ตอนที่แล้วตอนที่ 14-14 ปราสาทอสูร
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 14-16 ระดับเทพแท้!

ตอนที่ 14-15 อสูรรอยัลวิง


“หยุดอยู่ตรงนั้นเลย!”  เสียงตะโกนดังลั่น

แต่กลุ่มของลินลี่ย์ไม่สนใจเขายังคงเดินหน้าต่อไป

“มีคนน่าโมโหอยู่ทั่วทุกที่  ดีที่สุดอย่าไปยุ่งกับคนแบบนี้เลย”  เดเลียใช้สำนึกเทพคุยกับลินลี่ย์

“ข้าเข้าใจ” ลินลี่ย์ไม่ต้องการเข้าไปพัวพันกับแคลมป์ตันผู้นี้  เขาต้องการไปจากปราสาทอสูรทันที

เขาต้องการจากไป  แต่มีคนไม่ยอมปล่อยเขาไป

“ควั่บ!”

ร่างของแคลมป์ตันปรากฏอยู่ต่อหน้าลินลี่ย์และขวางทางลินลี่ย์ไว้

ลินลี่ย์เดเลีย และบีบีต่างมีสีหน้าไม่พอใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบีบี ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าลินลี่ย์ใช้พลังเชื่อมโยงวิญญาณตะโกนบอกเขาบีบีคงระเบิดอารมณ์ไปแล้ว

“แคลมป์ตัน!พวกเขาเรียกเจ้าว่าสวะ เจ้าจะทำยังไงเกี่ยวกับเรื่องนี้?” คนที่อยู่ใกล้ๆ พอใจกับการก่อให้เกิดความโกลาหล  ขณะที่บางคนก็พูดและหัวเราะอยู่ข้างๆ เขา  บางคนก็พูดคุยหยอกล้อ  หน้าของแคลมป์ตันยิ่งบิดเบี้ยวน่าเกลียดมากขึ้น

“เจ้าพวกนี้!”  ยูนะที่อยู่หลังเคาน์เตอร์มีแววกังวล

พวกอสูรที่อยู่รอบด้านต่างถือแก้วเหล้าหรือไม่บ้างก็หยอกล้อกันเอง พวกเขาทุกคนมองดูแคลมป์ตันเหมือนกับเป็นคนมีน้ำใจยิ่งใหญ่,  แต่ภายในแวดวงเพื่อนฝูงเขาค่อนข้างจะมีสถานะต่ำ  ทั้งนี้เป็นเพราะแคลมป์ตันเป็นเทพชั้นสูงที่ผ่านการหลอมรวมกับประกายเทพ

แม้ว่าเขาจะเป็นเทพชั้นสูงแต่เนื่องจากเขาหลอมรวมกับประกายเทพ เขาจึงไม่ได้หลอมรวมเคล็ดความรู้ลึกลับดังนั้นจึงเป็นเทพชั้นสูงที่อ่อนแอที่สุด

ที่สำคัญหลายปีมานี้เขายังคงอยู่ในระดับอสูรสามดาว

กล่าวโดยทั่วไปเทพชั้นสูงสามารถกลายเป็นอสูรสี่ดาวได้ เขายังเป็นอสูรสามดาว... และแค่นี้เพียงเรื่องเดียวทำให้เขาตกเป็นเป้าล้อเลียน  แคลมป์ตันมีพลังอ่อนแอ  ปกติเขาจะไม่กล้าทำหยิ่งต่อหน้ามิตรสหายของเขา ดังนั้นความโกรธที่เก็บกดมานานจึงต้องไประบายลงกับคนที่อ่อนแอกว่าเขาเป็นครั้งคราว

ล้อว่าอ่อนแอคือสิ่งที่แคลมป์ตันกระทำบ่อยๆ

“เจ้าเรียกข้าว่าสวะ!”

แคลมป์ตันจ้องมองลินลี่ย์  นัยน์ตาเขาแดงจาง  ลมหายใจของเขาหนักหน่วงเต็มไปด้วยความโกรธ  ราวกับวัวกระทิงที่เตรียมระเบิดความโกรธรุนแรงออกมา

สหายของเขาเองล้อเลียนเขาแต่ก็ทำให้เขาพูดเพียงไม่กี่คำ แต่เจ้าเทียมเทพผู้นี้ เจ้าเทียมเทพผู้นี้บังอาจเถียงเขากลับว่าเป็นสวะ!  แน่นอนว่าแคลมป์ตันโกรธเกรี้ยว

“เจ้า, เป็นแค่เพียงเทียมเทพ ต่ำต้อยน่ารังเกียจแล้วยังกล้าดูถูกข้าหรือ”  แคลมป์ตันโกรธจัด  เขาต้องการโจมตี  แต่เนื่องจากเขาคิดถึงบทบัญญัติของเมืองรอยัลวิง...ถ้าเขาโจมตี ผลกระทบที่ตามมาเกินกว่าเขาจะทนได้

“พอได้แล้ว”

ทันใดนั้นอสูรผมยาวสีเงินผู้นั่งอยู่ห่างๆออกไปพูดอย่างสงบ  “แคลมป์ตัน,ลืมมันเสียเถอะ  เจ้าเองก็ทำตัวไม่ถูกหยุดเอาเรื่องเอาราวเรื่องนี้เสียที”

“ข้าน่ะหรือทำไม่ถูก?”  แคลมป์ตันจ้อง ชี้มาที่ลินลี่ย์จากนั้นก็ชี้ไปที่เด็กหนุ่มผมดำ “ดูเจ้าสองคนนี่สิ, คนหนึ่งเป็นแค่เทียมเทพ  ขณะที่อีกคน..เขาสอบคัดเลือกตกสองครั้งติดต่อกัน แต่ก็โชคดีรอดชีวิตมาได้ อ่อนแอราวกับไม่มีกระดูกสันหลังอย่างนี้ยังคิดจะสอบเป็นอสูรอีก  เจ้าบอกข้าทีทำไมข้าถึงพูดเรื่องพวกมันไม่ได้?”

เด็กหนุ่มผมดำอันจิข่มอารมณ์โกรธมาตลอดเวลา

เขาคิดว่าแคลมป์ตันจะพูดแค่คำสองคำแล้วก็หยุด  ใครจะคิดกันว่าแคลมป์ตันยังคงพูดต่อไม่ยอมหยุดและยังชี้หน้าเขาขณะที่พูดว่าเขาไม่มีกระดูกสันหลัง?

“นี่คือเมืองรอยัลวิง  มีอะไรที่ข้าต้องกลัวด้วยเล่า?”  เด็กหนุ่มผมดำขบฟันกรอด

“อ่อนแอราวกับไม่มีกระดูกสันหลังหรือ?”  เด็กหนุ่มผมดำเชิดหน้าจ้องมองแคลมป์ตัน  “เจ้าเรียกข้าว่าไม่มีกระดูกสันหลัง?”

“ถ้าไม่ใช่เจ้า แล้วจะเป็นใครอื่นไปเล่า?”  แคลมป์ตันไม่ให้โอกาสอันจิตาของเขาเต็มไปด้วยแววเหยียดหยาม

อันจิเด็กหนุ่มผมดำเค้นเสียงที่ค่อนข้างสั่นสะท้าน  “เจ้าบอกว่าข้าอ่อนแอใช่ไหม?  อย่างนั้นข้าอยากถามเจ้า  ถ้าเจ้าล้มเหลวในการสอบคัดเลือกเป็นอสูรสองครั้งและเกือบตายสองครั้ง เจ้าจะมีความกล้าเข้าร่วมทดสอบเป็นอสูรครั้งที่สามหรือไม่?เจ้ากล้าไหม?”

แคลมป์ตันตะลึง

เขาจะกล้าไหม?

เขาคงไม่กล้า!

“นั่นไม่ใช่ความกล้า  นั่นเป็นความโง่” แคลมป์ตันไม่พอใจกับวิธีที่เด็กหนุ่มผมดำมองดูเขา  “และเจ้าผู้นี้ เจ้าโง่นี่เขาเป็นแค่เทียมเทพ แต่เขาต้องการจะร่วมสอบเป็นอสูร” แคลมป์ตันหันไปมองลินลี่ย์อีกครั้ง

“บีบี, เดเลีย ไปกันเถอะ”

ลินลี่ย์ไม่พอใจ  แต่เขาไม่ต้องการเสียเวลากับคนแบบนี้ต่อไป  เขารู้...ว่าตอนนี้แคลมป์ตันเต็มไปด้วยความโกรธแต่ไม่สามารถโจมตีได้ ทั้งหมดที่เขาทำได้คือระบายออกมาทางคำพูด

“สหายของข้า, ดูสิ,ข้ากล้าพนันได้ว่าถ้าเจ้าผู้นี้ร่วมสอบคัดเป็นอสูร  เขาจะต้องตายอย่างแน่นอน”  แคลมป์ตันยังคงพูด  ขณะที่สหายที่อยู่ข้างๆ เขาแค่นเสียง  “จะพนันทำไม? ถ้าเทียมเทพเข้าร่วมสอบเป็นอสูร เขาจะต้องตายแน่นอนอยู่แล้ว ทุกคนรู้เรื่องนี้ดี”

“พี่ใหญ่, สักวันข้าจะทำให้เจ้าบ้านี่ต้องชดใช้” บีบีพูดในใจ

“อย่าไปใส่ใจเขาเลย”  ลินลี่ย์พูดอย่างใจเย็น ทันใดนั้นลินลี่ย์จ้องมองที่นอกปราสาทอสูรอย่างตกใจ  จากขอบฟ้าระยะไกลเขาเห็นร่างเลือนรางหลายร่างบินในท้องฟ้าตรงมาที่ประตูปราสาทอสูร  ความเร็วในการบินที่พวกเขาใช้มาถึงนี่เร็วอย่างน่าตกใจ  สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ...

พวกเขากล้าบิน!

“บินในเมืองรอยัลวิง?  พวกเขากล้าทำแบบนี้ได้ยังไง?”  ลินลี่ย์ตะลึง

หลังจากอยู่ในเมืองรอยัลวิงมาได้ช่วงหนึ่ง พวกเขาเห็นคนมากมายในเมืองรอยัลวิงและมีเทพชั้นสูงอยู่หลายคนเช่นกัน  อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครกล้าบิน  ทุกคนเดินกับพื้น พวกเขาอาจใช้เคล็ดวิชาให้เดินได้เร็วมากขึ้น  แต่ทุกคนก็ยังเดินกับพื้นอยู่ดี

ร่างทั้งสี่บินลงที่ประตูใหญ่ทางเข้าของปราสาทอสูร  คนผู้หนึ่งเดินนำหน้า อีกสามคนเดินตามหลัง

ผู้นำมีผมทองยาวเป็นลอน  เขาสวมชุดทองยาวสิ่งที่แปลกก็คือคิ้วของเขาสีขาว ดวงตาของเขาสีทอง

คิ้วขาวตาทอง!

แค่ยืนอยู่กับที่เขาก็เปล่งกลิ่นอายที่รุนแรง หลังจากก้าวเข้ามาในห้องโถงใหญ่ของปราสาทอสูรบุรุษวัยกลางคนผมทองกวาดสายตามองดูทุกคน ทุกคนที่ถูกมองล้วนสั่นสะท้านวิญญาณ ยอดฝีมือแน่นอน!

แคลมป์ตันกำลังหันหน้าให้ลินลี่ย์กับอันจิ ดังนั้นเขาไม่สังเกตเห็นผู้มาใหม่เป็นธรรมดา  เขายังคงพูดจาโผงผาง“ไม่ใช่แค่ไอ้เด็กหัวน้ำตาลนี่เท่านั้น, เจ้าอันจินั่นด้วย  ถ้าพวกมันเข้าร่วมสอบเป็นอสูร  พวกมันจะต้องตายแน่นอน”

อย่างไรก็ตามหลายคนในปราสาทอสูรสังเกตเห็นผู้มาใหม่แล้ว ทันใดนั้นคนในกลุ่มนั้นสิบคนรวมทั้งยูนะแสดงความเคารพและพูดอย่างนอบน้อมทันที  “คารวะท่านเจ้าเมือง!”

เจ้าเมือง?

เมื่อได้ยินเช่นนี้ลินลี่ย์และอีกสองคนตกใจเช่นกัน

แคลมป์ตันที่กำลังหัวเราะลั่นเมื่อได้ยินคำนี้ถึงกับตกใจอย่างหนัก  เขาหันควับทันที  เมื่อเห็นบุรุษตาทองคิ้วขาวเขาไม่รู้ว่าผู้นี้เป็นใคร แต่เขาได้ยินเสียงเรียกว่า ‘เจ้าเมือง’

“คารวะท่านเจ้าเมือง” ทุกคนที่ยืนอยู่คำนับทันที

“ขอคารวะท่านเจ้าเมือง”  ถึงตอนนี้แคลมป์ตันเข้าใจดีแล้วและรีบคำนับทันที

ขณะเดียวกันตาของอสูรเหล่านี้ฉายแสงทันที พวกเขาลอบชายตามองเห็นบุรุษวัยกลางคนมีคิ้วขาวนัยน์ตาทองคนผู้นี้คือเจ้าเมืองผู้ปกครองเมืองรอยัลวิงหรือ?

ความภาคภูมิใจของทั่วทั้งเมืองรอยัลวิง  อสูรเจ็ดดาว เจ้าเมืองรอยัลวิง?

อสูรแบ่งออกเป็นเจ็ดระดับระดังสูงที่สุดคือระดับเจ็ดดาว ซึ่งเป็นยอดฝีมือที่ทรงพลังในแดนนรกอย่างมิต้องสงสัย  อสูรเจ็ดดาวทุกคนจะมีเอกลักษณ์เป็นของตนเองหนึ่งในนั้นก็คืออสูรรอยัลวิง ฉายาของเขาคือรอยัลวิง (ปีกหลวง)

ชื่อเสียงของอสูรชื่อ‘รอยัลวิง’ เลื่องลือไปทั่วแดนนรกนานแล้ว  บางทีเขาอาจไม่มีชื่อเสียงเท่ากับ ‘เลือดม่วง’ และ ‘จันทร์เงิน’ ที่มีชื่อเสียงผ่านการฆ่าสังหาร แต่ในแง่พลังของอสูรเจ็ดดาว แทบไม่แตกต่างกันมากนัก

“อสูรเจ็ดดาว!”

อันจิมองดูคนที่อยู่ข้างหน้าเขาอย่างตื่นเต้น  เขาฝันว่าสักวันหนึ่งเขาจะกลายเป็นอสูรเจ็ดดาวให้ได้

“น่ากลัวจริงๆ เขาไม่ได้อ่อนแอกว่าบลูไฟร์แน่นอน” เมื่อลินลี่ย์เห็นรอยัลวิงเพราะเหตุผลบางอย่างเขามีความรู้สึกที่เขาไม่เคยมีมาก่อน...คนผู้นั้นแค่เพียงกวาดตามองก็ทำให้วิญญาณของเขาสั่นสะท้านได้  พลังขนาดนั้นน่าทึ่งจริงๆ

รอยัลวิงผู้มีคิ้วขาวตาทองมองดูแคลมป์ตันที่อยู่ข้างๆ“เจ้าเพิ่งพูดถึงคนอื่นที่จะร่วมสอบเป็นอสูรจะต้องตายแน่ใช่ไหม?”

แคลมป์ตันสั่นไปทั้งตัว

นักสู้อสูรที่อยู่โดยรอบไม่มีใครกล้าส่งเสียง  แคลมป์ตันหวาดกลัวรีบพูดขึ้น “ท่านเจ้าเมือง!  ข้าข้าแค่บอกว่าเจ้าเด็กหัวน้ำตาลนี้และเจ้าเด็กหัวดำที่เคาน์เตอร์ ถ้าพวกเขาเข้าร่วมสอบ  พวกเขาจะต้องตายแน่”  ขณะที่เขาพูดคำนี้แคลมป์ตันไม่มีความมั่นใจอยู่ในน้ำเสียงเลย

“เหรอ? ทำไมเจ้าพูดแบบนั้นเล่า?”  รอยัลวิงดูเหมือนจะแปลกใจ

“นี่..ทั้งนี้เพราะเจ้าเด็กหัวน้ำตาลยังเป็นแค่เทียมเทพ  ถ้าเทียมเทพเข้าร่วมสอบคัดเลือกเป็นอสูร  เขาจะต้องตายแน่นอน”  แคลมป์ตันไม่รู้ว่าอสูรเจ็ดดาวน่ากลัวมาก แค่สายตาของรอยัลวิงก็ทำให้เขาสั่นสะท้านได้แล้ว

พวกเขาทั้งสองเป็นเทพชั้นสูง  แต่ความแตกต่างระหว่างพวกเขามากมายเหลือเกิน

“โอว,ระดับเทียมเทพจะเข้าร่วมสอบเป็นอสูรเหรอ?” รอยัลวิงพยักหน้าเล็กน้อย “แล้วอีกคนเล่า?”

“เจ้าเด็กผมดำพยายามเข้าสอบเป็นอสูรไปสองครั้งแล้ว   แต่สอบตกทั้งสองครั้ง  เขาโชคดีที่รักษาชีวิตรอดมาได้  แต่เขาต้องการเข้าสอบคัดเลือกอีกครั้ง...”  แคลมป์ตันกล่าวจากนั้นไม่กล้าส่งเสียงต่อ

แต่รอยัลวิงเพียงแต่เหลียวมองเด็กหนุ่มชื่ออันจิ

และจากนั้นเขาหันไปมองแคลมป์ตัน  “เจ้าชื่ออะไร?”

“คะ..แคลมป์ตันขอรับ”  แคลมป์ตันตะกุกตะกักกล่าว

“เจ้าเป็นเทพชั้นสูงคนหนึ่ง  แต่เจ้าเป็นเทพระดับสูงผ่านการหลอมรวมกับประกายเทพ”  รอยัลวิงหัวเราะอย่างใจเย็น

“ขอรับ” แคลมตันรีบพยักหน้า

รอยัลวิงยังคงพูดต่อ  “ถ้าความรู้สึกของข้าถูกต้อง  เจ้าน่าจะยังเป็นอสูรสามดาวอยู่!” มองอย่างผิวเผินไม่ว่าจะเป็นหนึ่งดาวหรือเจ็ดดาวไม่สามารถระบุแยกจากกันได้จะระบุความแตกต่างกันได้ก็โดยใช้วิธีการพิเศษ

รอยัลวิงสามารถบอกได้แค่เพียงเหลียวมอง  นี่นับว่าน่าประหลาดใจแน่นอน

“ถะ..ถูกแล้วข้าเป็นเพียงอสูรสามดาว”  แคลมป์ตันพยักหน้า

“เทพชั้นสูงผู้เป็นเพียงอสูรสามดาวนับว่ายังระดับต่ำอยู่” รอยัลวิงพูดอย่างสงบ

แคลมป์ตันรู้สึกอายอย่างเหลือเชื่อ เป็นเรื่องที่น่าอับอายมากที่เทพชั้นสูงยังเป็นอสูรสามดาว  จะไม่ให้น่าอับอายได้ยังไง  เพราะเจ้าเมืองรอยัลวิงเป็นคนระบุเอง?

“เจ้าเด็กผมดำผู้นี้สอบตกถึงสองครั้งคราแต่ก็ยังไม่ยอมแพ้  แม้ว่าเขาจะใจร้อนไปสักเล็กน้อยแต่ความตั้งใจและความกล้าหาญของเขาน่าชื่นชม... ถ้าเจ้าสามารถเรียนรู้และใส่ใจกับเรื่องนี้เจ้าคงเป็นอสูรสี่ดาวไปนานแล้ว” รอยัลวิงพูดอย่างใจเย็น แคลมป์ตันได้แต่ทำเสียงยอมรับ

ต่อให้ใต้เท้ารอยัลวิงดุด่าเขา  ทั้งหมดที่เขาทำได้ก็คือยอมรับ

จากนั้นรอยัลวิงหันและเดินมาทางลินลี่ย์  เขาหัวเราะอย่างใจเย็นและกล่าว  “เจ้าก็ตั้งใจจะร่วมสอบเป็นอสูรด้วยหรือ?”

ลินลี่ย์คาดไม่ถึงว่ารอยัลวิงผู้นี้จะมาพูดคุยกับเขา  บุรุษที่เป็นอสูรเจ็ดดาวเจ้าเมืองปกครองเมืองรอยัลวิง

“วันนี้ข้าแค่มาดูไว้ก่อน ข้าเพียงตั้งใจจะเข้าทดสอบคัดเลือดในอีกไม่กี่สิบปีจากนี้”  ลินลี่ย์ตอบด้วยความเคารพ

“ไม่กี่สิบปีหรือ?”  รอยัลวิงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี  จากนั้นกล่าว “พ่อหนุ่ม,ไม่ใช่เรื่องน่าอายที่เทียมเทพต้องการจะเข้าร่วมสอบเป็นอสูร  ในอดีตเมื่อข้ายังเป็นเทียมเทพ  ข้าก็เคยเข้าร่วมสอบเป็นอสูรด้วยตัวเองเหมือนกัน”

