ตอนที่ 463 หัวใจไร้กังวล
สีหน้าของจางหมิงเฮ่อแน่วแน่ พวกนักสู้ที่มากับเขาทุกคนเป็นนักสู้ฝีมือดีจากตระกูล การจู่โจมของกลุ่มดาววาฬครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะลุงของเขานั่นเอง และไม่มีใครคาดว่าเขาจะติดอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ (จางหมิงเฮ่อ-หนึ่งในเจ็ดอัจฉริยะรุ่นเยาว์สมาพันธ์ชาวยุทธ)
ตั้งแต่ถังเทียนปรากฏออกมาอย่างไม่มีปีมีขลุ่ยและได้รับฉายาว่าหินลับมีดของสมาพันธ์ชาวยุทธ อัจฉริยะของสมาพันธ์ชาวยุทธทุกคนเริ่มถูกเมินจากสายตาผู้คนทุกคน บรรดาอัจฉริยะที่พึงพอใจเดิมได้รับผลกระทบมากและกลับไปฝึกฝนที่บ้านเดิมอย่างจำใจ
พวกที่หนุนพวกเขาอยู่ข้างหลังจะประเคนทรัพยากรและควบคู่กับพรสวรรค์ที่สูงส่งของพวกเขาอีกทั้งความพยายามของตัวพวกเขาเอง พลังของพวกเขาจึงเพิ่มสูงขึ้น
แต่เมื่อเทียบกับถังเทียนผู้เฉิดฉายพวกเขาแทบจะเลือนหายไปในทันทีเมื่อเทียบกัน
อัจฉริยะผู้หยิ่งยโสถูกเด็กบ้านนอกจากดาวชนบทที่ห่างไกลพรากชื่อเสียงไปตั้งแต่เมื่อใดกัน?นอกจากนี้ ความสำเร็จในการรบของถังเทียนยังเป็นของจริงแท้ โค่นล้มกลุ่มดาวหมีใหญ่ได้ทั้งยังมีข่าวลือว่าถังเทียนเอาชนะนักสู้ระดับเซียนได้คนหนึ่ง แต่จางหมิงเฮ่อและพวกที่เหลือมีข้อมูลของเขาเองและรู้ว่าข้อมูลนี้จริง
แต่งั้นถ้าเขาเป็นเซียนนักสู้แล้วจะเป็นยังไง?
ความรู้สึกต้องการต่อสู้เต็มอยู่ในหัวใจจางหมิงเฮ่อ พลังปัจจุบันของเขาถ้าสู้กับเซียนนักสู้ที่อ่อนแอที่สุด มีโอกาสที่จะเอาชนะได้น้อย เขารู้ว่าเซียนนักสู้ที่ถังเทียนเอาชนะไม่ได้มีความก้าวหน้ามากนักหลังจากได้เป็นนักสู้ชั้นเซียน
จางหมิงเฮ่อเชื่อว่ากลยุทธของกลุ่มดาววาฬนั้นเป็นไปได้ เขาได้ถามน้องเจ็ดของเขามาก่อน น้องเจ็ดคิดว่าแผนการนี้ดีและมีโอกาสประสบความสำเร็จสูงมากและพวกเขามีคนสนับสนุนจำนวนไม่น้อย
แต่ไม่มีใครทราบว่าสถานการณ์กลับชะงักงันสถานการณ์ที่ตระกูลจางไม่มีหวังเลย สงครามพิษของกลุ่มดาวหมีใหญ่ ได้บอกกล่าวให้สวรรค์วิถีได้รู้ถึงวิธีใช้พิษทำสงคราม
แต่จางหมิงเฮ่อคิดว่าเป็นวิธีการที่สกปรก สงครามหมายถึงการวัดพลังกันที่แท้จริง ตามมาด้วยความนิยมของกำแพงคิงคองในที่สุดพวกเขาก็สามารถพ้นจากภาวะชะงักงัน
และประกาศจากเมืองสามวิญญาณถึงองค์การวิญญาณมืดยังคงส่งต่อไปให้สมาพันธ์ชาวยุทธอย่างรวดเร็วเช่นกันดังนั้นทุกคนคิดว่า จำเป็นต้องถอนหนามยอกที่สร้างความเจ็บปวดออกมาเพื่อบังคับให้กลุ่มดาวหมีใหญ่สู้ด้วยพลังที่แท้จริงพวกเขาจำเป็นต้องกำจัดวิธีสกปรกของพวกเขา
เมื่อสมาพันธ์ชาวยุทธเอาจริงความสามารถด้านปัญญาของพวกเขาก็แสดงออกมา ความขัดแย้งระหว่างเซรีนและตระกูลอีวานถูกเปิดเผยและแม้รู้ว่าผู้อาวุโสตระกูลอีวานขอให้บิดาของเซรีนยอมรับความผิดพลาดของเขา พวกเขาจับรายละเอียดได้รวมทั้งความโกรธของซูซี่ในครอบครัวนางและการกระทำของเหวินเจียง
เดิมทีพวกเขาไม่ได้มองว่าเหวินเจียงเป็นตัวละครที่มีความสำคัญอะไรและคิดว่าเป็นผู้อาวุโสที่ไร้ชื่อเสียง แต่พวกเขาคาดไม่ถึงว่าผู้อาวุโสคนหนึ่งจะจำเหวินเจียงได้
หมาป่าเดียวดายเหวินอี้เจียง
เซียนนักสู้ที่ครั้งหนึ่งเคยมีชื่อเสียงแล้วจู่ๆก็หายไป ทำให้สมาพันธ์ชาวยุทธแตกตื่นฮือฮา
เมื่อรู้ว่าเหวินเจียงแทรกซึมเข้าไปในเมืองสามวิญญาณสมาพันธ์ชาวยุทธก็เคลื่อนไหว จางหมิงเฮ่อยังไม่ได้เคลื่อนไหวเพราะในสายตาเขาปลาเล็กน้อยไม่ควรค่าให้เขาต้องลงมือ
เขามั่นใจการต่อสู้ที่จะเกิดขึ้น
เหวินเจียงคือนักสู้ระดับเซียนกับจางหมิงเฮ่อที่ใกล้จะบรรลุระดับเซียนแล้ว จางหมิงเฮ่อไม่เชื่อว่าเมืองสามวิญญาณจะสามารถต้านทานนักสู้ชั้นเซียนและนักสู้ที่อีกครึ่งก้าวก็จะเข้าสู่ระดับชั้นเซียน นอกจากนี้ เขามีนักสู้ชั้นทองสี่คน ทุกคนเป็นมือดีที่สุดในตระกูลจาง
น่าเสียดายที่ถังเทียนไม่อยู่ใกล้ๆ ถ้าไม่อย่างนั้นคงคุ้มค่าที่ได้ปะทะฝีมือกับถังเทียน
จางหมิงเฮ่อปรากฏตัวที่ประตูหน้าอย่างเกียจคร้านด้วยความมั่นใจและผ่อนคลาย
ทันใดนั้นเสียงเพลงดังขึ้นทำให้เขาหยุดอยู่กับที่ เขาเงยหน้าขึ้นมองที่หอคอยที่สูงที่สุด มีร่างสีขาวกำลังลอยอยู่ข้างหน้า
นั่นคือ...คุณชายขลุ่ยวิเศษ!
จางหมิงเฮ่อหรี่ตา สมาพันธ์ชาวยุทธได้รับรายงานเมืองสามวิญญาณอย่างละเอียด เมืองสามวิญญาณมีนักสู้ผู้แข็งแกร่งอยู่ไม่กี่คน แต่พวกเขามีนักสู้สายดนตรีอยู่สองคนคือเฒ่าบอดซอกำศรวลและคุณชายขลุ่ยวิเศษ
จางหมิงเฮ่อไม่เห็นเฒ่าบอดซอกำศรวลอยู่ในสายตา นักสู้ในทำเนียบสวรรค์วิถีที่ระดับต่ำขนาดนั้นไม่คู่ควรกับเขา นอกจากเขาสูงอายุแล้ว เขาไม่มีศักยภาพเท่าใดนัก และคงจะมีปัญหาในฐานะผู้พิทักษ์
แต่เขาสงสัยเกี่ยวกับคุณชายขลุ่ยวิเศษปรมาจารย์สายสำเนียงเพลงผู้ที่ครั้งหนึ่งได้รับการยกย่องและมีชื่ออย่างมาก กล่าวกันว่าเขาคือตำนาน ความแข็งแกร่งลึกๆ ของเขาไม่มีใครรู้
น่าเสียดายเขาเป็นแค่ขุนพลวิญญาณที่ได้รับความเสียหาย...
