ตอนที่ 14-15 อสูรรอยัลวิง
“หยุดอยู่ตรงนั้นเลย!” เสียงตะโกนดังลั่น
แต่กลุ่มของลินลี่ย์ไม่สนใจเขายังคงเดินหน้าต่อไป
“มีคนน่าโมโหอยู่ทั่วทุกที่ ดีที่สุดอย่าไปยุ่งกับคนแบบนี้เลย” เดเลียใช้สำนึกเทพคุยกับลินลี่ย์
“ข้าเข้าใจ” ลินลี่ย์ไม่ต้องการเข้าไปพัวพันกับแคลมป์ตันผู้นี้ เขาต้องการไปจากปราสาทอสูรทันที
เขาต้องการจากไป แต่มีคนไม่ยอมปล่อยเขาไป
“ควั่บ!”
ร่างของแคลมป์ตันปรากฏอยู่ต่อหน้าลินลี่ย์และขวางทางลินลี่ย์ไว้
ลินลี่ย์เดเลีย และบีบีต่างมีสีหน้าไม่พอใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบีบี ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าลินลี่ย์ใช้พลังเชื่อมโยงวิญญาณตะโกนบอกเขาบีบีคงระเบิดอารมณ์ไปแล้ว
“แคลมป์ตัน!พวกเขาเรียกเจ้าว่าสวะ เจ้าจะทำยังไงเกี่ยวกับเรื่องนี้?” คนที่อยู่ใกล้ๆ พอใจกับการก่อให้เกิดความโกลาหล ขณะที่บางคนก็พูดและหัวเราะอยู่ข้างๆ เขา บางคนก็พูดคุยหยอกล้อ หน้าของแคลมป์ตันยิ่งบิดเบี้ยวน่าเกลียดมากขึ้น
“เจ้าพวกนี้!” ยูนะที่อยู่หลังเคาน์เตอร์มีแววกังวล
พวกอสูรที่อยู่รอบด้านต่างถือแก้วเหล้าหรือไม่บ้างก็หยอกล้อกันเอง พวกเขาทุกคนมองดูแคลมป์ตันเหมือนกับเป็นคนมีน้ำใจยิ่งใหญ่, แต่ภายในแวดวงเพื่อนฝูงเขาค่อนข้างจะมีสถานะต่ำ ทั้งนี้เป็นเพราะแคลมป์ตันเป็นเทพชั้นสูงที่ผ่านการหลอมรวมกับประกายเทพ
แม้ว่าเขาจะเป็นเทพชั้นสูงแต่เนื่องจากเขาหลอมรวมกับประกายเทพ เขาจึงไม่ได้หลอมรวมเคล็ดความรู้ลึกลับดังนั้นจึงเป็นเทพชั้นสูงที่อ่อนแอที่สุด
ที่สำคัญหลายปีมานี้เขายังคงอยู่ในระดับอสูรสามดาว
กล่าวโดยทั่วไปเทพชั้นสูงสามารถกลายเป็นอสูรสี่ดาวได้ เขายังเป็นอสูรสามดาว... และแค่นี้เพียงเรื่องเดียวทำให้เขาตกเป็นเป้าล้อเลียน แคลมป์ตันมีพลังอ่อนแอ ปกติเขาจะไม่กล้าทำหยิ่งต่อหน้ามิตรสหายของเขา ดังนั้นความโกรธที่เก็บกดมานานจึงต้องไประบายลงกับคนที่อ่อนแอกว่าเขาเป็นครั้งคราว
ล้อว่าอ่อนแอคือสิ่งที่แคลมป์ตันกระทำบ่อยๆ
“เจ้าเรียกข้าว่าสวะ!”
แคลมป์ตันจ้องมองลินลี่ย์ นัยน์ตาเขาแดงจาง ลมหายใจของเขาหนักหน่วงเต็มไปด้วยความโกรธ ราวกับวัวกระทิงที่เตรียมระเบิดความโกรธรุนแรงออกมา
สหายของเขาเองล้อเลียนเขาแต่ก็ทำให้เขาพูดเพียงไม่กี่คำ แต่เจ้าเทียมเทพผู้นี้ เจ้าเทียมเทพผู้นี้บังอาจเถียงเขากลับว่าเป็นสวะ! แน่นอนว่าแคลมป์ตันโกรธเกรี้ยว
“เจ้า, เป็นแค่เพียงเทียมเทพ ต่ำต้อยน่ารังเกียจแล้วยังกล้าดูถูกข้าหรือ” แคลมป์ตันโกรธจัด เขาต้องการโจมตี แต่เนื่องจากเขาคิดถึงบทบัญญัติของเมืองรอยัลวิง...ถ้าเขาโจมตี ผลกระทบที่ตามมาเกินกว่าเขาจะทนได้
“พอได้แล้ว”
ทันใดนั้นอสูรผมยาวสีเงินผู้นั่งอยู่ห่างๆออกไปพูดอย่างสงบ “แคลมป์ตัน,ลืมมันเสียเถอะ เจ้าเองก็ทำตัวไม่ถูกหยุดเอาเรื่องเอาราวเรื่องนี้เสียที”
“ข้าน่ะหรือทำไม่ถูก?” แคลมป์ตันจ้อง ชี้มาที่ลินลี่ย์จากนั้นก็ชี้ไปที่เด็กหนุ่มผมดำ “ดูเจ้าสองคนนี่สิ, คนหนึ่งเป็นแค่เทียมเทพ ขณะที่อีกคน..เขาสอบคัดเลือกตกสองครั้งติดต่อกัน แต่ก็โชคดีรอดชีวิตมาได้ อ่อนแอราวกับไม่มีกระดูกสันหลังอย่างนี้ยังคิดจะสอบเป็นอสูรอีก เจ้าบอกข้าทีทำไมข้าถึงพูดเรื่องพวกมันไม่ได้?”
เด็กหนุ่มผมดำอันจิข่มอารมณ์โกรธมาตลอดเวลา
เขาคิดว่าแคลมป์ตันจะพูดแค่คำสองคำแล้วก็หยุด ใครจะคิดกันว่าแคลมป์ตันยังคงพูดต่อไม่ยอมหยุดและยังชี้หน้าเขาขณะที่พูดว่าเขาไม่มีกระดูกสันหลัง?
“นี่คือเมืองรอยัลวิง มีอะไรที่ข้าต้องกลัวด้วยเล่า?” เด็กหนุ่มผมดำขบฟันกรอด
“อ่อนแอราวกับไม่มีกระดูกสันหลังหรือ?” เด็กหนุ่มผมดำเชิดหน้าจ้องมองแคลมป์ตัน “เจ้าเรียกข้าว่าไม่มีกระดูกสันหลัง?”
“ถ้าไม่ใช่เจ้า แล้วจะเป็นใครอื่นไปเล่า?” แคลมป์ตันไม่ให้โอกาสอันจิตาของเขาเต็มไปด้วยแววเหยียดหยาม
อันจิเด็กหนุ่มผมดำเค้นเสียงที่ค่อนข้างสั่นสะท้าน “เจ้าบอกว่าข้าอ่อนแอใช่ไหม? อย่างนั้นข้าอยากถามเจ้า ถ้าเจ้าล้มเหลวในการสอบคัดเลือกเป็นอสูรสองครั้งและเกือบตายสองครั้ง เจ้าจะมีความกล้าเข้าร่วมทดสอบเป็นอสูรครั้งที่สามหรือไม่?เจ้ากล้าไหม?”
แคลมป์ตันตะลึง
เขาจะกล้าไหม?
เขาคงไม่กล้า!
“นั่นไม่ใช่ความกล้า นั่นเป็นความโง่” แคลมป์ตันไม่พอใจกับวิธีที่เด็กหนุ่มผมดำมองดูเขา “และเจ้าผู้นี้ เจ้าโง่นี่เขาเป็นแค่เทียมเทพ แต่เขาต้องการจะร่วมสอบเป็นอสูร” แคลมป์ตันหันไปมองลินลี่ย์อีกครั้ง
“บีบี, เดเลีย ไปกันเถอะ”
ลินลี่ย์ไม่พอใจ แต่เขาไม่ต้องการเสียเวลากับคนแบบนี้ต่อไป เขารู้...ว่าตอนนี้แคลมป์ตันเต็มไปด้วยความโกรธแต่ไม่สามารถโจมตีได้ ทั้งหมดที่เขาทำได้คือระบายออกมาทางคำพูด
“สหายของข้า, ดูสิ,ข้ากล้าพนันได้ว่าถ้าเจ้าผู้นี้ร่วมสอบคัดเป็นอสูร เขาจะต้องตายอย่างแน่นอน” แคลมป์ตันยังคงพูด ขณะที่สหายที่อยู่ข้างๆ เขาแค่นเสียง “จะพนันทำไม? ถ้าเทียมเทพเข้าร่วมสอบเป็นอสูร เขาจะต้องตายแน่นอนอยู่แล้ว ทุกคนรู้เรื่องนี้ดี”
“พี่ใหญ่, สักวันข้าจะทำให้เจ้าบ้านี่ต้องชดใช้” บีบีพูดในใจ
“อย่าไปใส่ใจเขาเลย” ลินลี่ย์พูดอย่างใจเย็น ทันใดนั้นลินลี่ย์จ้องมองที่นอกปราสาทอสูรอย่างตกใจ จากขอบฟ้าระยะไกลเขาเห็นร่างเลือนรางหลายร่างบินในท้องฟ้าตรงมาที่ประตูปราสาทอสูร ความเร็วในการบินที่พวกเขาใช้มาถึงนี่เร็วอย่างน่าตกใจ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ...
พวกเขากล้าบิน!
“บินในเมืองรอยัลวิง? พวกเขากล้าทำแบบนี้ได้ยังไง?” ลินลี่ย์ตะลึง
หลังจากอยู่ในเมืองรอยัลวิงมาได้ช่วงหนึ่ง พวกเขาเห็นคนมากมายในเมืองรอยัลวิงและมีเทพชั้นสูงอยู่หลายคนเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครกล้าบิน ทุกคนเดินกับพื้น พวกเขาอาจใช้เคล็ดวิชาให้เดินได้เร็วมากขึ้น แต่ทุกคนก็ยังเดินกับพื้นอยู่ดี
ร่างทั้งสี่บินลงที่ประตูใหญ่ทางเข้าของปราสาทอสูร คนผู้หนึ่งเดินนำหน้า อีกสามคนเดินตามหลัง
ผู้นำมีผมทองยาวเป็นลอน เขาสวมชุดทองยาวสิ่งที่แปลกก็คือคิ้วของเขาสีขาว ดวงตาของเขาสีทอง
คิ้วขาวตาทอง!
แค่ยืนอยู่กับที่เขาก็เปล่งกลิ่นอายที่รุนแรง หลังจากก้าวเข้ามาในห้องโถงใหญ่ของปราสาทอสูรบุรุษวัยกลางคนผมทองกวาดสายตามองดูทุกคน ทุกคนที่ถูกมองล้วนสั่นสะท้านวิญญาณ ยอดฝีมือแน่นอน!
แคลมป์ตันกำลังหันหน้าให้ลินลี่ย์กับอันจิ ดังนั้นเขาไม่สังเกตเห็นผู้มาใหม่เป็นธรรมดา เขายังคงพูดจาโผงผาง“ไม่ใช่แค่ไอ้เด็กหัวน้ำตาลนี่เท่านั้น, เจ้าอันจินั่นด้วย ถ้าพวกมันเข้าร่วมสอบเป็นอสูร พวกมันจะต้องตายแน่นอน”
อย่างไรก็ตามหลายคนในปราสาทอสูรสังเกตเห็นผู้มาใหม่แล้ว ทันใดนั้นคนในกลุ่มนั้นสิบคนรวมทั้งยูนะแสดงความเคารพและพูดอย่างนอบน้อมทันที “คารวะท่านเจ้าเมือง!”
เจ้าเมือง?
เมื่อได้ยินเช่นนี้ลินลี่ย์และอีกสองคนตกใจเช่นกัน
แคลมป์ตันที่กำลังหัวเราะลั่นเมื่อได้ยินคำนี้ถึงกับตกใจอย่างหนัก เขาหันควับทันที เมื่อเห็นบุรุษตาทองคิ้วขาวเขาไม่รู้ว่าผู้นี้เป็นใคร แต่เขาได้ยินเสียงเรียกว่า ‘เจ้าเมือง’
“คารวะท่านเจ้าเมือง” ทุกคนที่ยืนอยู่คำนับทันที
“ขอคารวะท่านเจ้าเมือง” ถึงตอนนี้แคลมป์ตันเข้าใจดีแล้วและรีบคำนับทันที
ขณะเดียวกันตาของอสูรเหล่านี้ฉายแสงทันที พวกเขาลอบชายตามองเห็นบุรุษวัยกลางคนมีคิ้วขาวนัยน์ตาทองคนผู้นี้คือเจ้าเมืองผู้ปกครองเมืองรอยัลวิงหรือ?
ความภาคภูมิใจของทั่วทั้งเมืองรอยัลวิง อสูรเจ็ดดาว เจ้าเมืองรอยัลวิง?
อสูรแบ่งออกเป็นเจ็ดระดับระดังสูงที่สุดคือระดับเจ็ดดาว ซึ่งเป็นยอดฝีมือที่ทรงพลังในแดนนรกอย่างมิต้องสงสัย อสูรเจ็ดดาวทุกคนจะมีเอกลักษณ์เป็นของตนเองหนึ่งในนั้นก็คืออสูรรอยัลวิง ฉายาของเขาคือรอยัลวิง (ปีกหลวง)
ชื่อเสียงของอสูรชื่อ‘รอยัลวิง’ เลื่องลือไปทั่วแดนนรกนานแล้ว บางทีเขาอาจไม่มีชื่อเสียงเท่ากับ ‘เลือดม่วง’ และ ‘จันทร์เงิน’ ที่มีชื่อเสียงผ่านการฆ่าสังหาร แต่ในแง่พลังของอสูรเจ็ดดาว แทบไม่แตกต่างกันมากนัก
“อสูรเจ็ดดาว!”
อันจิมองดูคนที่อยู่ข้างหน้าเขาอย่างตื่นเต้น เขาฝันว่าสักวันหนึ่งเขาจะกลายเป็นอสูรเจ็ดดาวให้ได้
“น่ากลัวจริงๆ เขาไม่ได้อ่อนแอกว่าบลูไฟร์แน่นอน” เมื่อลินลี่ย์เห็นรอยัลวิงเพราะเหตุผลบางอย่างเขามีความรู้สึกที่เขาไม่เคยมีมาก่อน...คนผู้นั้นแค่เพียงกวาดตามองก็ทำให้วิญญาณของเขาสั่นสะท้านได้ พลังขนาดนั้นน่าทึ่งจริงๆ
รอยัลวิงผู้มีคิ้วขาวตาทองมองดูแคลมป์ตันที่อยู่ข้างๆ“เจ้าเพิ่งพูดถึงคนอื่นที่จะร่วมสอบเป็นอสูรจะต้องตายแน่ใช่ไหม?”
แคลมป์ตันสั่นไปทั้งตัว
นักสู้อสูรที่อยู่โดยรอบไม่มีใครกล้าส่งเสียง แคลมป์ตันหวาดกลัวรีบพูดขึ้น “ท่านเจ้าเมือง! ข้าข้าแค่บอกว่าเจ้าเด็กหัวน้ำตาลนี้และเจ้าเด็กหัวดำที่เคาน์เตอร์ ถ้าพวกเขาเข้าร่วมสอบ พวกเขาจะต้องตายแน่” ขณะที่เขาพูดคำนี้แคลมป์ตันไม่มีความมั่นใจอยู่ในน้ำเสียงเลย
“เหรอ? ทำไมเจ้าพูดแบบนั้นเล่า?” รอยัลวิงดูเหมือนจะแปลกใจ
“นี่..ทั้งนี้เพราะเจ้าเด็กหัวน้ำตาลยังเป็นแค่เทียมเทพ ถ้าเทียมเทพเข้าร่วมสอบคัดเลือกเป็นอสูร เขาจะต้องตายแน่นอน” แคลมป์ตันไม่รู้ว่าอสูรเจ็ดดาวน่ากลัวมาก แค่สายตาของรอยัลวิงก็ทำให้เขาสั่นสะท้านได้แล้ว
พวกเขาทั้งสองเป็นเทพชั้นสูง แต่ความแตกต่างระหว่างพวกเขามากมายเหลือเกิน
“โอว,ระดับเทียมเทพจะเข้าร่วมสอบเป็นอสูรเหรอ?” รอยัลวิงพยักหน้าเล็กน้อย “แล้วอีกคนเล่า?”
“เจ้าเด็กผมดำพยายามเข้าสอบเป็นอสูรไปสองครั้งแล้ว แต่สอบตกทั้งสองครั้ง เขาโชคดีที่รักษาชีวิตรอดมาได้ แต่เขาต้องการเข้าสอบคัดเลือกอีกครั้ง...” แคลมป์ตันกล่าวจากนั้นไม่กล้าส่งเสียงต่อ
แต่รอยัลวิงเพียงแต่เหลียวมองเด็กหนุ่มชื่ออันจิ
และจากนั้นเขาหันไปมองแคลมป์ตัน “เจ้าชื่ออะไร?”
“คะ..แคลมป์ตันขอรับ” แคลมป์ตันตะกุกตะกักกล่าว
“เจ้าเป็นเทพชั้นสูงคนหนึ่ง แต่เจ้าเป็นเทพระดับสูงผ่านการหลอมรวมกับประกายเทพ” รอยัลวิงหัวเราะอย่างใจเย็น
“ขอรับ” แคลมตันรีบพยักหน้า
รอยัลวิงยังคงพูดต่อ “ถ้าความรู้สึกของข้าถูกต้อง เจ้าน่าจะยังเป็นอสูรสามดาวอยู่!” มองอย่างผิวเผินไม่ว่าจะเป็นหนึ่งดาวหรือเจ็ดดาวไม่สามารถระบุแยกจากกันได้จะระบุความแตกต่างกันได้ก็โดยใช้วิธีการพิเศษ
รอยัลวิงสามารถบอกได้แค่เพียงเหลียวมอง นี่นับว่าน่าประหลาดใจแน่นอน
“ถะ..ถูกแล้วข้าเป็นเพียงอสูรสามดาว” แคลมป์ตันพยักหน้า
“เทพชั้นสูงผู้เป็นเพียงอสูรสามดาวนับว่ายังระดับต่ำอยู่” รอยัลวิงพูดอย่างสงบ
แคลมป์ตันรู้สึกอายอย่างเหลือเชื่อ เป็นเรื่องที่น่าอับอายมากที่เทพชั้นสูงยังเป็นอสูรสามดาว จะไม่ให้น่าอับอายได้ยังไง เพราะเจ้าเมืองรอยัลวิงเป็นคนระบุเอง?
“เจ้าเด็กผมดำผู้นี้สอบตกถึงสองครั้งคราแต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ แม้ว่าเขาจะใจร้อนไปสักเล็กน้อยแต่ความตั้งใจและความกล้าหาญของเขาน่าชื่นชม... ถ้าเจ้าสามารถเรียนรู้และใส่ใจกับเรื่องนี้เจ้าคงเป็นอสูรสี่ดาวไปนานแล้ว” รอยัลวิงพูดอย่างใจเย็น แคลมป์ตันได้แต่ทำเสียงยอมรับ
ต่อให้ใต้เท้ารอยัลวิงดุด่าเขา ทั้งหมดที่เขาทำได้ก็คือยอมรับ
จากนั้นรอยัลวิงหันและเดินมาทางลินลี่ย์ เขาหัวเราะอย่างใจเย็นและกล่าว “เจ้าก็ตั้งใจจะร่วมสอบเป็นอสูรด้วยหรือ?”
ลินลี่ย์คาดไม่ถึงว่ารอยัลวิงผู้นี้จะมาพูดคุยกับเขา บุรุษที่เป็นอสูรเจ็ดดาวเจ้าเมืองปกครองเมืองรอยัลวิง
“วันนี้ข้าแค่มาดูไว้ก่อน ข้าเพียงตั้งใจจะเข้าทดสอบคัดเลือดในอีกไม่กี่สิบปีจากนี้” ลินลี่ย์ตอบด้วยความเคารพ
“ไม่กี่สิบปีหรือ?” รอยัลวิงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี จากนั้นกล่าว “พ่อหนุ่ม,ไม่ใช่เรื่องน่าอายที่เทียมเทพต้องการจะเข้าร่วมสอบเป็นอสูร ในอดีตเมื่อข้ายังเป็นเทียมเทพ ข้าก็เคยเข้าร่วมสอบเป็นอสูรด้วยตัวเองเหมือนกัน”
อสูรหลายคนที่อยู่ใกล้รีบเข้ามาใกล้และตั้งใจฟังอย่างดี พวกเขาไม่เคยได้ยินว่าเจ้าเมืองรอยัลวิงทำเรื่องเช่นนั้นมาก่อน
อย่างไรก็ตาม...เมืองรอยัลวิงสร้างมานานนับปีไม่ถ้วนแล้ว ใครๆก็สามารถนึกคิดได้ว่ารอยัลวิงนั้นฝึกฝนมานานเพียงไหน
ลินลี่ย์ประหลาดใจเงยหน้าขึ้นมองรอยัลวิง
“แต่แน่นอน, ข้าสอบตก โชคดี ข้าสามารถรอดชีวิตได้และจากนั้นเมื่อข้าถึงระดับเทพแท้ ข้าจึงลองเข้าสอบเป็นอสูรอีกครั้ง”รอยัลวิงพูดพลางหัวเราะพลาง “พ่อหนุ่ม! ดีที่สุดก็คือเจ้าควรรอให้ถึงระดับเทพแท้เสียก่อนแล้วค่อยเข้าร่วมสอบเป็นอสูร การเข้าสอบเป็นอสูรนั้นก็คือส่วนยากของภารกิจหนึ่งดาว กล่าวโดยทั่วไป ต่อให้เป็นเทพแท้ก็ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการปฏิบัติภารกิจให้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ ระดับเทียมเทพโอกาจจะทำภารกิจนั้นให้สำเร็จได้นั้นต่ำมาก ต่ำเอามากๆ”
ลินลี่ย์รู้สึกขอบคุณเจ้าเมืองรอยัลวิงที่ยืนอยู่ข้างหน้าเขาผู้นี้ในใจ
อย่างน้อยเขาก็ยังให้คำแนะนำเขา
เจ้าเมืองรอยัลวิงมีศักดิ์ศรีฐานะสูงส่งยิ้มให้เขาอย่างเป็นกันเอง ลินลี่ย์จะไม่รู้สึกซาบซึ้งใจได้อย่างไร?
จากนั้นรอยัลวิงมองดูลินลี่ย์จากไปไกลแล้วก่อนเขาจะหันกลับและนำบริวารทั้งสามขึ้นบันได หลังจากเจ้าเมืองรอยัลวิงออกไปแล้วทั่วทั้งห้องโถงใหญ่ก็มีเสียงจอแจดังกระหึ่ม อสูรทุกคนล้วนตื่นเต้น
“นั่นคือเจ้าเมืองรอยัลวิง! ยอดฝีมือท่านนี้ข้าเทิดทูนบูชาจริงๆ”
อสูรหลายคนพูดถึงรอยัลวิงกันอย่างตื่นเต้น พวกเขาไม่พูดถึงเรื่องลินลี่ย์กับอันจิอีกต่อไป ที่สำคัญลินลี่ย์และอันจิกลายเป็นเรื่องเล็กน้อย
ที่ชั้นบนปราสาทอสูร
“วันนี้มีเรื่องราวที่น่าสนใจจริงๆ เด็กหนุ่มผมน้ำตาลมีกลิ่นอายของสี่ตระกูลเทพอสูรศักดิ์สิทธิ์แฝงอยู่ในตัวเขา” รอยัลวิงถอนหายใจ
“สี่ตระกูลเทพอสูรศักดิ์สิทธิ์? ใต้เท้า! พวกเขาไม่ได้มาจากแคว้นอินดิโกทวีปบลัดริจไม่ใช่หรือ? แล้วพวกเขามาปรากฏตัวในที่ของเราได้ยังไง?” หนึ่งในสามบริวารของรอยัลวิงถาม
รอยัลวิงหัวเราะอย่างสงบ “สี่ตระกูลเทพอสูรศักดิ์สิทธิ์เป็นตระกูลที่แพร่หลายกระจายตัวมาก ลูกหลานของพวกเขามีอยู่มากมาย ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรที่สมาชิกตระกูลพวกเขาจะมาปรากฏตัวที่นี่” รอยัลวิงรู้สึกว่าน่าสนใจ ที่สำคัญคือ ลูกหลานตระกูลสี่เทพอสูรศักดิ์สิทธิ์ไม่คู่ควรทำให้เขาต้องกังวลใจ