ตอนที่ 465 ละเลงเลือด
เสียงดังมาจากหลังผาข้างหน้าพวกเขาเสียงนั้นดังเข้ามาใกล้ทุกทีได้ยินชัดเจนมาก ฝูเยี่ยนมีประสบการณ์มากมายฟังเสียงก็รู้ว่ากองทหารจำนวนหนึ่งกำลังมุ่งหน้าเข้ามาและไม่ใช่จำนวนน้อยอย่างแน่นอน
“เตรียมสู้!”
อสูรดวงดาวหรือ?
เป็นไปได้ไหมว่าจะเป็นภูตอสูรประเภทแมลงบิน?
ฝูเยี่ยนคิดว่าเขาน่าจะเดาถูกประมาณ 80-90% ขณะนั้นมีเงาพุ่งออกมาจากหลังภูเขา
ไวมาก!
ฝูเยี่ยนสั่นสะท้าน หางตาของเขากระตุกเซียนนักสู้! ความเร็วของฝ่ายตรงข้ามต้องเป็นนักสู้ระดับเซียนแน่นอน เดี๋ยวก่อน ฝูเยี่ยนรู้สึกว่าคนที่ตรงเข้ามารูปลักษณ์คุ้นตา เขาจ้องเขม็งและจำได้ว่าคนผู้นั้นคือ เซียนกระบี่เหอ!
แต่ว่า...
ท่านเหออยู่ในสภาพทุลักทุเลอย่างหนักเสื้อผ้าฉีกขาดรุ่งริ่ง ดินโคลนเปรอะไปทั้งตัว แม้แต่รองเท้าก็หลุดหายไป ฝูเยี่ยนไม่อยากเชื่อสายตาของเขา คนผู้นี้คือท่านเหอที่เขาเคารพนับถือหรือนี่?ถ้าเขาไม่รู้จักมาก่อน เขาคงคิดว่านั่นคือขอทานตามท้องถนน ไม่, ต่อให้เป็นขอทานของกลุ่มดาววาฬก็ยังสะอาดกว่าเจ้าผู้นั้นเยอะ
คนผู้นี้... ไม่นะ, เขาคือท่านเหอ...
เดี๋ยวก่อน นั่นคือท่านเหอ!
ฝูเยี่ยนค่อยรู้สึกตัวใครกันที่สามารถทำให้เซียนกระบี่ตกอยู่ในสภาพน่าอนาถเช่นนั้น? ทันใดนั้นสายตาของเขามองตรงไปข้างหน้า
บึ้ม!
หน้าผาที่อยู่ข้างหน้าระเบิดโดยไม่มีคำเตือน ก้อนหินจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งตรงเข้าหาพวกเขาเหมือนฝนตก แต่ไม่มีใครรู้ว่าจะหลบยังไงพวกเขายืนตะลึงกันหมดทุกคน พวกเขายืนมึนงงและมองดูเงามหึมาที่วิ่งเข้าหาพวกเขา
รังสีกระบี่นับพันหนาแน่นก่อตัวเป็นพายุหมุนขนาดใหญ่ อยู่ต่อหน้าพายุ พวกเขาดูเหมือนตัวเล็กนิดเดียวเงาจากพายุปรากฏอยู่ในสายตาพวกเขา ความกลัวอย่างไม่มีใดเปรียบผุดขึ้นมาจากส่วนลึกของหัวใจพวกเขา พวกเขาหน้าซีด ตัวสั่นโดยสัญชาตญาณ
“ฆ่า!”
ฝูเยี่ยนตะโกนประโยคนี้โดยสัญชาตญาณพิสูจน์ว่าเขามีคุณสมบัติเป็นผู้นำทหาร
ด้วยความคุ้นเคยกับคำสั่งทำให้นักรบก้าวออกมาโจมตีด้วยสัญชาตญาณของพวกเขาเองรังสีกระบี่และดาบหนาแน่นพุ่งออกมาจากด้านหลังของฝูเยี่ยนบรรจบกันเป็นพลังโจมตีขนาดใหญ่พุ่งเข้าหาพายุวังวนกระบี่
อนิจจา ผลที่ออกมาสร้างความผิดหวังให้ฝูเยี่ยน
การโจมตีของพวกเขาไม่อาจทะลวงพายุวังวนกระบี่ไม่ได้สร้างความสะเทือนหวั่นไหวแม้แต่น้อย เสียงหวีดหวิวที่แหลมคมเต็มทั้งฟ้าและดินทำให้ศีรษะของพวกเขามึนชารังสีกระบี่ที่หมุนปั่นด้วยความเร็ว ปั่นจนกระทั่งพวกเขาไม่อาจยืนหยัดมั่นได้
เมื่อถึงเวลานี้ สายเกินกว่าจะหลบหนี
ตาของฝูเยี่ยนแดงก่ำ เขาคำราม “ป้องกัน!”
เสียงคำรามของเขาในพายุนั้นเบา แต่ช่วยให้คนที่สิ้นหวังมีประกายแห่งความหวังและไขว่คว้าไว้
กำแพงคิงคองล้อมรอบกองทัพไว้หนาแน่นทุกคนกระตุ้นปราณแท้ของพวกเขาอย่างบ้าคลั่ง กำแพงคิงคองส่องแสงเป็นประกายสีทอง มีอักขระสีทองลอยอยู่บนผิว
กำแพงคิงคองเมื่อฝึกจนถึงระดับสูงสามารถสร้างอักษรจารึกสีทอง นี่สร้างความกล้าให้ผู้คนสองสามเท่า พวกเขาอาจจะรอดก็ได้
ฝูเยี่ยนต้องการให้ขบวนทัพทั้งสามสื่อสารถึงกันได้ ดังนั้นระยะห่างระหว่างขบวนทัพพวกเขาจึงไม่มากกว่า100 เมตร กองทัพทั้งสามตั้งท่าป้องกันที่ดีที่สุด ซึ่งเป็นทางเลือกเดียวของพวกเขา
พายุหมุนวังวนกระบี่ทำลายทุกอย่าง รังสีกระบี่หมุนอยู่วงนอกกำแพงคิงคองเหมือนกับพายุฝน เสียงที่ดังหนาแน่นป้องกันทุกคนไม่ให้ได้ยินอะไร
ประกายไฟแพรวพราวกระจายไปทั่วทุกมุมของกำแพงคิงคองแสงสว่างเจิดจ้าจนไม่มีใครเห็นอะไรได้ชัดเจน
ในสภาพที่ล่อแหลมทุกคนปล่อยเสียงคำรามอย่างบ้าคลั่งกระตุ้นปราณแท้กันอย่างสุดชีวิต มันคือความหวังเดียวที่พวกเขาจะรอดอยู่ได้
กำแพงคิงคองสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงและดูเหมือนกับจะพังทลายได้ทุกเมื่อ
ความตั้งใจจะเอาชีวิตรอดของมนุษย์นั้นน่ากลัวนัก ขณะที่รัศมีแสงเริ่มฉายไปที่นักสู้ในกองทัพทุกคน พวกเขาแทบจะบรรลุพลังก้าวหน้าในช่วงเวลาอย่างนั้น
สวรรค์ยังไม่ทอดทิ้งเรา
ฝูเยี่ยนตอนแรกรู้สึกได้ เขาเป็นผู้นำทหารและควบคุมรังสีได้ทั้งหมด ปราณแท้ที่ส่งผ่านมาจากนักสู้ทุกคนปะทุออกทันที กำแพงคิงคองซึ่งเดิมทีกำลังจะพังทลายกลับมั่นคงอย่างน่าอัศจรรย์
ขบวนของสามกองทัพเป็นรูปสามเหลี่ยมคล้ายกับสิ่วสามเล่ม พวกเขากระแทกพายุวังวนกระบี่อย่างดุเดือด
รังสีกระบี่ปะทะกับกำแพงคิงคองอย่างต่อเนื่องด้วยปริมาณของรังสีกระบี่ที่เพิ่มขึ้น สภาพของพายุวังวนกระบี่ที่แต่เดิมยังมั่นคงเริ่มมีท่าทีเบาบาง
พลังพายุวังวนกระบี่ค่อยๆอ่อนลง แต่กำแพงคิงคองสามกองทัพถึงขีดจำกัดแล้ว แม้ว่าคนจะมีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถก้าวหน้าได้ในเรื่องความเป็นความตาย
เมื่อจำนวนคนเพิ่มพลังลดลงหัวใจของฝูเยี่ยนตกลงไม่หยุด
กำแพงคิงคองสั่นสะเทือนหนักขึ้นทุกที แรงสั่นสะท้านเพิ่มมากขึ้น ปราณแท้ที่มาจากพวกเขาทุกคนค่อยๆ เสื่อมโทรมลง
เสียงเปราะแตกดังออกมาชัดเจนฝูเยี่ยนหลับตาอย่างสิ้นหวัง
เราทำอะไรลงไป!
ในเวลาใกล้เคียงกันกำแพงคิงคองของอีกสองกองพลแตกทำลายพร้อมกัน
ในเวลานี้พายุรังสีกระบี่ที่เบาบางระเบิดออกมาเสียงดังสนั่น ขณะที่รังสีกระบี่นับไม่ถ้วนกวาดออกไปรอบๆพร้อมกับเสียงระเบิด
รังสีกระบี่กวาดไปทั่วพื้นที่ทุกซอกทุกมุมของสนามรบไม่มีเหลือแม้แต่ที่เดียว
โลหิตมากมายฉีดพุ่งกระจายพร้อมกันเมื่อมองจากมุมมองบนอากาศ กลับเหมือนเหมือนดอกไม้โลหิตที่เบ่งบานเต็มที่
มีร่างหนึ่งลอยอยู่เลือดเนื้อด้านล่าง
ไม่มีเสียงหวีดหวิวแสบแก้วหู ไม่มีประกายแสง มีแต่หุบเขามรณะที่เงียบสงัดด้านบนดอกไม้โลหิต เด็กหนุ่มลอยตัวอยู่ในท่ายืนเงียบๆ ไม่มีความวิตกกังวลอยู่ดวงตาใบหน้าของเขาว่างเปล่าตัดกับภาพโลหิตที่อยู่ใต้เท้าเขาเต็มไปด้วยความงามที่แสนหฤโหด
“...สู้....”
เสียงกระซิบของเด็กหนุ่มเบาและไม่สามารถได้ยิน
ร่างของเด็กหนุ่มร่วงลงมาบนพื้นอย่างไร้พลัง
จิ่งหาวตาเหลือกทันที เขามาปรากฏข้างตัวถังเทียนทันทีและกอดเขาไว้
ทุกคนตกใจกับภาพนี้
สีหน้าของโต้วหย่งซีดเผือด เขาฝืนยิ้มซึ่งดูแล้วน่าเกลียดกว่าร้องไห้เสียอีก เขาพูดกับไป๋ซือซือ“ดูเหมือนว่าเราไม่จำเป็นต้องคิดเรื่องจะคิดบัญชีกับกลุ่มดาววาฬยังไงอีกต่อไปแล้ว”
เสียงของเขาสั่นเครือและมือของเขาสั่นสะท้าน
เขาเคยฆ่าคนอย่างมากมายมาก่อน แต่ฉากภาพข้างหน้าเขาทำให้เขาตกตะลึงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนชีวิตของนักสู้ช่างอ่อนแอเหมือนกับมดแมลง
ดอกไม้โลหิตบานค่อยๆเต็มพื้นที่ทั่วหุบเขา
ไป๋ซือซืองอตัวอาเจียนทันที
สีหน้าของเหออี้หมิงซีดขาวและงุนงง ตอนแรกเขายังมีพลังกรีดร้องเพื่อชีวิตแต่เมื่อเห็นฉากนองเลือดในสมรภูมิด้วยตาตัวเอง เขาทรุดตัวลงกับพื้น
“คราวนี้ลำบากจริงๆ” ปิงตบหน้าผาก เขารู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที
เขาไม่เคยใส่ใจกับกองพลปลาวาฬทั้งสาม เนื่องจากเขาเตรียมการจับพวกเขาไว้นานแล้ว แต่เขาไม่เคยคิดว่าถังเทียนจะมีพลังพอทำลายกองพลปลาวาฬทั้งสามทัพได้
ก็คงจะไม่เป็นไรหรอกถ้าจะพูดว่าแค่ทำลาย แต่ฉากภาพข้างหน้าที่ปรากฏต่อสายตานั้นนองเลือดและโหดอำมหิตเกินไป ปิงเข้าใจความเป็นจริง เขาคือคนที่ปีนป่ายออกมาจากกองซากศพ ในยุคเวลาของเขา ไม่ว่าในสนามเพลาะใดๆ ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะเกิดเหตุนองเลือดได้เสมอ
แต่ที่เหลือเล่า?
สงครามใหญ่เป็นเพียงบทนำนักสู้ส่วนใหญ่ในสวรรค์วิถีเติบโตขึ้นในสภาพแวดล้อมที่สงบ การฆ่าและการต่อสู้ของนักสู้เป็นเรื่องปกติทั่วไปไม่ได้เห็นกันบ่อยนัก
อย่างไรก็ตามฉากภาพก่อนนั้นผ่านไปนานแล้ว สมบัติมากมายกระจายไปทั่วทุกมุมสวรรค์วิถี
หลังจากต่อสู้ถังเทียนมีฉายาที่ดุร้ายมากมายว่า เพชฌฆาตหมู่
ปิงพ่นควันเป็นวงมุมปากของเขากระตุก แต่ก็ยังดีการฆ่ากองทัพทั้งสามด้วยตัวคนเดียว ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่นี้ แม้แต่พญาราชสีห์เลโอนก็ยังทำไม่ได้เมื่อตอนเขายังอายุน้อย หลังจากต่อสู้ สมาพันธ์ชาวยุทธในช่วงเวลาสั้นๆคงไม่กล้ามาทำอะไรพวกเขาแน่นอน
สำหรับพวกเขาเวลาคือสิ่งสำคัญที่สุด
พวกเขาต้องการเวลาเพื่อให้นักสู้ของพวกเขาเติบโตขึ้น ต้องการเวลาเพื่อจัดตั้งอาวุธจักรกลวิญญาณใหม่ต้องการเวลาเพื่อฝึกฝนเซียนนักสู้ของพวกเขาเอง แม้แต่ครึ่งก้าวจะสำเร็จชั้นเซียนก็ตาม
โอวบางทีสามคนนี้...
ปิงชำเลืองมองโต้วหย่งและคนที่เหลือซึ่งยืนเบียดกันอยู่ในระยะไกล
ปิงซึ่งเป็นคนแรกในบรรดาคนที่เหลือรู้สึกตัวก่อนเริ่มคิดก้าวต่อไปของเขา กลุ่มดาววาฬจบสิ้นแล้ว ด้วยการทำลายสามกองพลปลาวาฬ พวกเขาถูกมัดไปแล้วและจะถูกทำลาย ตอนนี้พวกเขาถือความได้เปรียบแล้ว
คนกลุ่มหนึ่งเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็วเป็นกองทหารที่ไม่คุ้นเคยและทุกคนระมัดระวัง
อาเดรียนพาเด็กหนุ่มร่างผอมเข้ามาหาปิง
“นี่คือผู้น้อยหลูตี๋เขานำพากองพลทหารพรานข่ายมาลี้ภัย”
ตาของหลูตี๋บวม ไม่ใช่แต่เพียงเขาเท่านั้น เนื่องจากเบ้าตาของอาเดรียนก็บวมเช่นกัน
ปิงตะลึง เขาให้อาเดรียนไปแนะนำหลูตี๋ให้ยอมแพ้ แต่ดูเหมือนว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับทั้งสองทำให้กลายเป็นเช่นนั้นดังนั้นเขาอดถามไม่ได้ “เกิดอะไรขึ้น?”
อาเดรียนหลั่งน้ำตาพูดพลางสะอื้น “กลุ่มดาวนายพรานตกอยู่ในเงื้อมมือของศัตรูแล้ว ท่านเจ้าดวงดาวตายแล้ว!”
ปิงตะลึง สีหน้าของเขาเคร่งขรึม เขาตบไหล่ของอาเดรียน หันไปคุยกับหลูตี๋“เจ้ามาได้เวลาจริงๆ ไปช่วยคนก่อน”
จากนั้นหลูตี๋และอาเดรียนจึงได้เห็นสถานการณ์ในหุบเขาได้ชัดทั้งสองคนตกตะลึงทันที
“นี่คือ?” หลูตี๋ถามเสียงสั่นเครือ ฉากภาพข้างหน้าเขาน่าอนาถเกินไปเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นสมรภูมิที่น่าสังเวชขนาดนั้น
“นี่เป็นฝีมือของเจ้าเด็กบ้าถัง” น้ำเสียงของปิงซับซ้อน
“เขาเพียงคนเดียวหรือ?” อาเดรียนตาเบิกกว้างเหมือนกับว่าไม่สามารถทำใจเชื่อได้ “เขา..เขาอยู่ในวังวนกระบี่เพื่อขัดเกลาจิตวิญญาณยุทธของเขาไม่ใช่หรือ?”
“มันคือวังวันกระบี่นั้น” ปิงส่ายศีรษะ “เจ้าจะรู้เมื่อถึงเวลา มาช่วยคนก่อน ไม่รู้ว่าเราจะช่วยได้สักกี่คน”
อารมณ์ของปิงซับซ้อน
ไม่มีผู้นำทหารที่ชอบสิ่งทำลายจนส่งผลเสียสมดุล แม้ว่าพวกเขาจะได้รับชัยชนะแต่ก็ทำให้การเตรียมการของเขาไม่มีความหมายต่อไป
ชนะก็ดีเหมือนกัน เขาหัวเราะให้ตัวเอง เขาไม่ใช่ถังโฉ่วจึงไม่สนใจกลายเป็นแม่ทัพที่มีชื่อเสียง
ไม่มีอะไรผิดปกติกับเจ้าเด็กห้าวถัง แม้ว่าเขาจะล้มลงหมดสติแต่ลมหายใจของเขาสม่ำเสมอ และหายใจของเขามั่นคงเหมือนกับว่า... เขาหลับสนิท...
เจ้าเด็กโง่นี่!
แม้กระทั่งการรบก่อนนี้ก็ได้ข้อสรุป กองกำลังหมาป่าและกองพลทหารราบโจมตีประตูดวงดาวสองสามแห่งและตัดทางถอยของกลุ่มดาววาฬ
อาเฮ่อ,หลิงซิ่ว, อาโมรี่และหานปิงหนิง และนักสู้ชั้นทองของกลุ่มดาวมังกรต่างนำกองโจรหมาป่าและเริ่มขับไล่ศิษย์ตระกูลสูงส่งที่ต้องการบรรลุความสำเร็จจากกลุ่มดาวหมีใหญ่ให้กลับบ้านไป
เมื่อกองทัพทั้งสามถูกทำลายและประตูดวงดาวถูกยึดครอง พวกเขาจึงกลายเป็นเต่าที่ถูกขังอยู่ในโอ่ง
พวกศิษย์เหล่านั้นสามารถต่อสู้ในการรบที่ป่าเถื่อนได้ แต่พวกเขาจะตื่นเต้นเมื่อพบกับอันตราย สถานการณ์กลายเป็นสิ้นหวังยิ่งขึ้นจนหัวใจพวกเขาเริ่มกระวนกระวาย
ไม่มีใครรู้ว่าใครยอมแพ้ก่อน เนื่องจากผู้คนเริ่มยอมแพ้คนแล้วคนเล่า
ที่สถาบันหมาป่าฟ้าพวกนักเรียนที่เพิ่งได้เปลี่ยนชุดจักรกลต่างก็โกรธโวยวาย พวกเขายังไม่ทันได้ลงเวทีต่อสู้เลยเจ้าพวกสวะเหล่านี้ก็ยอมแพ้เสียแล้ว
ขณะนั้นคำสั่งใหม่ก็ส่งมาถึงอย่างรวดเร็ว