จางหมิงเฮ่อสายหัว ถังเทียนไม่รู้วิธีใช้ของต่างๆ ของเขาอย่างสมควรจากวิธีที่จางหมิงเฮ่อเห็น การใช้ขุนพลวิญญาณอย่างคุณชายขลุ่ยวิเศษเพื่อต้านศัตรู ผู้ไม่แข็งแกร่งพอบุกทำลายแนวของศัตรูไม่ใช่การใช้ที่ถูกต้อง ขุนพลวิญญาณอย่างคุณชายขลุ่ยวิเศษเหมาะกับการเป็นครูบาอาจารย์มากที่สุด ยังมีทำนองดนตรีโบราณน้อยเกินไปซึ่งมีแต่ผู้ประพันธ์ดั้งเดิมเท่านั้นที่รู้ นั่นคือจุดที่ขุนพลวิญญาณที่ได้รับความเสียหายสามารถฉายประกายได้
เขาเหมือนกับเทพบุตรจากภาพวาดจริงๆ!
จางหมิงเฮ่อนักสรรเสริญและเสียใจอยู่บ้าง น่าเสียดายเขาไม่ใช่ขุนพลวิญญาณของข้า
ท่าทีชื่นชมของจางหมิงเฮ่อเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันทีนักสู้รอบๆ ตัวเขาทะยานขึ้นในอากาศพุ่งตรงเข้าหาขลุ่ยวิเศษ
ขณะที่ท่วงทำนองเพลงดังอ้อยอิ่งออกมา หน้าของคุณชายขลุ่ยวิเศษมีความปลาบปลื้มและพอใจ
ทำนองเจ็ดสังหารเขาสำเร็จไปหกทำนองนานแล้ว แต่เขายังไม่พอใจกับทำนองที่เจ็ดและเขายังด้อยปัญญาเพื่อให้บรรลุทำนองที่เจ็ด จนแทบตกอยู่ในอาการคุ้มคลั่ง เขาเพียงแต่สำเร็จทำนองที่เจ็ดเมื่อเขาตาย
ข้าไม่ยินยอมสูญสลายไปเพราะข้าต้องการเล่นมันกระมัง?
ข้าก็มีความหลงใหลของตนเองด้วยเช่นกัน...
ข้าไม่เคยคิดว่าข้าจะมีโอกาสเล่นเพลงนี้ ความจริงมันรู้สึกดีมาก
สุภาพบุรุษตอนนี้พวกเจ้าจะได้ฟังทำนองที่เจ็ดของข้า หัวใจไร้กังวล
ขณะที่ทำนองเพลงดังออกมาจากขลุ่ยบรอนซ์ของเขาแสงที่คล้ายกับควันพลุ่งออกมา แสงหลากสีลอยอยู่ในอากาศเหมือนกับต้นอ่อนที่งอกจากเมล็ด สีเขียวกลายเป็นต้นไม้ สีแดงกลายเป็นดอกไม้ สีน้ำเงินกลายเป็นท้องฟ้าสีทองกลายเป็นดวงอาทิตย์...
เมื่อเพลงเริ่มบรรเลง จางหมิงเฮ่อยังคงสงสัยจนกระทั่งเขาตระหนักได้ทันทีว่าท้องฟ้าด้านหลังคุณชายขลุ่ยวิเศษกลายเป็นสีฟ้าทำให้เขาสั่น
แสงรอบๆตัวเขาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
สวรรค์ที่งดงามและท้องฟ้าต้นไม้เก่าแก่และทุ่งหญ้าเขียวขจีสว่างไสวด้วยแสงตะวันไล้อบอุ่นนุ่มนวลท้องฟ้าสีน้ำเงินมีเมฆงามลอยละล่อง บุปผาชาติงดงามนับไม่ถ้วนผลิบานทะเลสาบสะท้อนประกายระยิบระยับอยู่ไกลๆ ทำนองขลุ่ยที่ยอดเยี่ยมอ้อยอิ่งอยู่ในหู ท่วงทำนองไพเราะจนอธิบายไม่ถูกทำให้จางหมิงเฮ่อกลายเป็นเหมือนคนโง่ ความกังวลในใจของเขากระจัดกระจายหายไปในสายลม
เขาลืมเรื่องราวในอดีต เขารู้แต่เพียงว่ารู้สึกพอใจจนอธิบายไม่ถูก เขานั่งลงบนพื้นหญ้าทำให้เขารู้สึกสบายยิ่งขึ้น
นุ่มมาก...ข้าอยากหลับ...
เขาจำไม่ได้ว่าเขามีเรื่องที่ต้องทำ แต่ไม่ว่าจะพยายามอย่างหนักเพียงไหนเขาก็จำไม่ได้ ในเวลาอันรวดเร็ว ความทรงจำนั้นหายไป หน้าของเขายิ้มพึงพอใจเหมือนกับต้องการจะหลับ
ทันใดนั้นเครื่องประดับรูปลูกสุนัขที่ห้อยอยู่ที่เอวเขาเปล่งแสงเรืองรอง รัศมีทองซึมเข้าไปในร่างของเขา
จางหมิงเฮ่อสั่นไปทั้งตัว หน้าเขามีท่าทีเจ็บปวดแต่เขารีบสลัดออกจากภาพลวงตาทันที
แย่แล้ว!
ข้าเชื่อฟังตามมันหรือนี่...
ความเย็นยะเยือกผุดขึ้นในใจเขา ถ้าไม่ใช่เพราะสมบัติของเขาคอยปกป้องไว้ เขาคงตายไปแล้วเขากำเครื่องประดับรูปลูกสุนัขไว้แน่น ดูเหมือนรูปลูกสุนัขจะมีภูมิหลังที่หลากหลาย มันคือสุนัขคำนึงสมบัติชั้นทองของกลุ่มดาวสุนัขเล็ก ในฐานะกลุ่มดาวตำหนักระนาบกลาง สมบัติชั้นทองของกลุ่มดาวสุนัขเล็กจะเป็นของธรรมดาได้อย่างไร? ความจริงมีจิตวิญญาณยุทธโบราณผนึกอยู่ในนั้นมีพลังดวงดาวหล่อเลี้ยงทุกวัน มันจึงแข็งแกร่งกว่าในอดีตมาก จางหมิงเฮ่อเลี้ยงดูด้วยเลือดและพลังงานของเขาดังนั้นมันจึงเชื่อมกับหัวใจของเขา
สมาพันธ์ชาวยุทธได้ค้นคว้าวิจัยสมบัติดวงดาวมาอย่างเข้มข้น แต่สมบัติที่ต้องอาศัยเลือดและพลังงานหล่อเลี้ยง ถือเป็นวิธีการนอกรีต อย่างไรก็ตามวิธีที่อันตรายมากนี้กลับได้ผลดีมาก
เพลงยังคงไม่หยุดทำให้หน้าของจางหมิงเฮ่อมองดูว่างเปล่า แต่หลังจากนั้นชั่วขณะ เขาก็สั่นอีกครั้งและจากนั้นชั่วขณะเขาก็มึนงงอีก มันเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าทำให้เขารู้สึกแปลก
เมื่อเหวินเจียงได้ยินเพลงเขาเป็นเหมือนแมวที่รู้สึกถึงอันตรายขนทั้งตัวลุกชัน เขาเป็นนักสู้ระดับเซียน ดังนั้นสัญชาตญาณของเขาจึงเด่นชัดกว่าจางหมิงเฮ่อมาก
เซียน!
พวกเขามีเซียนนักสู้!
ก่อนที่เขาจะทันมีเวลาตั้งตัวรอบตัวเขาเปลี่ยนไป ฉากภาพต่อหน้ากลายเป็นมีชีวิตชีวาทุกสิ่งเงียบสงบไม่มีรังสีฆ่าฟัน แต่ทำให้ขนและผิวเขามึนชา
สนามพลังวิญญาณอะไรกัน?
รอบตัวเหวินเจียงมีประกายรังสีวงกลมดำ มันคือสนามพลังวิญญาณวงล้อคู่แย้ง ในพื้นที่นี้ เขาสามารถโจมตีได้ดั่งใจไม่มีการสะดุดติดขัดระหว่างเปลี่ยนกระบวนท่าสู้
ในบรรดานักสู้หลายคนบางทีพวกเขามีวิชาต่อสู้ที่ย้อนแย้งกันและกัน ดังนั้นพวกเขาไม่สามารถใช้ร่วมกันได้ แต่สนามพลังวิญญาณของเขาจะทำให้เขาใช้วิชาต่อสู้ทั้งหมดนั้นได้อย่างสมบูรณ์
วิชาเหล่านั้นเหมือนกับกงล้อที่หมุนอยู่ข้างหนุนเสริมกันจึงมีชื่อว่าวงล้อคู่ย้อนแย้ง
วงล้อคู่ย้อนแย้งมีการใช้งานง่ายๆแต่ทรงพลังมาก มันเป็นการละเมิดตรรกะพื้นฐานของวิชาต่อสู้ วิชาต่อสู้ที่ตรงกันข้ามย้อนแย้งกันจะทำให้ศัตรูพบกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการต่อสู้ระยะประชิดจะช่วยให้เปล่งประสิทธิภาพเต็มที่
วงล้อคู่ย้อนแย้งเป็นสนามพลังวิญญาณที่ใช้ในรูปแบบรุกต่อสู้และไม่มีผลทางต่อต้าน
เหวินเจียงสามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเพลงกำลังกัดกร่อนสนามพลังวิญญาณของเขาอย่างต่อเนื่องเมื่อสูญเสียการปกป้องของสนามพลังวิญญาณ เขาอาจแค่รอให้พวกเขามาจับเขา
ตาของเหวินเจียงเปล่งประกายเยือกเย็น เขารู้ว่าเขาจำเป็นต้องลุยเข้าหาศัตรูของเขา ขอเพียงเข้าประชิดเขาก็สามารถปลดปล่อยแสดงอานุภาพสนามพลังวิญญาณของเขา
เขาเผชิญหน้ากับที่ว่างข้างหน้าและเร่งความเร็วเข้าหาเหมือนสายฟ้า
ในช่วงเวลาสั้นๆเขาใช้วิทยายุทธที่ขัดแย้งกันถึงสี่วิชา สี่รูปแบบรังสีแสงมีทั้งรวมตัวและกระจายตัว
ปัง!
แรงระเบิดรุนแรงทำให้เขายืนไม่มั่นคง แต่ภาพลวงตาข้างหน้าเขามีรูปรากฏ
รูข้างหน้าค่อยๆเล็กลงๆ เหวินเจียงไม่สนใจอะไรอื่นตรงเข้าหารูที่กำลังเล็กลงนั้น
มีดาบและกระบี่ในมือคนผู้หนึ่ง อาวุธเป็นประกายแพรวพราวและปรากฏที่รู
แม้ว่าพลังของคู่ต่อสู้ไม่สามารถเทียบกับเขาได้ แต่มีวิชาของสองคนที่ใช้ออกเต็มกำลังไม่มียั้งพลังไว้
พวกเขาต้องการบีบบังคับให้เขาถอยกลับไป
เหวินเจียงตวาดลั่นเหยียดแขนขาอยู่ในกลางอากาศ แสงรัศมีสิบหกสายกระทบมีดและกระบี่
นักสู้ทั้งสองร้องลั่นขณะที่พวกเขากระเด็นไปไกล
เหวินเจียงหน้าซีดออกมาจากช่องนั้นและเขาถอนหายใจโล่งอก
สนามพลังวิญญาณประเภทภาพลวงตาจำเป็นต้องใช้เวลาเพื่อสร้างให้สำเร็จ และเขาไม่สามารถจัดการให้ทันเวลาดังกล่าว เหวินเจียงเงยหน้ามองดู สายตาเขามองเห็นขลุ่ยวิเศษที่ลอยตัวอยู่ในหอคอยที่สูงที่สุด
ขลุ่ยวิเศษหลับตาขณะเป่าขลุ่ยเส้นสายแสงพรั่งพรูออกมาจากตัวเขา
นักสู้สองสามคนกระโจนเข้าหาเหวินเจียงอย่างดุร้าย
หาที่ตาย! ตาของเหวินเจียงกระพริบอย่างรุนแรง
ขณะที่เขาเตรียมกำจัดกระสุนมนุษย์นี้สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนทันที