ตอนที่ 462 เคลื่อนพายุวังวนกระบี่
....สู้...
เสียงเลือนรางอยู่ในอากาศเหมือนกับเสียงกระซิบ
ทั้งที่ร่างยังสั่นอยู่ เขาก้าวเดินก้าวแรกทำให้ร่างในตาพายุซวนเซ
พายุวังวนกระบี่สั่นสะเทือนอาคารที่ปะทะเหมือนกับเขย่ากล่องของเล่นมันสั่นสะเทือนจะเหมือนจะพังทลายได้ทุกเมื่อ จิ่งหาวที่ยืนอยู่ใกล้ๆ สามารถเห็นชั้นรังสีกระบี่นับไม่ถ้วนเคลื่อนตัวเหมือนกับหิมะถล่มทำให้เขาขนลุกชัน
เจ้าเด็กนี่.... จะทำอะไรกันแน่?
ใจของจิ่งหาวระวังมากขึ้นกับความรู้สึกอันตราย
ครืนๆ
พายุวังวนกระบี่ซวนไปเซมาเหมือนกับคนเมาและค่อยๆ เคลื่อนไปยังตำแหน่งหนึ่ง
จิ่งหาวตะลึง เจ้าสิ่งนั้นสามารถเคลื่อนไหวได้จริงๆ...
นะ..นี่ นี่ นี่...คือวิชาวังวนกระบี่ทอนวิญญาณจริงๆ หรือนี่?
เขาตกตะลึงเขารู้เรื่องวิชาวังวนกระบี่ทอนวิญญาณ เนื่องจากเป็นมือกระบี่คนหนึ่ง เขาเข้าใจวิชากระบี่ของสำนักต่างๆ และวิชาวังวนกระบี่ทอนวิญญาณคือวิชาขัดเกลาวิญญาณที่รุนแรงที่สุด แล้วเขาจะไม่รู้จักมันได้อย่างไร? ไม่เพียงแต่เขารู้จักเท่านั้นเขายังค้นคว้าเป็นพิเศษมาช่วงเวลาหนึ่งอีกด้วย สำหรับคนที่สร้างวิถีกระบี่เองอย่างเขา เขาสนใจเคล็ดวิชาที่เกี่ยวกับกระบี่ทั้งหมด
วิชาวังวนกระบี่ทอนวิญญาณ ข้าไม่เคยได้ยินว่ามันสามารถเคลื่อนที่...สิ่งนี้ใช้เพื่อฝึกฝนขัดเกลาจิตวิญญาณยุทธ ไม่เคยวิ่งอาละวาดไปในที่ต่างๆ
หลังจากผ่านไปสองสามนาทีจิ่งหาวก็เรียกความรู้สึกกลับมา จริงสินะ อะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับถังเทียนถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงก็คงดูจะเป็นเรื่องผิดปกติ และถ้าสิ่งเหล่านั้นไม่เปลี่ยนแปลงจนกลายเป็นสิ่งแปลกประหลาด อย่างนั้นของนั้นก็คงจะเป็นสิ่งประหลาดโดยตัวมันเอง!
คุณค่าของเจ้าเด็กบ้านั่นก็คือป่วนโลกจนผิดเพี้ยนไปหมด
แต่..ยังไงก็ขอให้ปลอดภัยเถอะ
แววกังวลฉายผ่านในดวงตาของเขาเขาถือกระบี่บินไล่ตามพายุวังวนกระบี่ที่กำลังเคลื่อนไหว
เซียนนักสู้ทั้งสามที่อยู่บนเนินเขาตกตะลึง
“มันกำลังตรงมาหาเราหรือ?” โต้วหย่งถาม
“ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้น” สีหน้าของเหออี้หมิงซึมเซา
ไป๋ซือซือตะลึงมองดูพายุวังวนกระบี่ครืนๆและฝืนใจกล่าว “เขาเป็นตัวประหลาดแบบไหนกันแน่?”
ประโยคนั้นกระทบใจของนักสู้อีกสองคน
พายุวังวนกระบี่มีขนาดใหญ่มากส่งเสียงดังกระหึ่มตรงไปที่พวกเขา แม้ว่าทั้งสามจะเป็นนักสู้ระดับเซียนแต่เมื่อเผชิญกับพลานุภาพที่น่ากลัวขนาดนั้น ก็ทำให้จิตใจของพวกเขาไขว้เขวได้เช่นกัน
นั่นคือพลังของสวรรค์อย่างแท้จริง...
“เราจะทำยังไงดี?” โต้วหย่งถามตามตรง “เจ้าตัวประหลาดนั่นกำลังตรงมาหาเรา”
“หนี!” เหออี้หมิงบอกตามตรงเช่นกัน
“หนี!” ไป๋ซือซือทวนคำพูดของเขา
โต้วหย่งมองดูอีกสองคน “ทำแบบนั้น มันน่าขายหน้าไปหน่อย เฮ้.. เราทั้งสามเป็นเซียนนักสู้นะ!”
“อย่างนั้นเจ้าไปลองดูก่อนไหมเล่า?” ตาของเหออี้หมิงมองให้กำลังใจ
ดวงตาคู่งามของไป๋ซือซือมองดูโต้วหย่ง
“เผ่นเถอะ!”โต้วหย่งก้มหน้าตาวิ่งออกไปก่อน
ทั้งสามเร่งความเร็วสุดฝีเท้า จากนั้นพายุวังวนกระบี่ที่ดูเป๋ไปเป๋มาก็เร่งความเร็วเพิ่มขึ้นเช่นกันเสียงครืนๆ ด้านหลังพวกเขาอยู่ไม่ห่างเลย มีแต่จะดังใกล้เข้ามาทุกที
ทั้งสามคนถูกกดดันจนต้องเร่งความเร็วขึ้น
“ซือซือใช้พิณของเจ้า” เหออี้หมิงตะโกน
ไป๋ซือซือสั่น ดึงพิณกู่ฉินหยกขาวออกมาทันทีไม่สนใจภาพลักษณ์ของนาง มือซ้ายถือพิณ มือขวาเริ่มดีดสายพิณ
ติง ติง ติง!
เสียงเพลงนุ่มนวลชวนให้โลกทั้งใบสงบลงท่วงทำนองเพลงใคร่ครวญในความสงบ เป็นเพลงที่สร้างชื่อให้ไป๋ซือซือ นางผสานเสียงร้องของนางพร้อมกับบรรเลงทำนองเพลงเพื่อจิตวิญญาณซึ่งสามารถทำให้ใจของผู้คนสงบลง
ต่อให้เป็นภูตอสูรดวงดาวระดับเก้าที่กำลังคลั่งเมื่อได้ยินท่วงทำนองนี้ ก็ยังสงบลงได้
บ้าจริงๆ...พายุวังวนกระบี่ยังตามไล่เราเร็วกว่าเดิมอีก
ไป๋ซือซือกัดริมฝีปาก เปลี่ยนท่วงทำนองบรรเลงพิณจากใคร่ครวญในความสงบ กลายเป็นเพลงที่ดุดันมากขึ้นจนแทบทำให้เลือดลมพลุกพล่าน ด้วยเพลงมนต์ปีศาจนางสร้างภาพเทพธิดา เพื่อสร้างความสับสนและภาพลวงตา
แม้แต่นักสู้ระดับทอง ภายใต้ท่วงทำนองนี้ เส้นโลหิตของพวกเขาจะต้องระเบิดหัวใจจะเต้นแรงจนตายเนื่องจากการสันดาปของร่างกาย
บ้าจริง.. พายุวังวนกระบี่ยังคงเพิ่มความเร็วขึ้นอีก
ทั้งสามคนสามารถรู้สึกได้ถึงกระแสพายุรังสีกระบี่ไล่หลังพวกเขากำลังตัดอากาศสร้างระลอกโจมตีเป็นพลังที่แม้แต่นักสู้ระดับเซียนถึงกับเย็นสันหลังวาบ
“แยกย้ายกันหนี!” เหออี้หมิงตะโกน
ทั้งสามคนแยกย้ายกันบินไปสามทิศทาง
ทั้งสามคนสามารถรู้สึกได้ทันทีพายุหมุนกระบี่ชะงักเล็กน้อยฮ่าฮ่า เจ้าจะทำยังไงต่อไป! ทั้งสามคนถอนหายใจโล่งอกวินาทีต่อมาพายุหมุนกระบี่ก็พุ่งเข้าหาเหออี้หมิงที่อยู่ตรงกลางอย่างไม่ลังเล
หน้าของเหออี้หมิงซีดขาว ผมตั้งชันหนังศีรษะชาเขาไม่สนใจภาพพจน์ตนเองและวิธีที่จะหนีต่อไปเขากระตุ้นปราณแท้ทั้งหมดในร่างปลดปล่อยพลังลงที่เท้า แล้วเร่งหนีสุดกำลัง
เมื่อเห็นว่าเหออี้หมิงดึงความสนใจพายุหมุนกระบี่และหายลับขอบฟ้าไปโต้วหย่งและไป๋ซือซือหันมามองหน้ากัน ทั้งสองคนมีสีหน้าดีใจ
“พี่เหอจะตายไหม?”ไป๋ซือซือห่วงใย
“ข้าจะสวดภาวนาและทำบุญกรวดน้ำให้เขาแน่”โต้วหย่งสาบาน
ไป๋ซือซือหยุดพูด
“เจ้าอยากช่วยเขาหรือ?” โต้วหย่งถามหลังจากเห็นนางทำท่าอย่างนั้น
ไป๋ซือซือส่ายศีรษะ “ไม่, ข้ากำลังคิดว่าจะไปสวดภาวนาให้เขาที่ไหนดี”
ทั้งสองคนพูดไม่ออก
เมื่อสายลมพัดผ่านทั้งสองคนรู้สึกหนาวเล็กน้อย
โต้วหย่งมองดูสถานที่รกร้างและพูดทันที “ข้ามีลางสังหรณ์อัปมงคล”
ไป๋ซือซือได้แต่เงียบ
“การตัดสินใจของฝ่าบาทบางทีอาจผิดพลาด” โต้วหย่งพึมพำ “ข้าไม่เคยเห็นคนแปลกประหลาดแบบนั้นมาก่อน ข้าคิดว่าถ้าถังเทียนไม่ตายตอนนี้ เขาจะกลายเป็นเหมือนราชสีห์เลโอน”
“มีแนวโน้มจะเป็นเช่นนั้น” ไป๋ซือซือกล่าวต่อ “ถ้าถังเทียนไม่ตายภายใต้พายุหมุนกระบี่ที่ทรงพลังอย่างนั้นจิตวิญญาณยุทธจะถูกขัดเกลาจนอยู่ในสภาพที่น่ากลัว การที่เขาจะกลายเป็นนักสู้ระดับเซียนได้นั้นเป็นเรื่องของเวลา แต่คงไม่นานแน่ ตราบใดที่เขาเข้าสู่ขอบเขตเซียนจิตวิญญาณยุทธของเขาจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าใคร และนั่นจะทำให้เขาน่ากลัวมากขึ้น”
โต้วหย่งมองดูไป๋ซือซือ เขาสะดุ้ง บุคลิกของไป๋ซือซือเป็นคนสงบนิ่งและนี่เป็นครั้งแรกที่โต้วหย่งได้ยินนางพูดมากมายขนาดนั้น
แต่คำพูดของนางทำให้เขาเงียบ
หลังจากนั้นชั่วขณะเขาเงยหน้าและมองดูไป๋ซือซือ “อย่างนั้นเราจะทำยังไง?”
ทั้งสองคนเงียบอีกครั้ง
ถ้าถังเทียนไม่ตาย อย่างนั้นกลุ่มดาววาฬคงล่มสลายแน่นอน แม้ว่าพวกเขาจะเป็นเซียนนักสู้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่คิดถึงอนาคตของพวกเขา การกระทำของผู้ชนะและการให้อภัยอีกฝ่ายหนึ่งพฤติกรรมของเจ้าปกครองที่ดีนั้น มีแต่เพียงในหนังสือเท่านั้น ยิ่งเป็นเจ้านายผู้กล้าก็ชอบให้ชำระหนี้พวกเขา ในอดีต มีเซียนนักสู้สามคนเป็นเหตุให้กองทัพของเลโอนเกิดการตายและบาดเจ็บมากมาย หลังจากที่พวกเขาพ่ายแพ้ เซียนนักสู้ทั้งสามต้องการหลบหนี แต่พวกเขาถูกทหารของเลโอนจับฆ่า
มีเซียนนักสู้ที่โดดเดี่ยวไม่กี่คนเนื่องจากพวกเขาส่วนใหญ่มีตระกูลคอยหนุนหลังเซียนนักสู้ที่ไม่มีครอบครัวก็ยังมีศิษย์คอยสืบทอดวิชา
สายลมดูเหมือนจะเย็นยะเยือกขึ้น
******
เมืองสามวิญญาณ
การต่อสู้ในมุมหนึ่งสร้างความประหลาดใจให้หลายๆคน ทุกคนตกตะลึงกับพลังของเหวินเจียง นักสู้ระดับสูงยี่สิบคนที่รุมล้อมเขากำลังสู้กับเขา แต่เหวินเจียงก็ยังสามารถต้านรับได้
วิชาต่อสู้ที่ดูเหมือนธรรมดา แต่เมื่ออยู่ในมือของเหวินเจียงกลับกลายเป็นทรงพลังมาก
นักสู้ทั้งยี่สิบคนไม่สามารถทำอะไรกับเหวินเจียงได้ นักสู้สายจักรกลหลายคนที่กำลังฝึกอยู่เตรียมช่วยเป็นกำลังเสริม แต่ในเวลารวดเร็ว ทุกคนได้รับคำสั่งจากเบื้องบนว่าพวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้ช่วย!
คำสั่งที่ส่งลงมาทำให้พวกเขารู้สึกแปลก แต่พวกเขาทุกคนยังคงยืนดูอยู่ด้านข้างจนถึงที่สุด
ตำแหน่งของถังโฉ่วยังคงเหมือนเดิม เมื่อดูรายละเอียดการต่อสู้ทั้งหมด ตาของเขาเป็นประกายประหลาดเขาทุ่มเทสมาธิเต็มที่ ปากกาในมือของเขายังคงถูกใช้งานด้วยความเร็วที่น่าประหลาดเขายังคงจดลงในสมุดต่อไป
นักสู้ระดับเซียนกำลังถูกถอดรหัสด้วยสายตาของเขา การวิเคราะห์รายละเอียดทุกอย่างเป็นไปได้ดี รายละเอียดทุกอย่าง ทุกๆ การต่อต้านในการต่อสู้ อยู่ในใจเขาทั้งหมดทั้งหมดนั้นถูกแบ่งลงเป็นข้อมูล
การโจมตีที่น่าตื่นตาตื่นใจถูกลอกออกเป็นชั้นๆเหมือนกับเสื้อผ้ากลายเป็นสภาพล่อนจ้อนในสายตาของเขา
กระดาษขาวข้างหน้าเขาเต็มไปด้วยข้อมูลรูปแบบและการออกแบบทุกมุมกระดาษถูกเขียนไว้
การจ้องมองอย่างประหลาดเขียนอย่างเมามันของเขา กระดาษเต็มไปด้วยคำและลายมือเขียนสำเร็จลงอย่างรวดเร็ว
ขลุ่ยวิเศษปรากฏตัวด้านหลังถังโฉ่วเงียบๆโดยไม่รบกวนเขา
ถังโฉ่วหยุดทันที วางปากกาในมือเขาถามโดยไม่หันหน้ามามอง “ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่?”
“เสร็จแล้วหรือ?” ขลุ่ยวิเศษถาม
“ใช่,เสร็จแล้ว” ถังโฉ่วยืดเอวแววประหลาดในดวงตาของเขากลับสู่ความเยือกเย็นอีกครั้ง “ข้าได้รับข้อมูลเพียงพอแล้วและต้องการศึกษาให้ดี”
“เจ้ามีบางอย่างใช้ต้านทานในระดับเดียวกันบ้างไหม?” ขลุ่ยวิเศษหัวเราะเบาๆเสียงหัวเราะของเขาสดชื่น
“ข้าจะต้องกลายเป็นผู้นำทหารระดับชั้นผู้บัญชาการที่มีชื่อเสียงให้ได้และนักสู้ระดับเซียนคือเป้าหมายที่ข้าจะต้องเอาชนะผ่านไปให้ได้” จากนั้นถังโฉ่วเตือน “เจ้าต้องระวังให้มากเราจะต้องทำให้สมาพันธ์ชาวยุทธต้องเจ็บปวด พวกเขาจะต้องคิดหาทางเอาชนะเราแน่ เมื่อมีโอกาสดี พวกเขาจะต้องไม่พลาดแน่”
เมื่อถังโฉ่วพูดจบ เสียงต่อสู้ดังมาจากอีกด้านหนึ่งของฐานทัพ
“อาโฉ่ว,เจ้ารอบคอบเหลือเชื่อจริงๆ” ขลุ่ยวิเศษสรรเสริญ
“แม้ว่าข้าจะไม่ต้องการรบกวนเจ้า แต่ครั้งนี้ เราต้องการเวลาบ้าง” ถังโฉ่วพูดอย่างใจเย็น “จะดีที่สุดถ้าเจ้าเปิดการแสดงที่อลังการเพื่อข่มขู่พวกเขาบ้าง”
ขลุ่ยวิเศษแนะนำเขาอย่างเป็นกันเอง “รังสีฆ่าฟันของเจ้ารุนแรงมากเหลือเกิน”
“ขุนพลคนหนึ่งประสบผลสำเร็จเหนือพันโครงกระดูก และข้าต้องการเป็นขุนพลที่มีชื่อแล้วข้าจะไม่ฆ่าได้ยังไง?” ถังโฉ่วไม่เงยหน้ายังคงจดจ่ออยู่กับกระดาษ “ไม่เพียงต้องฆ่าเท่านั้น แต่ข้าต้องการฆ่าพวกเขามากๆ เสียด้วย”
ขลุ่ยวิเศษหัวเราะอย่างจนใจ จากนั้นเหาะออกไป
การเลื่อนระดับพลังของถังโฉ่วทำให้บุคลิกภาพของเขายิ่งใหญ่และมุ่งมั่นมากขึ้นเทียบกับครั้งล่าสุด เขาดูสง่าขึ้นมาก และถังโฉ่วพูดถูก วิถีของทุกคนต่างกัน
ขลุ่ยวิเศษกระโจนขึ้นไปหอสูงสุดของฐานมองดูทั่วสถานที่ลูบขลุ่ยบรอนซ์เป็นประกายในมือ แววตาที่เป็นกันเองของเขาดูเยือกเย็น
ข้าไม่เคยคิดเลยว่าหลังจากตายมาหลายปีแล้วข้ายังจะมีโอกาสกลับมาแข็งแกร่งได้
ชีวิตช่างไม่แน่นอนจริงๆ
สายลมพัดผ่านหน้าเขา เป่าผมและชุดยาวสะบัดพลิ้วตามลม
เขาดูท่าทางเหมือนกับคุณชายตระกูลสูงส่งหันหน้าเข้าหาสายลม ชุดขาวพัดพลิ้วตามสายลม
ความทรงจำทั้งหมดที่เลือนรางผุดขึ้นมาในใจเขาเขารู้สึกตื้นตันและผ่อนลมหายใจช้าๆ ความวุ่นวายในสมัยเยาว์วัยหลั่งไหลพรั่งพรู
ถ้าตอนนั้น ถ้าในยุคนั้น ข้าบรรเลงเพลงจากหัวใจข้า เพลงของข้าผ่านกระแสเวลามาหลายปี
แต่จู่ๆ ในวันนี้ แต่ในวันนี้ ข้ายืนอยู่ท่ามกลางสายลมได้บรรเลงทำนองเจ็ดสังหารอีกครา
เขาถอนหายใจช้าๆ คุณชายตระกูลชั้นสูงสงบใจเขาขมวดคิ้วและจ่อขลุ่ยบรอนซ์ที่ริมฝีปาก