการต่อสู้เท่านั้น มันยังไม่ใช่คาถาเวทย์ที่แท้จริง
[ เงิน : 348.21 ]
ซุยเฮ็งมองไปที่ยอดเงินของเขา ดูเหมือนว่าเขาจะสามารถอนุมานคาถาเวทย์ได้สามคาถาแล้ว
อย่างไรก็ตาม หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ตัดสินใจล้มเลิกความคิดนี้ไป เงินนั้นมีค่าและสามารถใช้ประโยชน์ได้มากมาย ยิ่งไปกว่านั้น มันก็ยังเป็นไม้เด็ดในการช่วยชีวิต
เขาไม่ได้มีความจำเป็นเร่งด่วนอะไรสำหรับคาถาเวทย์ในตอนนี้ ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะรอมันต่อไปก่อน
ยิ่งไปกว่านั้น เคล็ดวิชายุทธ์ที่ฮุ่ยฉีได้คัดลอกมานั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับเขาที่จะหาวิธีใหม่ๆ ในการใช้พลังปราณของเขา
“ท่านผู้ว่าการ เมื่อกี้ท่าน…” เมื่อเห็นว่าซุยเฮ็งไม่ได้พูด ในที่สุดฮุ่ยฉีก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นว่า “นั่นคือวิชาเซียนหรอ?”
“มันก็แค่ลูกเล่นเล็กๆ น้อยๆ จากการทดสอบน่ะ” ซุยเฮ็งกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะ ตอนนี้เจ้าไปได้แล้ว”
“รับทราบแล้ว” ฮุ่ยฉีโค้งคำนับด้วยความเคารพและเดินจากไป
หลังจากเดินออกมาจากสำนักงานเทศมณฑลเสร็จ เขาก็รีบวิ่งไปหลบหลังต้นไม้ต้นหนึ่ง เขาวางมือลงแนบหัวใจและหายใจแรง แผ่นหลังของเขาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อเย็น
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็สามารถระงับความกลัวลงได้ในที่สุด
ลูกบอลเพลิงขนาดเล็กเมื่อกี้ทำให้ฮุ่ยฉีรู้สึกราวกับว่าดวงอาทิตย์ได้ปรากฎขึ้นที่บนฝ่ามือของซุยเฮ็ง หากมันเกิดการระเบิดขึ้น มันก็คงจะเป็นจุดจบของโลก
“นี่มันน่ากลัวเกินไปแล้ว นั่นคือพลังของท่านผู้ว่าการอย่างงั้นหรอ?” ฮุ่ยฉีรู้สึกตกใจมาก
“นี่เขายังเป็นมนุษย์อยู่จริงๆ หรอ?”
…
สามวันต่อมา
พื้นถนนถูกเคลียร์โล่งและเวทีก็ได้ถูกตั้งไว้บนถนนหน้าสำนักงานเทศมณฑล
พลเมืองจำนวนนับไม่ถ้วนกรูกันเข้ามาล้อมรอบสถานที่แห่งนี้อีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม เพราะมีฮุ่ยฉีทำหน้าที่เป็นองครักษ์รักษาการณ์อยู่ ที่นี่จึงไม่มีความวุ่นวายใดๆ
ชายชราและหญิงสาวถูกวางไว้ข้างหน้า ตามด้วยคนที่มีเด็ก หลายคนปล่อยให้ลูกๆ ขี่คอพวกเขาเพราะพวกเขาต่างก็ต้องการจะดูว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น
งานชุมนุมร้องทุกข์กำลังจะเริ่มขึ้นในไม่ช้า
“ท่านเทพสวรรค์ของเราจะต้องเป็นเซียนตัวจริงเสียงจริงอย่างแน่นอน เขาถึงได้สามารถคิดค้นวิธีการดังกล่าวเพื่อตัดสินโทษไอ้แก่หวงนั่นได้”
“ถูกต้อง ข้าอยากจะดูเหลือเกินว่าจุดจบของตระกูลหวงมันจะเป็นยังไง!”
“ยอดเยี่ยม! ในที่สุดเราก็จะได้มีชีวิตที่ดีในอนาคต ตระกูลหวงกดขี่พวกเรามานานเกินไปแล้ว และมันก็ถึงเวลาตายของพวกมันแล้ว! ขอบคุณท่านเทพสวรรค์!”
พลเมืองหลายส่วนกล่าวสรรเสริญชื่นชมซุยเฮ็ง ขณะที่อีกส่วนที่เหลือก็กล่าวด่าทอสาปแช่งตระกูลหวงและจินตนาการถึงอนาคตอันสวยงามของพวกเขา
ในไม่ช้า สมาชิกในตระกูลหวงก็ได้ถูกเจ้าหน้าที่กลุ่มหนึ่งควบคุมตัวขึ้นมาบนเวที
คนที่เดินนำหน้าสุดคือผู้เฒ่าหวง หวงชิซาน
เมื่อเห็นอีกฝ่ายปรากฎตัวขึ้น ฝูงชนก็ส่งเสียงดังลั่นในทันที
“ฆ่ามัน! ฆ่าไอ้แก่หวงเดี๋ยวนี้เลย!”
“มันจะต้องตายด้วยบาดแผลนับพัน! มันสมควรจะตายด้วยบาดแผลนับพัน! ข้าอยากจะกินเนื้อและดื่มเลือดของมัน! ข้าจะให้ 20 ตำลึงสำหรับคนที่สามารถเอาเนื้อและเลือดของมันมาให้ข้าได้!”
“ถลกหนังมันทั้งเป็นแล้วจับโยนลงกระทะทองแดงไปเลย! ทำให้มันต้องทนทุกข์ทรมาน!”
เสียงตะโกนด่าทอคำสาปแช่งที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวโกรธดังลั่นเมืองราวกับเสียงฟ้าผ่า
ถ้าไม่ใช่เพราะฮุ่ยฉีที่ยืนอยู่ด้านหน้าเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย ประชาชนเหล่านี้ก็คงจะรีบวิ่งกรูกันเข้าไปทุบตีตระกูลหวงทั้งหมดจนเสียชีวิตแล้ว
อย่างไรก็ดี เหล่าเจ้าหน้าที่และฮุ่ยฉีก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงความดุร้ายและความโกรธเกรี้ยวอย่างใหญ่หลวงของเหล่าประชาชน
ตระกูลหวงได้ก่อกรรมทำชั่วเอาไว้มากมาย พวกเขาสมควรตาย
“ทุกคน!”
ด้วยความช่วยเหลือของเจ้าหน้าที่ทางการทั้งสี่ จ้าวกวงก็คว้าตัวหวงชิซานและเดินขึ้นไปบนเวที เขาตะโกนว่า “นี่คือผู้เฒ่าหวง หวงชิซาน ผู้ร้ายที่รังแกพวกเราเหล่าสามัญชน!”
“ท่านผู้ว่าการไม่เกรงกลัวอำนาจ และเพราะเห็นแก่พวกเราเหล่าสามัญชน เขาจึงได้กำจัดตระกูลหวงซึ่งได้ก่อกรรมทำชั่วเอาไว้ทุกรูปแบบลง และตอนนี้ เขาก็ได้จัดงานชุมนุมร้องทุกข์นี้ขึ้นมาเพื่อต้องการจะให้เราอธิบายอย่างชัดเจนว่าตระกูลหวงรังแกเราอย่างไร!”
“จงแสดงความทุกข์ของพวกเจ้าออกมา และต่อจากนี้ไป ทุกคนจะสามารถพูดอะไรก็ได้ตามที่พวกเจ้าต้องการ!”
จ้าวกวงเคยออกเดินทางร่อนเร่พเนจรไปทั่วและประทังชีวิตด้วยการขอทาน ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงค่อนข้างมีทักษะการพูดติดตัวและทำให้เขาเหมาะมากที่จะเป็นเจ้าภาพในการจัดงานชุมนุมร้องทุกข์ครั้งนี้
และทันทีที่เขาพูดจบ—
บู้มมม!
ฝูงชนระเบิดความโกรธเกรี้ยวออกมาในทันที ประชาชนทุกคนจ้องมองไปที่หวงชิซานด้วยดวงตาสีแดงก่ำ
“ไอ้เหี้ยหวง! บรรพบุรุษของมึงมันเลวทั้งชั่วโคตร! ปีที่แล้วเกิดภัยแล้งหนัก พืชผลไม่พอจ่ายค่าเช่า เจ้าเลยส่งคนมาจับภรรยาและลูกสาวของข้าและฆ่าพวกนางทั้งคู่ทิ้งต่อหน้าข้า! เจ้ามันสมควรตาย! ไอ้แก่ชาติหมา!”
“สามีที่น่าสงสารของข้า เขาอายุ 60 ปีแล้ว และปีที่แล้วเขาก็ป่วยหนัก ดังนั้นเขาเลยทำนาไม่ได้สองวัน แต่กระนั้น เจ้าแก่หวงคนนี้ก็ยังส่งคนมาจับตัวเขาไปกระทืบจนเขาตายคาฝ่าเท้าของพวกมัน!”
“ตระกูลหวงสมควรตายอย่างสยดสยอง! ปีที่แล้วในตอนที่ลูกสาวของข้ากำลังจะแต่งงาน คนรับใช้คนหนึ่งของตระกูลหวงก็ได้บุกเข้ามาและข่มขืนนาง และในคืนเดียวกัน… ลูกสาวผู้น่าสงสารของข้าก็แขวนคอตายเพราะทนความอัปยศไม่ไหว! บัดสบจริงๆ!”
…
งานชุมนุมร้องทุกข์กินเวลาสามวันสามคืน และลำพังแค่คดีของเฒ่าหวงเพียงคนเดียวก็กินเวลาไปแล้วสองวันหนึ่งคืน
ในท้ายที่สุด ตระกูลหวงผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งได้ทำนาบนหลังคนก็ได้ถูกตัดสินโทษประหารและทำการประหารชีวิตบนเวทีต่อหน้าฝูงชน
มิฉะนั้นแล้ว การร้องทุกข์นี้ก็อาจจะกินเวลานานต่อไปเป็นเดือน
หลังจากงานชุมนุมร้องทุกข์จบลง มันก็ถึงเวลาแจกจ่ายที่ดินและทรัพย์สินของตระกูลหวงให้กับประชาชน
สิ่งนี้ทำให้ผู้คนในมณฑลจูเหอบูชากราบไหว้ซุยเฮ็งเป็นเหมือนดังเทพเจ้า
ในความเป็นจริง หลายคนก็ถึงกับกราบไหว้บูชารูปเหมือนของซุยเฮ็งที่บ้านและอธิษฐานถึงเขาทั้งกลางวันและกลางคืน
หลังจากที่ตระกูลหวงถูกกำจัดออกไป ปวงประชาก็ได้รับที่ดินและทรัพย์สินเป็นของตนเองเช่นกัน
มณฑลจูเหอทั้งหมดก้าวเข้าสู่ยุคแห่งความสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
อย่างไรก็ตาม ในบรรยากาศที่สุขสมอารมณ์ชื่นเช่นนี้ ข่าวชิ้นหนึ่งก็ได้เกาะกุมหัวใจของทุกคนราวกับหมอกควัน มันทำให้พวกเขากลับมาไม่สบายใจอีกครั้ง
มันคือข่าวที่กองทัพของราชาหยานผู้ก่อการกบฏกำลังจะมาโจมตีมณฑลจูเหอในไม่ช้า!
…
ในวันนี้ มีคนสองคนมาที่มณฑลจูเหอ
คนหนึ่งเป็นหญิงสาวที่ดูเหมือนจะอายุยี่สิบ และอีกคนเป็นเด็กสาวที่เพิ่งจะอยู่ในช่วงวัยรุ่นตอนปลายเท่านั้น พวกเธอทั้งคู่เป็นศิษย์ของศาลากระบี่ยู่หัวซึ่งเป็นสำนักใหญ่ในมณฑลลู่
หญิงสาวมีลักษณะที่งดงามและสวมชุดสีเหลือง เธอตัวเล็ก สวยงาม และมีชีวิตชีวา ดวงตาที่สดใสและมีชีวิตชีวาของเธอมองไปรอบๆ อย่างอยากรู้อยากเห็น เมื่อเธอเห็นแผงขายขนมขบเคี้ยวบนริมถนน เธอก็อดไม่ได้ที่จะหยุดดู
“ศิษย์พี่ มณฑลจูเหอแห่งนี้มีชีวิตชีวาและมีกลิ่นหอมมากเลย” เธอค่อยๆ ดึงชายเสื้อของหญิงสาวและถามเบาๆ ว่า “ท่านไม่ได้บอกว่ามันมีผู้ว่าการที่น่ากลัวปกครองที่นี่อยู่และเหล่าประชาชนกำลังตกอยู่ในนรกกันหรอกหรอ?”
หญิงสาวมีใบหน้าที่อ่อนเยาว์ และรูปลักษณ์ที่สดใสสวยงาม ออร่าของเธอนั้นสง่างามและดูมั่นคง มันให้ความรู้สึกเหมือนกับเธอเป็นบัณฑิต
“มันแตกต่างจากที่เรารู้มาก่อนหน้านี้จริงๆ” เธอเองก็ยังประหลาดใจเมื่อเห็นสถานการณ์ภายในเมือง เธอขมวดคิ้วเล็กน้อยและคิดว่า “ดูเหมือนว่ามันจะมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่เราไม่รู้เกิดขึ้นนะ”
“ในโลกที่วุ่นวายใบนี้ มันก็มีสถานที่ไม่มากนักที่ผู้คนจะสามารถใช้ชีวิตและทำงานอย่างสงบสุขได้ มันคงจะน่าเสียดายหากพวกเขาต้องถูกทำลายลงโดยกองทัพของราชาหยาน ครั้งนี้เราจะต้องทำให้ดีที่สุดเพื่อช่วยเหลือและป้องกันไม่ให้สถานที่แห่งนี้ถูกทำลาย”
“เราจะไปตามหาผู้ว่าการกันตอนนี้เลยไหม?” หญิงสาวถาม แต่สายตาของเธอก็ยังคงจับจ้องไปที่แผงขนมริมทาง
“ไม่” หญิงสาวพูดพร้อมกับส่ายหัวเบาๆ “เราต้องลองสอบถามข้อมูลจากคนที่นี่ดูก่อน”