ตอนที่ 14-17 หลอมรวมเคล็ดความรู้เพิ่มพลัง
“เมื่อบรรลุจากระดับเทียมเทพไปเป็นระดับเทพแท้ การชะลอลงมาของกฎธรรมชาติที่ล้อมรอบวิญญาณข้าคงอยู่เพียงชั่วขณะสั้นๆ แต่การเปลี่ยนแปลงของวิญญาณข้าเทียบกันแล้วให้ผลเท่ากับดูดซับอะเมทิสต์สิบเอ็ดชิ้น” ลินลี่ย์รู้สึกประหลาดใจ
เมื่อสามสิบกว่าปีที่ผ่านมาอะเมทิสต์ทั้งสิบเอ็ดชิ้นที่เขาซื้อมานั้นถูกซึมซับหมดไปนานแล้ว
พลังจิตวิญญาณของลินลี่ย์ในตอนนี้ทรงพลังยิ่งกว่าในอดีตอย่างเทียบกันไม่ได้ หลังจากกลายเป็นเทพแท้วิญญาณของเขาเปลี่ยนแปลงอีกครั้งหนึ่งมีผลดียิ่งกว่าดูดซับแก่นวิญญาณเสียอีก
“เดเลีย! เจ้าดูดซับมุกวิญญาณทองทั้งสองเสร็จแล้วใช่ไหม?” ลินลี่ย์มองดูเดเลีย
ลินลี่ย์ให้เดเลียซื้อมุกวิญญาณทองมาเสริมพลังวิญญาณนางเช่นกัน วิธีนั้นนางจะพบกับวิธีต่อต้านพลังโจมตีวิญญาณของคนอื่นได้ง่ายกว่า เวลานั้นเดเลียไม่เพียงแต่ซื้อมุกวิญญาณทองสองชิ้นเท่านั้น แต่นางยังซื้ออะเมทิสต์มาอีกหนึ่งชิ้น
“ข้าดูดซับมุกวิญญาณทองหมดไปแล้ว แต่การดูดซับอะเมทิสต์ทำได้ช้ามาก” เดเลียถอนหายใจ “มิน่าเล่า ถึงมีคนมากมายยินดีซื้อมุกวิญญาณทอง แต่คนซื้ออะเมทิสต์มีน้อยมาก”
“พี่ใหญ่!เมื่อไหร่เราจะไปสอบเป็นอสูร?” บีบีรีบกระตุ้นเตือน
บีบีรอวันนี้มานานแล้ว
“เมื่อไหร่หรือ?” ลินลี่ย์มองดูท้องฟ้า จากนั้นหัวเราะ “ไม่ต้องเร่ง นี่ยังไม่เที่ยงเลย ไปกินอะไรฉลองกันที่ร้านอาหารก่อน หลังจากกินแล้ว เราค่อยไปปราสาทอสูรกัน”
“ร้านอาหาร?” บีบีตาเป็นประกาย
หลังจากกลุ่มของลินลี่ย์ออกจากร้านอาหารก็เป็นเวลาเกือบค่ำแล้ว อย่างไรก็ตามปราสาทอสูรเปิดตอนกลางคืนด้วยเช่นกัน กลุ่มของลินลี่ย์ไปที่ปราสาทอสูรทันที เมื่อมาถึงปราสาทอสูร พวกเขาเห็นว่ามีคนไม่กี่คนที่ปราสาทอสูรแห่งนี้
พวกเขาตรงไปที่ห้องโถงใหญ่ชั้นที่หนึ่งของปราสาทอสูร
“หน้าคุ้นๆ” ลินลี่ย์เห็นยูนะที่ยังอยู่หลังเคาน์เตอร์ ทั้งสามเดินเข้าไปหาทันที
“แม่นางยูนะ ข้าต้องการเข้าร่วมสอบเป็นอสูร” ลินลี่ย์กล่าว
ยูนะเงยหน้าขึ้นมองพวกเขาจากนั้นนางเบิกตากว้างทันทีขณะที่นางเริ่มหัวเราะ “เป็นพวกเจ้าทั้งสามคนนี่เอง?” ลินลี่ย์ทิ้งความประทับใจลึกๆ ให้กับยูนะ ที่สำคัญในวันนั้นแม้แต่เจ้าเมืองรอยัลวิงก็ยังปรากฏตัว ยูนะจำวันนั้นได้ชัดเจนเป็นธรรมดา
“โอว, เจ้าเข้าถึงระดับเทพแท้แล้ว” ยูนะมองดูลินลี่ย์ด้วยความประหลาดใจ
“แสดงว่าเจ้าก็ใกล้ๆจะบรรลุระดับใหม่เมื่อครั้งสุดท้ายที่เจ้ามาใช่ไหม?” ยูนะหัวเราะ
นางไม่ประหลาดใจมาก ขณะที่นางเห็นครั้งล่าสุดลินลี่ย์น่าจะสดุดติดอยู่ที่คอขวดของระดับเทียมเทพ จากเทียมเทพไปเป็นระดับเทพแท้การบรรลุอาจจะไวหรือช้าก็ได้
ลินลี่ย์ได้แต่หัวเราะ “ช่วยรับสมัครให้เราสามคนเข้าสอบเป็นอสูรด้วย”
ยูนะมองดูกลุ่มของลินลี่ย์แล้วพยักหน้า “ได้เลย, พวกเจ้ารู้กฎแล้ว คนละหมื่นศิลาดำ สามคนก็สามหมื่น” ยูนะหัวเราะขณะที่นางยื่นมือรับเงินอะซูไรท์สามชิ้นที่ลินลี่ย์ยื่นส่งให้
เมื่อรับเงินสามอะซูไรท์แล้วยูนะดึงตราที่มีสัญลักษณ์ตาปีศาจส่งให้กลุ่มของลินลี่ย์
“นี่คืออะไร?” บีบีมองดูภาพและถามด้วยความสงสัย
“นี่เป็นหลักฐานพิสูจน์ว่าพวกเจ้าได้รับอนุญาตให้เข้าสอบเป็นอสูร” ยูนะหัวเราะ “จริงสิ, บอกที่อยู่ของพวกเจ้าให้ข้าทราบด้วย ข้าจะบันทึกลงไป”
“แม่นางยูนะ เจ้าไม่บอกเราหรือว่าภารกิจคืออะไร ทำไมถึงต้องการที่อยู่เราเล่า?” ลินลี่ย์ไม่เข้าใจ
ยูนะส่ายศีรษะ “ภารกิจในการสอบเป็นอสูรจะอธิบายให้ชัดเจนเมื่อเจ้าเข้าร่วมจริงๆ ตอนนี้...ไม่มีใครรู้ แม้แต่เวลาของการเข้าทดสอบก็ยังไม่แน่นอน ทั้งนี้เป็นเพราะกล่าวอย่างทั่วไปแล้วเมื่อจำนวนสมาชิกเต็ม การสอบเป็นอสูรจะเริ่มขึ้น”
“เมื่อมีจำนวนเต็ม?” ลินลี่ย์เริ่มเข้าใจ
เพียงแต่เมื่อจำนวนผู้เข้าร่วมสอบถึงการสอบเป็นอสูรจะเริ่มต้น
พวกเขาไม่สามารถมั่นใจได้ว่าใครจะเข้ามาสมัครอีก ดังนั้นจึงกำหนดเวลาที่การสอบเริ่มต้นเองไม่ได้
“ยังจะต้องรออีกหรือ? เราคงไม่ต้องรอกันนานยี่สิบสามสิบปีหรอกนะ?”บีบีรีบกล่าว
“แน่นอนว่าไม่ ความจริง เมื่อสองวันที่แล้ว ก็มีกลุ่มหนึ่งไปเข้ารับการทดสอบ เพียงแต่ผลที่ออกมาโหดร้ายเหมือนอย่างเคย ที่สำเร็จไม่ถึงร้อย มีตายมากมายเหลือเกิน” ยูนะถอนหายใจ “โอว.. ไม่ต้องรีบ ราวๆ เดือนหนึ่งสมาชิกก็จะพร้อม”
เดือนหนึ่ง? กลุ่มของลินลี่ย์ไม่รีบ
“หลังจากสมาชิกที่พร้อมเข้าสอบเต็มแล้วและภารกิจถูกเลือกแล้ว เจ้าหน้าที่ของปราสาทอสูรจะแจ้งไปยังที่อยู่ของพวกเจ้า ดังนั้นพวกเจ้าก็ต้องอยู่ในที่พักด้วย” ยูนะหัวเราะ
กลุ่มของลินลี่ย์เข้าใจ พวกเขาบันทึกที่อยู่ไว้ทันที
“เฮ้, แม่นางยูนะคนงาม” บีบีหัวเราะ “ข้าขอถามได้ไหมครั้งก่อนนั้นคนชื่ออันจิที่สอบตกมาสองรอบแต่ก็ยังต้องการเข้าร่วมสอบเป็นอสูรครั้งที่สามเขาทำได้สำเร็จหรือว่าสอบตกในครั้งที่สาม?”
คำถามของบีบีทำให้ลินลี่ย์และเดเลียหันมามองยูนะพร้อมกัน
“อันจิน่ะหรือ?”
ยูนะเริ่มหัวเราะ “โชคของเขาไม่เลวจริงๆ เขาทำได้สำเร็จในการสอบเป็นอสูรครั้งที่สาม หลังจากประสบความสำเร็จแล้ว เขารับภารกิจระยะไกลที่ต้องออกจากเมืองรอยัลวิง เป็นไปได้ว่าเขาอาจออกไปจากแคว้นไนท์บลาสนานแล้ว แต่แน่นอนว่ายังมีความเป็นไปได้ที่เขาอาจเผชิญอันตรายระหว่างภารกิจและเสียชีวิตได้ใครจะรู้?”
กลุ่มของลินลี่ย์ยินดีแทนอันจิ ไม่ว่าจะลงเอยยังไง แต่เจ้าคนหัวรั้นนั่นก็ทำสำเร็จจนได้
ดังนั้นกลุ่มของลินลี่ย์รออย่างใจเย็น ในที่สุดก็รอคอยนานมากกว่ายี่สิบวัน
เมืองรอยัลวิงในลานว่างน้อยที่เงียบสงบซึ่งกลุ่มของลินลี่ย์พักอยู่ พระอาทิตย์ฉายรัศมีสีแดงลงมายังลานว่าง ลินลี่ย์ยังนั่งขัดสมาธิบนพื้นลานว่างและชั้นรัศมีสีเหลืองหมุนวนอยู่รอบตัวเขา
“พลังป้องกันของพี่ใหญ่ก้าวล้ำไปยิ่งกว่าสมบัติที่ใช้ป้องกันของระดับเทพแท้เสียอีก และยังคงเพิ่มความแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ”
บีบีนั่งอยู่กับที่บนเก้าอี้ในมือถือขวดเหล้าผลไม้และดื่มอย่างต่อเนื่อง “เหล้าผลไม้แบบนี้ในแดนนรกนับว่าราคาถูก หนึ่งศิลาดำซื้อได้สิบขวด ขณะที่ดื่มได้ดีกว่าเหล้าผลไม้ชั้นดีของทวีปยูลานเสียอีก”
บีบีไม่เหมือนลินลี่ย์
ลินลี่ย์ใช้เวลาส่วนใหญ่กับการฝึกฝน ขณะที่บีบีใช้เวลาส่วนใหญ่กับการกินและเล่นมีฝึกฝนบ้างเป็นครั้งคราว
รัศมีแสงสีเหลืองน้ำตาลรอบตัวลินลี่ย์หยุดไหลและเปลี่ยนเป็นชุดสีเหลืองน้ำตาล
เวทสายธาตุดินรวมเอาคาถาเกราะดินศักดิ์สิทธิ์ไว้ด้วย
เกราะดินศักดิ์สิทธิ์เมื่อถึงระดับเทพสามารถสร้างเป็นเกราะระดับเท่าอดาแมนเทียมได้โดยใช้พลังจิตที่ทรงพลังพอๆ กับพลังเทพ แต่เกราะดินศักดิ์สิทธิ์แบบนี้เป็นอย่างที่ง่ายที่สุดและดั้งเดิมที่สุด หลังจากลินลี่ย์เชี่ยวชาญเคล็ดแก่นธาตุดินก็สามารถสร้างเกราะธาตุขึ้นครอบคลุมร่างเขาได้
พลังของเกราะธาตุนี้ยังเหนือกว่าเกราะที่เป็นอดาแมนเทียมเสียอีก
พลังป้องกันของเกราะธาตุนี้เทียบได้กับสิ่งประดิษฐ์สำหรับป้องกันระดับเทพแท้
แต่เนื่องจากความเชี่ยวชาญในเคล็ดการเต้นของชีพจรโลกลินลี่ย์ยังมีเคล็ดชีพจรป้องกันซึ่งมีพลังป้องกันที่น่ากลัวมากกว่าเกราะธาตุ
โชคดีที่ลินลี่ย์หลอมรวมเคล็ดแก่นธาตุและเคล็ดการเต้นของชีพจรโลกเข้าด้วยกันดังนั้นหลังจากฝึกฝนก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดลินลี่ย์ก็ประสบความสำเร็จสามารถประสานกระแส ชีพจรป้องกันได้คงที่ทำให้เกราะธาตุดินนิ่งคงที่ได้
ชุดเกราะธาตุดินที่ลินลี่ย์กำลังสวมใส่อยู่ก็คือเกราะกันชีพจรที่แท้จริง
ถ้าใครขยายมันออกได้เป็นร้อยเท่าเขาจะพบเรื่องนี้
เส้นใยบางเบาของพลังเทพธาตุดินสานไปมากันเป็นตาข่ายเคลื่อนไหวเป็นจังหวะสานเข้ากันอย่างลงตัว ระลอกพลังเทพที่สานเข้ากันในที่สุดก็กลายเป็นชุดที่ลินลี่ย์กำลังสวมอยู่
เกราะชีพจรคุ้มกันนี้ผสานกับพลังชีพจรคุ้มกันของเขาและเกราะธาตุของเขาเข้าด้วยกัน
ในแง่ของพลังป้องกันก็แทบจะดีกว่าชุดประดิษฐ์ป้องกันระดับเทพแท้ถึงสิบเท่า
“นี่คือพลังของการหลอมรวมเคล็ดลึกลับหรือนี่!” ลินลี่ย์รู้สึกตื่นเต้นมาก “ถ้าข้าไม่หลอมรวมทั้งสองเข้าด้วยกัน ต่อให้ข้ามีความเชี่ยวชาญเคล็ดพลังจังหวะเต้นชีพจรโลกและเคล็ดแก่นธาตุดินพลังป้องกันก็ยังจะต่ำกว่านี้มาก”
ในที่สุดลินลี่ย์เริ่มเข้าใจสาเหตุที่พลังของเทพชั้นสูงมีความห่างชั้นกันมาก
“ข้าเป็นแค่เพียงหลอมรวมเคล็ดลึกลับสองเคล็ดเข้าด้วยกันเท่านั้น แต่พลังกลับมากมายเป็นสิบเท่า ถ้าข้าหลอมรวมได้สามเคล็ดเล่า?สี่เคล็ดเล่า?” ลินลี่ย์ถอนหายใจไม่หยุดหย่อน “มิน่าเล่าแคลมป์ตันที่กลายเป็นเทพชั้นสูงผ่านการหลอมรวมประกายศักดิ์สิทธิ์จึงหวาดกลัวตัวสั่นเมื่ออยู่ต่อหน้าท่านเจ้าเมือง!”
ความจริง
หลังจากหลอมรวมเคล็ดลึกลับของกฎธาตุแล้ว พลังก็ขยายเพิ่มขึ้นอีกมาก
“ข้าเชี่ยวชาญเคล็ดการเต้นของชีพจรโลกจากนั้นพัฒนาเป็นดาบคลื่นสลาย แต่ตอนนี้..ด้วยการหลอมรวมเคล็ดลึกลับทั้งสองเข้าด้วยกันพลังดาบคลื่นสลายของข้าเพิ่มขึ้นถึงสิบเท่า ไม่แต่เพียงแค่นั้น ถ้าข้าใช้พลังจิตเป็นพื้นฐานในการโจมตี อย่างนั้นการโจมตีก็จะเป็นการโจมตีด้วยพลังจิตวิญญาณ! แต่ถ้าข้าใช้พลังเทพเป็นพื้นฐานโจมตี อย่างนั้นก็จะเป็นการโจมตีทางธาตุหยาบ”
เคล็ดแก่นธาตุดินเป็นการใช้ธาตุหยาบโจมตีธรรมดา
เคล็ดการเต้นชีพจรโลกเป็นการใช้พลังจิตวิญญาณโจมตี
ด้วยการหลอมรวมเคล็ดลึกลับทั้งสองเข้าด้วยกันดาบคลื่นสลายไม่เพียงแต่เพิ่มพลังในการโจมตีจิตวิญญาณเท่านั้น แม้แต่การโจมตีธาตุหยาบผ่านเคล็ดแก่นธาตุดินก็เพิ่มขึ้นอย่างมากมายเช่นกัน
“ก๊อก ก๊อก...”
ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้น “ข้าจะไปเปิดประตูเอง” บีบีกระโจนไปที่ประตู
ลินลี่ย์และเดเลียเดินไปที่ประตูกันทั้งคู่ มีบุรุษหนุ่มผมดำคนหนึ่งยืนอยู่ข้างนอก “พวกท่านทั้งสามคนจะร่วมเข้าสอบเป็นอสูรใช่หรือเปล่า?”
“เจ้ามาแจ้งพวกเราใช่ไหม?” บีบีพูดอย่างดีใจ
บุรุษหนุ่มผมดำพยักหน้าและหัวเราะ “ถูกแล้ว พวกท่านทั้งสามขอข้าดูสัญลักษณ์อสูรของพวกท่านด้วย ไม่ต้องห่วง นี่เป็นวิธีการยืนยันสถานะของพวกท่าน”
ลินลี่ย์และพวกดึงสัญลักษณ์อสูรของพวกเขาออกมา
“ใช่แล้ว, พรุ่งนี้เช้าตรู่ให้ไปที่ประตูเมืองรอยัลวิงและเข้าร่วมการสอบเป็นอสูร ท่านจะพบสมาชิกของปราสาทอสูรของเรารอท่านอยู่ที่นั่น” บุรุษหนุ่มผมดำหัวเราะขณะกล่าว
“พรุ่งนี้เช้าตรู่น่ะหรือ?” กลุ่มของลินลี่ย์เต็มไปด้วยการคาดวัง
“การสอบเป็นอสูรจะดำเนินการยังไง?” เดเลียถาม
บุรุษหนุ่มผมดำส่ายศีรษะ “ข้าไม่รู้ อย่างไรก็ตาม พวกเขาจะบอกรายละเอียดพวกท่านถึงภารกิจในการทดสอบเมื่อพวกท่านไปที่จุดนัดพบ”
“เมื่อเวลามาถึงและท่านไปที่ประตูเมือง คนของปราสาทอสูรอาจจำท่านไม่ได้ ท่านเพียงแต่ต้องแสดงสัญลักษณ์อสูรของท่าน” บุรุษหนุ่มผมดำกล่าวเสร็จก็เดินออกไป
กลุ่มของลินลี่ย์มองหน้ากันเอง
“ว้าว..พี่ใหญ่ เรากำลังจะได้เป็นอสูรแล้ว” บีบีตื่นเต้นมาก
“สอบเป็นอสูร?”
ลินลี่ย์ตัดสินใจ ไม่ว่ายังไงเขาจะต้องถือว่าการปกป้องเดเลียและบีบีเป็นเรื่องที่สำคัญ
“บางทีบีบีไม่จำเป็นต้องให้ข้าปกป้อง” ลินลี่ย์ชำลองมองบีบี
เช้าตรู่วันต่อมากลุ่มของลินลี่ย์มุ่งหน้าไปที่ประตูเมืองแต่เช้า เมื่อกลุ่มของลินลี่ย์มาถึงที่ประตูเมือง พวกเขาพบว่ามีอสูรโลหะลอยตัวอยู่ด้านนอกซึ่งมีสัญลักษณ์อสูรอยู่ด้านบน
“ดูเหมือนว่าจะมีคนค่อนข้างน้อย” ลินลี่ย์มองดูหน้าต่างโปร่งใสของอสูรโลหะสามารถมองเห็นร่างจำนวนไม่กี่ร่างภายในนั้น
กลุ่มของลินลี่ย์บินขึ้นไปที่อสูรโลหะทันทีมีผู้อาวุโสผมขาวยืนอยู่ที่ทางเข้า “พวกเจ้ามาสอบเป็นอสูรใช่ไหม?”
ลินลี่ย์พยักหน้า
“โปรดแสดงเครื่องหมายอสูรของพวกเจ้าด้วย” ชายชราผมขาวอดยิ้มไม่ได้
เมื่อเห็นเครื่องหมายอสูรในมือของลินลี่ย์และพวกทั้งสอง ชายชราพยักหน้าเล็กน้อย “เข้าไปได้”
ภายในอสูรโลหะมีระเบียงทางเดินยาวซึ่งแบ่งออกเป็นสองส่วน มีคนอยู่ในระเบียงทางเดิน เมื่อเห็นกลุ่มของลินลี่ย์ พวกเขาตะโกน “ผู้เข้าร่วมสอบเป็นอสูรให้เข้าไปที่ส่วนด้านหลัง”
พวกเขาเข้าไปที่ห้องส่วนด้านหลัง
“มีคนมากนะ!” ลินลี่ย์อดตกใจไม่ได้
“พี่ใหญ่ มีคนอย่างน้อยร้อยคนที่นี่” บีบีพูดอย่างรู้สึกทึ่ง”
เดเลียถอนหายใจเช่นกัน “และไม่ใช่ทุกคนอยู่ที่นี่ ลินลี่ย์ตรงไปนั่งที่ด้านข้างเถอะ” ขณะที่พวกเขาพูด กลุ่มของลินลี่ย์พบที่นั่งและนั่งลง ในห้องส่วนหลัง แต่ละแถวจะมียี่สิบที่นั่งแต่ละแถวจะมีทางเดินสี่เส้นทาง
บีบีมองผ่านหน้าต่างใสออกไปข้างนอก “ตอนนี้ดูเหมือนมีคนน้อยที่กำลังมา เฮ้..พี่ใหญ่ดูสิ มีคนที่สวมชุดที่ติดตราอสูร และค่อนข้างน้อยด้วย”
“ทำไมกลุ่มอสูรถึงมีมาด้วย?” ลินลี่ย์มองดูเช่นกัน
แต่เมื่อเขามองดู ลินลี่ย์สีหน้าเปลี่ยน
เขาเห็นใบหน้าที่คุ้นเคย!
บีบีก็ตกใจเช่นกัน “พี่ใหญ่, เจ้าคนหัวล้านก็มาที่นี่ด้วยเหมือนกัน!”