ตอนที่ 14-14 ปราสาทอสูร
แม้ว่าลินลี่ย์จะไม่ใช่คนตระหนี่แต่ก็ไม่ใช่คนที่ใช้จ่ายเงินอย่างสุรุ่ยสุร่าย กลุ่มของลินลี่ย์ออกจากโรงแรมจากนั้นใช้เวลาเดินทางไปรอบๆเมืองรอยัลวิงมองดูตามโรงแรมสิบแห่งเพื่อเลือกโรงแรมที่ออกแบบมาอย่างเงียบสงบ
ราคาเข้าพักค้างที่นี่ปีละ210 ศิลาดำ
หลังจากจ่าย210 ศิลาดำ เขาได้รับป้ายสีดำ กลุ่มของลินลี่ย์เข้าไปในที่พักของพวกเขาผลักเปิดประตูเข้าไปในลานว่าง ที่อยู่ต่อหน้าพวกเขาคือที่พำนักชั้นดีมีสวนดอกไม้ซึ่งกินพื้นที่ถึงหนึ่งในสามของที่พัก
ที่ด้านหลังเป็นอาคารสองชั้นเรียบง่ายที่ไม่มีการตกแต่ง
ลินลี่ย์กับเดเลียมองดูอาคารและพวกเขาอดรู้สึกพอใจไม่ได้
“พี่ใหญ่, สวนนี้สวยงดงามจริงๆ” บีบีหัวเราะ “พี่ใหญ่! ข้าจะไปอยู่ข้างบนนะ” บีบีกระโดดขึ้นไปที่ชั้นสองโดยตรงครู่ต่อมาบีบีกระโดดกลับลงมาข้าง เขาเม้มปาก “โรงแรมนี้ตระหนี่โคตร นอกจากเตียงและเก้าอี้แล้ว ไม่มีอะไรข้างในเลย”
“สภาพแวดล้อมแบบนี้ นับว่าดีอยู่แล้ว”
ลินลี่ย์พยักหน้าพอใจและจากนั้นดึงแผ่นสกุลเงินอะซูไรท์ออกมาส่งให้เดเลียสองแผ่น และบีบีสองแผ่น “บีบี เดเลียพวกเจ้าสองคนพกเอาไว้คนละสองแสนศิลาดำ ต่อไปถ้าเจ้าต้องการซื้ออะไรก็ตัดสินใจเอาเอง”
“หึหึ” บีบียักคิ้วและรับเอาไว้
เดเลียพยักหน้าและรับเงินอะซูไรท์ไว้เช่นกัน
ลินลี่ย์เงยหน้ามองฟ้าเห็นว่าปัจจุบันยังเป็นเวลาบ่าย ดวงอาทิตย์สีเลือดยังลอยเด่นอยู่ในกลางอากาศ
“ยังหัววันอยู่เลย นี่ยังไม่มืดค่ำ กำหนดเวลาห้ามออกนอกสถานที่สำหรับเมืองรอยัลวิงห้ามไม่ให้คนอื่นเดินถนนตอนกลางคืน เราไปเดินสำรวจดูรอบๆ กันเถอะ” ความคิดแรกของลินลี่ย์ก็คือปราสาทอสูร “เราตรงไปที่ปราสาทอสูรกันและดูว่าการทดสอบที่ปราสาทอสูรจะเป็นยังไง”
“ปราสาทอสูร?” เดเลียและบีบีตื่นเต้นกันทั้งคู่
โดยไม่มีการเสียเวลาทั้งสามคนมุ่งหน้าไปปราสาทอสูรทันที!
ปราสาทอสูรโบราณสีดำสนิทโดยเฉพาะอย่างยิ่งสัญลักษณ์แกะสลักมหึมาของปราสาทที่มีหน้าปีศาจตาเดียว ใครที่เห็นสัญลักษณ์จะไม่มีทางลืมได้เลย
คนที่มุ่งหน้าไปปราสาทอสูรไม่มากเท่ากับคนที่ไปที่ปราสาทเรดบุดหรือปราสาททรายดำ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าผู้คนที่มุ่งหน้าไปปราสาทอสูรจะค่อนข้างต่ำเมื่อพวกเขาเดินอยู่บนถนน คนเหล่านี้มีสีหน้าท่าทางมั่นใจ ส่วนใหญ่ในพวกเขาจะติดตราอสูรไว้ที่หน้าอกของพวกเขา เห็นได้ชัดว่า...
พวกเขาเป็นอสูรกันทั้งหมด!
ชนชั้นฝีมือดีของแดนนรก!
กลุ่มของลินลี่ย์เดินขึ้นไปตามบันไดเข้าไปในห้องโถงหลักชั้นแรกของปราสาทอสูร
“เงียบมาก” บีบีพูดเบาๆ
ห้องโถงหลักบนชั้นที่หนึ่งของปราสาทอสูรกว้างขวางมาก มีคนอยู่น้อยมากในห้องโถงใหญ่ ราวๆ ไม่กี่ร้อยคน คนไม่กี่ร้อยคนนี้กระจายอยู่ในห้องโถงกว้างทำให้รู้สึกกระตือรือร้นนัก กลุ่มของลินลี่ย์มองเห็นเคาน์เตอร์ ‘ใบสมัครอสูร’ ในทันที
ที่เคาน์เตอร์นั้นจะมีหญิงงามผมเขียวนั่งอยู่ด้านหลังบนชั้นวางด้านหลังนางจะมีขวดเหล้าหลายขวด
“ยูนะ!เหล้าโอเล่ขวดแดงหนึ่งขวด!” บุรุษหัวโล้นเกราะดำวางเบี้ยอะซูไรท์ชิ้นหนึ่งไว้บนโต๊ะ
“เฮ้, เจ้าไม่เห็นหรือว่าข้ากำลังยุ่ง? รอเดี๋ยว” สตรีผมเขียวไม่สนใจ ยังคงสนทนากับเด็กหนุ่มผมดำข้างหน้านาง
“อันจิ! ข้าจะพูดยังไงถึงจะโน้มน้าวใจเจ้าได้? ครั้งล่าสุดมีคนเกินพันคนร่วมสอบเข้าเป็นอสูร และมีประสบความสำเร็จเพียงห้าสิบสามคน มีเพียงยี่สิบแปดคนที่รอดชีวิตได้ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ผ่านสอบคัดเลือก แต่คนอื่นๆ มากกว่าเก้าร้อยคนตายเรียบ! เจ้าร่วมคัดเลือกมาถึงสองครั้งแล้ว และเจ้าก็โชคดีพอรอดชีวิตได้ถึงสองครั้งแม้ว่าจะล้มเหลวก็ตาม เจ้าโชคดีสองครั้ง แต่เจ้ายังจะโชคดีครั้งที่สามหรือไม่?” หญิงสาวผมหยกกระตุ้นเตือนเขา
กลุ่มของลินลี่ย์เดินผ่านมาพอดี
บุรุษหนุ่มผมดำพูดเสียงเบา “ยูนะ,แม้ว่าข้าจะรู้ว่าข้าโชคดีสองครั้งล่าสุด แต่ข้าไม่ต้องการยอมแพ้ ข้าเกือบจะทำได้สำเร็จในสองครั้งสุดท้ายแล้วครั้งนี้ข้าจะต้องสำเร็จแน่นอน”
“เจ้าแค่กลับไปฝึกให้นานขึ้น เพิ่มพลังฝึกปรือของเจ้าจากนั้นค่อยมาลองใหม่ไม่ได้หรือไง?”
ยูนะถอนหายใจ “ข้าทำหน้าที่รับสมัครอสูรข้าเห็นคนอย่างเจ้าที่ต้องการเป็นอสูรมามากมายเท่าใดแล้ว อย่างไรก็ตามโอกาสตายในการสอบเป็นอสูรนั้นสูงมาก! กล่าวโดยทั่วไปมีจำนวนหลักสิบคนจากพันคนที่จะสำเร็จขณะที่จำนวนผู้รอดชีวิตไม่เคยมีถึงร้อยคนเลย!”
“อันจิ! กลับไปฝึกเพิ่มอีกหน่อยเถอะ เมื่อพลังของเจ้าขึ้นสู่ระดับใหม่ค่อยกลับมาอีกครั้ง เมื่อถึงเวลานั้น ข้าเห็นด้วยที่จะรับสมัครเจ้า” ยูนะกระตุ้นเตือน
“เพิ่มพลังของข้าน่ะหรือ?” เด็กหนุ่มผมดำส่ายศีรษะ “ข้าเป็นระดับเทพแท้แล้ว ข้าได้รู้แจ้งเคล็ดลึกลับต่างๆ ถึงสามเคล็ด แต่ข้ารู้ว่า... ถ้าข้ายังคงฝึกต่อไปจำนวนเวลาที่ทำให้ข้ารู้แจ้งเคล็ดลึกลับที่สี่จะต้องยาวนานอย่างคาดไม่ถึง แล้วจะเป็นยังไงถ้าข้าได้รับการรู้แจ้ง? พลังของข้าจะไม่เพิ่มขึ้นมาก มีแต่เมื่อข้าเป็นเทพชั้นสูงเท่านั้นถึงจะมีพลังก้าวหน้า! แต่นี่ยังอยู่ห่างไกลเกินไป”
“เป็นไปได้ไหมที่ข้าจะฝืนหลอมรวมกับประกายเทพ? ข้าไม่ยินดีเลย ยิ่งกว่านั้นข้าไม่มีเงินมากพอซึ้อประกายเทพชั้นสูง”
เด็กหนุ่มผมดำมองหน้าสตรีผมเขียว “ยูนะ!อย่าห้ามข้าเลย”
“ฮ่าฮ่า...”
ทันใดนั้นบุรุษหัวโล้นเกราะดำที่อยู่ใกล้ๆ เริ่มหัวเราะลั่น เสียงหัวเราะของเขากึกก้องไปทั้งโถงใหญ่ที่เงียบสงบทันที นักสู้อสูรหลายคนมองดูเขาที่กำลังหันหน้าไปมองสหายของเขา “พี่น้อง!มาดูเร็ว, สหายน้อยผู้นี้สามารถรอดชีวิตในการสอบเป็นอสูรได้ถึงสองครั้งสองครา เขาโชคดีจริงๆ แต่ตอนนี้ เขาจะสมัครสอบครั้งที่สามอีก ฮ่าฮ่าฮ่า....”
“โอว.. เขารอดชีวิตได้ถึงสองครั้งหรือ?” กลุ่มคนสองสามคนตรงเข้ามาทุกคนล้วนมีเหรียญตราอสูรติดที่หน้าอก
“โชคดีพอรอดชีวิตได้ถึงสองครั้ง และเขาต้องการจะลองอีกหรือ? นี่เขาเบื่อหน่ายชีวิตหรือไง?”
อสูรเหล่านี้ทั้งหมดพากันหัวเราะขณะที่พวกเขาเดินเข้ามาหา
บุรุษผมดำก้มหน้าขมวดคิ้วตลอดทั้งตัวสั่นเล็กน้อย
นี่เป็นการดูถูก!
“ยูนะ” นักรบหัวล้านเกราะดำหัวเราะลั่น “สหายน้อยผู้นี้อยากตาย ก็ปล่อยเขาไปเถอะจะไปกระตุ้นเตือนเขาทำไม? ปล่อยให้เขาไปสอบจนตายก็แล้วกัน”
“หุบปากเลย, แคลมป์ตัน!” ยูนะจ้องมองเขาขณะตวาดกลับ
นักรบหัวโล้นเกราะดำสะดุ้งจากนั้นพูดด้วยความไม่พอใจ “ยูนะ! เจ้ากล้าพูดกับข้าแบบนั้นได้ยังไง!”
“อะไร? ข้าพูดไม่ได้หรือไง?” ยูนะเชิดคางเล็กน้อย และนางจ้องมองบุรุษโล้นเกราะดำอย่างเย็นชา “แคลมป์ตัน, ข้าจะพูดกับเจ้าแบบนี้ จะทำไม?”
“บัดซบเอ๊ย!” แคลมป์ตันโกรธและตบโต๊ะจ้องมองยูนะด้วยสายตาที่แดงก่ำเพราะความโกรธ
ยูนะตกใจกลัวแต่จากนั้นนางรวบรวมความกล้าและพูดเสียงแข็ง “แคลมป์ตัน เจ้าคิดว่าเจ้ากำลังทำอะไร? นี่คือปราสาทอสูร!” ยูนะรู้ว่าแคลมป์ตันเป็นนักรบอสูรที่ทรงพลังซึ่งมีระดับพลังเท่าเทพชั้นสูง
“แคลมป์ตัน!” นักรบอสูรคนอื่นๆเดินเข้ามาต่อว่าเขาทันที “หยุดก่อเรื่องยุ่งเสียที”
นักสู้อสูรที่ร้องเรียกแคลมป์ตันทุกคนนี้ล้วนเป็นสหายของแคลมป์ตัน
“ฮึ่ม...” แคลมป์ตันแค่นเสียงเย็นชา แต่เขารู้ว่าเมืองรอยัลวิง เขาจะกระทำการอะไรที่รุนแรงไม่ได้ ทั้งหมดที่เขาทำได้ก็คือ แค่นเสียง
“ยูนะ, แคลมป์ตันก็แค่อารมณ์ร้อนตอนนี้ขอเหล้าโอเล่ขวดหนึ่ง เร็วเข้า” บุรุษผมยาวแดงคนหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ ส่งเบี้ยอะซูไรท์ให้ยูนะซึ่งนางก็รับโอกาสถอนตัวจากการเผชิญหน้าครั้งนี้นางรับเบี้ยอะซูไรท์และหยิบเหล้าขวดหนึ่งให้พวกเขา
ขณะนั้นเองบุรุษผมดำชื่ออันจิพูดเบาๆ “ยูนะ! ขอโทษด้วย”
ยูนะมองดูเขานางส่ายหน้าและยิ้มให้
“ข้ารู้ความเร็วในการฝึกของข้า” บุรุษหนุ่มผมดำมองดูยูนะ “ข้าต้องใช้เวลาแสนปีจึงจะเชี่ยวชาญเคล็ดลึกลับทั้งสามนี้ ในอีกแสนปีไม่มีทางที่พลังรู้แจ้งของข้าจะเพิ่มมากขึ้น ข้าเหลือเงินเพียงพอให้ตัวเองอยู่ในเมืองรอยัลวิงได้อีกไม่กี่สิบปี ข้าไม่มีเวลาอีกต่อไปแล้ว!”
ยูนะมองเขา
“ก็ได้” ในที่สุดยูนะก็ยอมรับ
“ข้าขอถามได้ไหม มีข้อกำหนดอะไรในการสมัครเป็นอสูรบ้าง?” เสียงหนึ่งดังขึ้น ลินลี่ย์กับพวกอีกสองคนเดินเข้ามาที่เคาน์เตอร์
ยูนะชำเลืองมองเขาและจากนั้นนางเอามือกุมศีรษะทันที “โอว..สวรรค์โปรด รายแรกเรามีเทพแท้ที่สอบตกอยู่สองครั้ง แต่โชคดีรอดชีวิตได้แต่ก็ยังอุตส่าห์ต้องการเข้าสอบคัดเลือกอีกครั้ง นั่นก็บ้าพอแล้ว อย่าบอกข้านะว่าตอนนี้เรามีเทียมเทพที่ต้องการจะร่วมสอบเป็นอสูรกับเขาด้วย”
“เฮ้, พี่ใหญ่ข้าถามคำถามเจ้าอยู่นะ” บีบีจ้องนาง
ยูนะมองบีบี นางอดรู้สึกงงงวยมิได้และพูดด้วยความประหลาดใจ “เขา...เป็นพี่ใหญ่ของเจ้า?” ยูนะสามารถบอกได้ว่าบีบีเป็นระดับเทพแท้ ขณะที่ลินลี่ย์เป็นเพียงเทียมเทพ
“อะไรกัน,เรื่องนั้นมีอะไรที่ไม่ถูกต้องหรือ?” บีบีถามต้องการคำตอบ
ยูนะอดตะลึงไม่ได้
เดเลียที่อยู่ใกล้ๆหัวเราะและพูดต่อ “แม่นางยูนะ,เจ้าบอกเราได้ไหมว่าการสอบคัดเลือกเป็นอสูรจะต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้าง?”
ยูนะกล่าว “การสอบคัดเลือกเป็นอสูรไม่ต้องการคุณสมบัติอย่างอื่น ตราบใดที่พวกเจ้าจ่ายค่าเข้าสอบหมื่นเหรียญศิลาดำ เจ้าสามารถร่วมทดสอบได้ เมื่อเจ้าผ่านเจ้าจะกลายเป็นอสูรหนึ่งดาว อย่างไรก็ตาม...แม้ว่าจะไม่มีกฎที่ยุ่งยากและมีความรวดเร็วในการเข้าร่วมสอบคัดเลือกเป็นอสูร.. เอ่อ..ข้าขอแนะนำเจ้าให้มาร่วมสอบหลังจากถึงระดับเทพแท้ดีกว่า ระดับเทียมเทพ มัน..มันอันตรายเกินไป” เมื่อเห็นลินลี่ย์ ยูนะได้แต่หัวเราะอย่างอึดอัด
ยูนะพูดความจริง
ลินลี่ย์เข้าใจเรื่องนี้เพราะเขาได้ยินบทสนทนาของพวกเขาก่อนนี้แล้ว
คนเข้าร่วมสอบคัดเลือกพันคนแต่มีห้าสิบสามคนสอบผ่านสำเร็จ ขณะที่มีผู้รอดชีวิตไม่ถึงร้อย อัตราการตายระดับนี้น่ากลัวมาก นอกจากนี้ผู้เข้าร่วมสอบคัดเลือกน่าจะเป็นระดับเทพแท้ ใครๆ ก็สามารถคาดคิดได้ว่าจะมีอันตรายขนาดไหน
แคลมป์ตันไปอยู่ที่มุมหนึ่งของโถงใหญ่และดื่มเหล้ากับเหล่าสหายของเขา ตอนนี้เขาอยู่ในอารมณ์ที่โกรธมาก
“แม่งเอ๊ย..นังตัวแสบ!” ใจของแคลมป์ตันยังคงโกรธอยู่ และเขามองไปที่ยูนะเป็นครั้งคราว
“หือ?” แคลมป์ตันชะงักทันที “พี่น้อง, ดูสิ... ไอ้หนุ่มผมน้ำตาลเป็นแค่เพียงเทียมเทพใช่ไหมนั่น?”
สหายคนอื่นๆตกใจทุกคนเพ่งดูเช่นกัน”
“เฮ้ย.. เป็นระดับเทียมเทพจริงๆ ด้วย” คนพวกนั้นประหลาดใจกันหมด
“พวกเจ้าคงยังไม่สมัครเข้าสอบเป็นอสูรเดี๋ยวนี้เลยใช่ไหม?” ยูนะมองดูกลุ่มของลินลี่ย์
“ยังไม่รีบร้อน อีกสักครู่ ข้าจะกลับ” ลินลี่ย์พูดพลางหัวเราะอย่างใจเย็น ตอนนี้ลินลี่ย์รู้ว่าการสอบเป็นอสูรนั้นอันตรายแค่ไหน แม้จะเพื่อประโยชน์ของเดเลียและบีบีเขาจะไม่เอาตัวเองไปเสี่ยงอันตราย นอกจากนี้เขารู้แจ้งเคล็ดความรู้ลึกลับแก่นธาตุดินเกินครึ่งหนึ่งไปแล้ว
แม้ว่าเขาจะมีกระบวนการหลอมรวมที่ช้า แต่ก็ใช้เวลาเพียงไม่กี่สิบปี
ไม่ต้องเร่ง
ขณะที่กลุ่มของลินลี่ย์เตรียมจะจากออกมา ทันใดนั้นเสียงหนึ่งดังขึ้น.....
“อีกสักเดี๋ยวหรือ? ฮ่าฮ่าฮ่า...” เสียงนี้ดังแสบหูเขามาก
ลินลี่ย์หันไปมองและเห็นว่าผู้นำของกลุ่มกำลังเดินเข้ามาก็คือแคลมป์ตัน แคลมป์ตันแค่นเสียงเขาใช้สายตาดูถูกมองดูลินลี่ย์ “ฮ่าฮ่าเจ้า..เทียมเทพผู้ต้องการสอบเข้าเป็นอสูรงั้นหรือ?” เสียงของแคลมป์ตันดังมาก
คนในโถงใหญ่หลายร้อยคนหันมามองดูและมีบางคนเดินเข้ามาด้วย
“เทียมเทพกำลังจะสอบเป็นอสูร? ข้าได้ยินผิดไปหรือเปล่า?” บางคนงงงวยว่าเกิดอะไรขึ้น
“ข้าได้ยินว่าเทียมเทพต้องการจะสอบเข้าเป็นอสูร แต่นั่นเป็นเรื่องที่ข้าไม่ทราบว่าเคยได้ยินมากี่ปีแล้ว ข้ายังไม่เคยเห็นกับตาตัวเอง” บุรุษผมแดงถือแก้วเหล้าเดินเข้ามา
คนเหล่านี้หันมามองลินลี่ย์กันทุกคน
“เขาน่ะหรือ? คนที่จะสอบเข้าเป็นอสูร?” พวกเขาบอกได้เลยว่าคนที่ยังเป็นระดับเทียมเทพที่ปรากฏตัวอยู่ในตอนนี้ก็คือลินลี่ย์
“ใช่แล้ว, เป็นสหายน้อยผู้นี้” แคลมป์ตันหัวเราะทันที
หน้าของลินลี่ย์บิดเบี้ยวน่าเกลียดเดเลียและบีบีก็โกรธเช่นกัน
“ไม่ใช่แค่เจ้าเด็กน้อยผมน้ำตาลนี่เท่านั้นนะ เจ้าเด็กผมดำนี่ด้วยเขาสอบตกในการคัดเลือกเข้าเป็นอสูรมาสองรอบแล้ว แต่เขาโชคดีเหลือเชื่อที่รอดชีวิตมาได้ ตอนนี้ เขาต้องการลองสอบอีก” แคลมป์ตันหัวเราะ “วันนี้มีคนโง่เยอะกว่าปกติจริงๆ พวกเขาคิดว่า.. ด้วยพลังของพวกเขา พวกเขาจะกลายเป็นอสูรได้หรือ? พวกเขาจะกลายเป็นอสูรไปเพื่ออะไรกัน? ตลกเป็นบ้า!”
เด็กหนุ่มผมดำโกรธจัด เขากำหมัดแน่นขณะจ้องมองแคลมป์ตัน
หน้าของลินลี่ย์เขียวคล้ำ
“แม่มันเอ๊ย..บัดซบจริงๆ!” บีบีตะโกนแต่ลินลี่ย์คว้าบีบีไว้ “บีบี! อย่าไปโกรธสวะแบบนี้เลย มันไม่คุ้มกัน” ลินลี่ย์กล่าว ลินลี่ย์รู้ว่าเขาปล่อยให้บีบีก่อเหตุรุนแรงไม่ได้ ถ้าเขาก่อเรื่องรุนแรงในเมืองรอยัลวิงเขาคงจบแน่นอน
หน้าของแคลมป์ตันที่กำลังหัวเราะอย่างอารมณ์ดีชะงักค้างทันที เขาหันไปมองลินลี่ย์
“เฮ้, แคลมป์ตัน เจ้าได้ยินไหมนั่น? เจ้าเทียมเทพนั่นเรียกเจ้าว่าสวะ” ใครบางคนที่อยู่ใกล้ๆ โหมไฟ
“เจ้าพูดว่าไงนะ?” หน้าแคลมป์ตันน่ากลัว
“เจ้าต้องการให้ข้าพูดอีกหรือ?” ลินลี่ย์มองหน้าเขา เนื่องจากว่าเขาไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ข้าคาดไม่ถึงจริงๆว่ายังมีคนในโลกนี้ที่ต้องการถูกสบถด่าเอาอย่างนั้นก็ได้ ข้าจะพูดอีกครั้งข้าบอกว่าเจ้า...” หน้าของลินลี่ย์เพิ่มความเย็นชาขึ้นขณะที่เขาจ้องมองแคลมป์ตัน “คือสวะ!”
“ไปกันเถอะ!” ลินลี่ย์ฉุดดึงมือบีบีและเดเลียเดินออกไปข้างนอกโดยไม่สนใจแคลมป์ตันแม้แต่น้อย