อสูรหลายคนที่อยู่ใกล้รีบเข้ามาใกล้และตั้งใจฟังอย่างดี พวกเขาไม่เคยได้ยินว่าเจ้าเมืองรอยัลวิงทำเรื่องเช่นนั้นมาก่อน

อย่างไรก็ตาม...เมืองรอยัลวิงสร้างมานานนับปีไม่ถ้วนแล้ว  ใครๆก็สามารถนึกคิดได้ว่ารอยัลวิงนั้นฝึกฝนมานานเพียงไหน

ลินลี่ย์ประหลาดใจเงยหน้าขึ้นมองรอยัลวิง

“แต่แน่นอน, ข้าสอบตก  โชคดี ข้าสามารถรอดชีวิตได้และจากนั้นเมื่อข้าถึงระดับเทพแท้ ข้าจึงลองเข้าสอบเป็นอสูรอีกครั้ง”รอยัลวิงพูดพลางหัวเราะพลาง  “พ่อหนุ่ม! ดีที่สุดก็คือเจ้าควรรอให้ถึงระดับเทพแท้เสียก่อนแล้วค่อยเข้าร่วมสอบเป็นอสูร  การเข้าสอบเป็นอสูรนั้นก็คือส่วนยากของภารกิจหนึ่งดาว  กล่าวโดยทั่วไป ต่อให้เป็นเทพแท้ก็ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการปฏิบัติภารกิจให้เสร็จสิ้นสมบูรณ์  ระดับเทียมเทพโอกาจจะทำภารกิจนั้นให้สำเร็จได้นั้นต่ำมาก ต่ำเอามากๆ”

ลินลี่ย์รู้สึกขอบคุณเจ้าเมืองรอยัลวิงที่ยืนอยู่ข้างหน้าเขาผู้นี้ในใจ

อย่างน้อยเขาก็ยังให้คำแนะนำเขา

เจ้าเมืองรอยัลวิงมีศักดิ์ศรีฐานะสูงส่งยิ้มให้เขาอย่างเป็นกันเอง  ลินลี่ย์จะไม่รู้สึกซาบซึ้งใจได้อย่างไร?

จากนั้นรอยัลวิงมองดูลินลี่ย์จากไปไกลแล้วก่อนเขาจะหันกลับและนำบริวารทั้งสามขึ้นบันได  หลังจากเจ้าเมืองรอยัลวิงออกไปแล้วทั่วทั้งห้องโถงใหญ่ก็มีเสียงจอแจดังกระหึ่ม อสูรทุกคนล้วนตื่นเต้น

“นั่นคือเจ้าเมืองรอยัลวิง! ยอดฝีมือท่านนี้ข้าเทิดทูนบูชาจริงๆ”

อสูรหลายคนพูดถึงรอยัลวิงกันอย่างตื่นเต้น พวกเขาไม่พูดถึงเรื่องลินลี่ย์กับอันจิอีกต่อไป  ที่สำคัญลินลี่ย์และอันจิกลายเป็นเรื่องเล็กน้อย

ที่ชั้นบนปราสาทอสูร

“วันนี้มีเรื่องราวที่น่าสนใจจริงๆ  เด็กหนุ่มผมน้ำตาลมีกลิ่นอายของสี่ตระกูลเทพอสูรศักดิ์สิทธิ์แฝงอยู่ในตัวเขา”  รอยัลวิงถอนหายใจ

“สี่ตระกูลเทพอสูรศักดิ์สิทธิ์?  ใต้เท้า!  พวกเขาไม่ได้มาจากแคว้นอินดิโกทวีปบลัดริจไม่ใช่หรือ? แล้วพวกเขามาปรากฏตัวในที่ของเราได้ยังไง?”  หนึ่งในสามบริวารของรอยัลวิงถาม

รอยัลวิงหัวเราะอย่างสงบ “สี่ตระกูลเทพอสูรศักดิ์สิทธิ์เป็นตระกูลที่แพร่หลายกระจายตัวมาก  ลูกหลานของพวกเขามีอยู่มากมาย  ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรที่สมาชิกตระกูลพวกเขาจะมาปรากฏตัวที่นี่”  รอยัลวิงรู้สึกว่าน่าสนใจ  ที่สำคัญคือ ลูกหลานตระกูลสี่เทพอสูรศักดิ์สิทธิ์ไม่คู่ควรทำให้เขาต้องกังวลใจ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด