ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 2 : โลกใบใหม่

ตอนที่ 1 : อารัมภบท


“สุดยอด! ในที่สุดก็ได้มันมา!”

คนอุทานด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นและแต่ก็เหนื่อยล้าอย่างมาก เขาถือหินที่เปล่งแสงในมือ

เสียงค่อนข้างเบาแต่ดังพอที่จะทำให้คนที่ได้ยินเกิดรอยยิ้ม เส้นผมที่ควรจะสีดำสนิทราวน้ำหมึกดูขาวซีด จมูกเป็นสันตรงทำให้ใบหน้าคม

แต่ริมฝีปากนั้นแห้งผากจนทำให้เขาเหมือนกับวิญญาณเร่ร่อนที่ดูน่าหลงใหล

สภาพไม่สู้ดีของคนผู้นี้ประกอบไปด้วยริ้วรอยบนแก้มแต่ก็ยังทำให้เขาดูหนุ่มในเวลาเดียวกัน เหมือนกับคนหนุ่มที่เริ่มแก่ตัวลงเล็กน้อย

‘สิบปีมาแล้วที่เทียนหลงคนนี้ได้บันทึกมรณะมา’

แสงประกายลึกในดวงตาและความคิดที่ว่าเขาได้สิ่งที่ตามหามามากกว่าห้าปีทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นและหวนคิดถึงวันวาน

‘เราเคยใช้บันทึกมรณะเพียงเพื่อฆ่าศัตรู และตั้งแต่นั้นมาก็ไม่ได้ใช้มันฆ่าใครอีกเลย…’

ภาพเหตุการณ์ในอดีตมากมายฉายผ่านดวงตา เขาถอนหายใจเมื่อรู้สึกถึงเวลาที่ผ่านพ้นไปยาวนาน

ในอีกนัยหนึ่ง เขาเพียงแค่ใช้บันทึกมรณะในการสังหารศัตรูเพียงคนเดียว ส่วนอีกเรื่องคือเขาค่อย ๆ ผจญภัยอย่างระมัดระวังในการได้สิ่งที่ต้องการ เขาค้นหามันโดยไม่ต้องทำให้มือเปื้อนด้วยซ้ำไป

‘ถึงเวลากลับบ้านเกิดแล้วทำความคิดบ้า ๆ ที่อยู่ในใจมาแปดปีซักที!’

เขาเดินออกจากถ้ำและออกจากภูเขาเพื่อกลับไปยังสนามบินที่อยู่ในเมืองอีกไม่กี่กิโลเมตร

เขาหันกลับไปมองเทือกเขาที่ไม่เคยมีใครเดินทางไปในความรู้ของเขา หรือไม่มีวิญญาณของผู้ใดที่อยู่บนภูเขาแม้แต่นักกีฬาปีนเขา

เขาลงจากภูเขาอย่างไม่มีปัญหาอะไรจนได้เจอกับรถที่จอดอยู่ข้างทาง

โชคดีที่เขาขับรถจนมาถึงเมืองได้ เมื่อถึงสนามบินแล้วจึงขึ้นเครื่องกลับสู่เมืองจีนที่เป็นบ้านเกิด

หลังจากกลับบ้านมาพักกายแล้ว เขาไม่ทำอะไรนอกจากนั่งบนโซฟา เขารู้สึกสดชื่นจากอ่างน้ำร้อน แต่เขาก็เริ่มที่จะมีความคิดต่อมากับแผนในอนาคตเมื่อถึงนาทีสุดท้าย

หลากหลายเรื่องราวฉายผ่านดวงตา คนคุ้นเคยที่เขาได้สร้างความสัมพันธ์แต่ก็ไม่กล้าจะพัฒนาต่อเพราะสถานการณ์เฉียดตายของเขา

‘หึ! จะทำหรือจะตาย! ไม่มีทางเลือกเท่าไหร่หรอก’

‘ยังไงก็ไม่เหลือเวลาใช้ชีวิตในโลกนี้อีกแล้ว’

เขาเตรียมใจ

เขาเก็บของออกมาจากบ้าน ล็อคประตูเพิ่มอีกสองจุดมากกว่าปกติทำให้ดูเหมือนกับว่าเขาออกเดินทางอีกครั้งและปิดผนึกบ้านไว้ด้วยเหตุผลบางประการ

“เอาล่ะ ถึงเวลาหนีจากโลกใบนี้แล้ว”

เขาพึมพำกับตัวเองเบา ๆ เทียนหลงไปยังสถานที่ที่มีข่าวลือมากมาย รวมถึงข่าวลือที่ว่ามันเชื่อมต่อกับอีกโลกหนึ่ง แม้ว่าเขาจะได้ยินข่าวลือ เขาก็ค้นคว้าในทุกอย่างจนเจอโอกาสเป็นไปได้ในเรื่องที่ควรจะเป็นเพียงเรื่องปลอม

‘บอกตามตรง โอกาสที่จะข้ามไปที่นั่นได้มันน้อยมาก น้อยมากจริง ๆ …’

‘เราคิดถึงเรื่องนี้เพราะว่าเหลือเวลาใช้ชีวิตอีกแค่ไม่กี่ปีจนสิ้นหวังและว่างเปล่า ยังไงก็อยากจะมีชีวิตให้นานกว่านี้’

เขาคิดใคร่ครวญเรื่องแผนสุดบ้าและสิ่งที่ตัวเองจะทำ

หลังจากมาถึงวิหารเก่าในมณฑลหนึ่งของจีน เขาค้นหาเพื่อหาสัญญาณที่ผิดปกติทั้งหมด โชคร้ายที่เขาไม่เจออะไรเลยและวันนี้ก็เกือบจะจบลงแล้ว

“ที่นี่ถูกทิ้งร้าง แต่ก็ยังสะอาดสะอ้านอยู่ เพราะอะไรกัน?”

เทียนหลงพูดด้วยความสงสัย การอยู่ตามลำพังมานานทำให้เขามีนิสัยชอบคุยกับตัวเองทั้งในใจและแบบออกเสียง

หลังจากที่ไม่เจออะไรในวันนี้ เขาตัดสินใจหลับและค้นหาต่อไปในวันพรุ่งนี้ แต่แล้วในตอนที่เขาจะหลับในเต็นท์ชั่วคราวที่กางไว้ ในตอนนั้นก็มีเสียงที่ทำให้เขาตกใจตื่น

“ใครน่ะ!?”

เทียนหลงตะโกนและเริ่มระวังตัว

“โว้ว! อย่าทำอะไรข้านะตาแก่!”

ชายหนุ่มอุทาน

เทียนหลงมองดูชายหนุ่มแต่ก็ได้ยินว่าเขาถูกเรียกว่า ‘ตาแก่’ เปลือกตาเขากระตุกด้วยความหงุดหงิด ในวันนี้คนที่เรียกเขาว่าตาแก่นั้นมีอยู่ทั่วไป และเขาก็ไม่คิดอะไรมากเพราะสภาพร่างกายเขานั้นย่ำแย่เพราะอายุขัยที่ลดลง

“แกเป็นใคร เจ้าหนู?”

เทียนหลงถามแม้ว่าจะรู้คำตอบอยู่แล้ว

“ผมเหรอ? เสี่ยวยี่ไง”

ชายหนุ่มตอบ เขาดูราวกับว่าไม่ได้สนใจหรือตกใจกลัวชายแก่ในวิหารเก่านี้เลย เพราะคนอื่นก็อาจจะเข้าใจผิดจากสีหน้าเทียนหลงที่เหมือนกับผีหน้าซีดได้

ในตอนที่เทียนหลงกำลังจะถามด้วยความสงสัยและความสับสนบนใบหน้า เขาก็ถูกเทียนหลงพูดแทรกมาก่อน

“ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่?”

“ผมเหรอ?”

เสี่ยวยี่ผงะในทีแรกเพราะคิดจะถามคำถามเดียวกัน เขากระพริบตาและตอบ

“ก็วัดข้าง ๆ จ้างให้มาทำความสะอาดที่นี่ทุกอาทิตย์แล้วก็ให้เดินลาดตระเวนบ้างน่ะ…”

เมื่อได้ยินคำตอบเทียนหลงก็ตกใจ

“ที่นี่ไม่ได้ถูกทิ้งร้างหรอกเรอะ?”

“ใช่ มันถูกทิ้งร้าง…แต่ตอนนี้มันเป็นทรัพย์สินของวัดใกล้ ๆ แล้ว พวกเขาซื้อที่นี่เมื่อเดือนที่แล้ว”

เสี่ยวยี่ตอบด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ

“อย่างนี้นี่เอง”

เทียนหลงพยักหน้า

“ถ้ารู้ว่าที่นี่เป็นทรัพย์สินส่วนบุคคลแล้วก็ควรจะออกไปไม่ใช่เหรอ?”

เสี่ยวยี่ถามด้วยความรำคาญ

“อือ ใช่ ถ้าถึงตอนเช้า…จะกลับไป ตอนนี้ดึกมากแล้ว…”

เทียนหลงหาวตอบ

“ก็เข้าใจได้ ไม่อยากให้มากางเต็นท์จนถึงพรุ่งนี้น่ะ พรุ่งนี้ก็ไปซะนะตาแก่…”

“ได้…”

เขาพูดแบบนั้นและกลับเต็นท์ไป

ไม่กี่นาทีต่อมาหลังจากลาดตระเวน เสี่ยวยี่ก็ออกจากวิหารเก่าไป

เทียนหลงเห็นเขาเดินจากไปจากรูตาข่ายในเต็นท์

‘เด็กคนนี้…ในใจแล้วนิสัยดีถึงจะดูหยาบคายและกล้า ๆ ไปหน่อยก็เถอะ…’

เขารู้สึกว่ามองชายหนุ่มได้ทะลุปรุโปร่ง

‘แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เขามาทำอะไรตอนเที่ยงคืนล่ะ? ลาดตระเวนนาน ๆ ทีงั้นเหรอ? มีใครเลือกเวลานี้มาเดินลาดตระเวนบ้าง?’

เทียนหลงหัวเราะเบา ๆ พลางคิด

‘หรือเด็กนั่นแอบมานัดเจอกับผู้หญิงนะ?’

เขาขมวดคิ้วไปครู่หนึ่ง

‘แทบจะไม่เหลือเวลานอนแล้ว ร่างกายแก่ ๆ นี่จะทนไม่ไหวแล้ว!’

เขาตะโกนในใจและวิ่งออกมาจากเต็นท์เพื่อค้นหาในสถานที่นี้อีกครั้ง

เขาจุดหนึ่งในคบเพลิงมากมายที่พกมาและซ่อนไว้ในเต็นท์ เขาเริ่มมองหาสัญญาณประหลาดจากที่นี่ที่เขายังค้นหาไม่เจอ มีรูปปั้นสิงโตและเสือมากมายแต่มันก็แตกต่างกันจนเขาแยกแยะไม่ออก…มีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่วาดภาพประวัติศาสตร์เอาไว้ด้วย

แต่รูปปั้นและภาพจิตรกรรมก็ดูเก่าแก่ไปหมด ทำให้วิหารโบราณนี้ดูเหมือนกับวิหารที่พังทลายไปแล้ว

หนึ่งชั่วโมงผ่านไปหลังจากที่เขาทำการค้นหา จากเวลาที่เสี่ยวยี่กลับไป

เขาเดินไปรอบ ๆ เทียนหลงเข้าไปยังห้องหนึ่งในบรรดาห้องกว้างมากมาย เขาเดินไปที่ด้านหน้าของกำแพงและเริ่มเคาะ

*ต๊อกก ต๊อกก!~*

เขาเคาะไปรอบกำแพง และเขาก็ได้ยินเสียงสะท้อนมาจากอีกฟากหนึ่ง

เทียนหลงกระพริบตา และต่อมาริมฝีปากที่แห้งผากก็เบิกกว้างเป็นรอยยิ้ม

“ดีล่ะ! เจอแล้ว!”

เขาดันส่วนหนึ่งของกำแพงซึ่งมันส่งเสียงอู้อี้

ประตูใต้ดินเปิดในห้อง เทียนหลงหันไปมองมันในทันที เขามองหากับดักอยู่ครู่หนึ่งและรู้สึกร้อนรน

หนึ่งชั่วโมงต่อมา เขาไม่เจอกับดักใจและทำให้เขารู้สึกปลอดภัยอยู่บ้าง

ถ้าหากเขาตายก่อนจะข้ามไปต่างโลก เช่นนั้นก็ไม่รู้เลยว่าจะมีคนมากมายเท่าใดที่รู้เรื่องนี้และหัวเราะเยาะศพของเขา

เมื่อมั่นใจว่าไม่มีอันตรายด้วยความชำนาญของเขา เขาก็เริ่มลงบันไดใต้ดิน เขาเจอกับขั้นบันไดมากมายที่ทอดยาวลงไปและเจอกับประตูเหล็กที่สลักลวดลายยางอย่างเอาไว้

เทียนหลงจ้องมองหาคันโยกข้างประตูเหล็กและดึงมันลงมา ประตูเหล็กเปิดออกและเขาก็เข้าสู่พื้นที่ใต้ดิน เขาจุดคบเพลิงในมือให้สว่าง

เขาได้เห็นภาพที่น่ากลัวและไม่คุ้นเคย!

เทียนหลงอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงเมื่อเห็นการเขียนที่เหมือนกับวงกลม วงนอกนั้นดูเป็นทรงกลมส่วนวงในนั้นเป็นวงรีเหมือนกับดวงตา

มันดูเหมือนกับดวงตาอสูรที่เกือบจะทำเขาขนลุก!

“โอ้ นี่จะต้องเป็นรูปที่ทำให้วิหารโบราณนี้แปลกพอที่ข่าวลือจะเรียกว่าวิหารผีสิง…”

แน่นอนว่ามีคนที่เคยมาที่นี่มาก่อนเพื่อเล่นสนุกและได้เจอกับที่นี่จนเกิดข่าวลือว่ามีวิหารที่บูชาเทพปีศาจ พวกเขากระจ่ายข่าวลือไปแต่ก็ไม่เคยกลับมา และก็ไม่มีใครกล้ามาที่นี่เพราะความกลัว

อย่างไรก็ตาม มันเป็นแค่ความเชื่อพื้นเมืองและไม่ได้มีใครให้ความสนใจมากนัก

เทียนหลงเดินไปหามันและมาถึงที่ดวงตา

‘เจ้าดวงตาน่าขนลุกนี่…เราต้องอยู่ตรงกลางเพื่อเพิ่มโอกาสสำเร็จ…’

ข่าวลือบอกว่าวงกลมนี้เกี่ยวกับเรื่องผีเป็นหลัก แต่ต่อมาภาพของมันก็ถูกอัปโหลดไปทั่วอินเตอร์เน็ต ซึ่งความนิยมของมันก็ลดลงอย่างรวดเร็ว

แต่ถึงอย่างนั้นเทียนหลงก็สังเกตเห็นข่าวทันเวลาและถึงกับจดชื่อของวิหารโบราณไว้ในสมุดบันทึก

เดิมทีเขาคิดว่ามันเป็นแค่การกลั่นแกล้ง แต่เมื่อเห็นกลุ่มลึกลับที่เขาจับตามองอยู่มีพฤติกรรมที่เหมือนกับเสพสารความสุข เขาก็มั่นใจว่านี่คือสถานที่ที่เขาตามหามาตลอด 8 ปี

เทียนหลงหยิบหินออกมาจากกระเป๋าซึ่งเปล่งแสงสีเขียวจาง ๆ และมีสีม่วงที่ไม่เหมือนสีม่วงใด มันเป็นของที่เขาพบก่อนจะกลับมาที่จีน

“ศิลาข้ามโลก…”

เทียนหลงตาเป็นประกายภาพใต้แสงสะท้อน อย่างน้อยนี่ก็เป็นสิ่งที่คนอื่นเรียกตามข่าวลือที่ว่ามันสามารถเก็บวิญญาณได้

“ถ้ามีใครที่อยู่ใกล้ ๆ รู้ว่าเรามีศิลาข้ามโลก พวกนั้นจะโกรธไหมนะ?”

เทียนหลงหัวเราะเสียงดัง

วัดใกล้ ๆ ที่เสี่ยวยี่เอ่ยถึงนั้นถือหนึ่งในองค์กรที่เขาจับตาดู แต่เรื่องที่พวกเขาซื้อวิหารโบราณนี้น่าจะเป็นความลับที่แม้แต่เขาเองก็ไม่ได้ข่าวมาก่อน

จากนั้นเขาก็เดินไปยังหินที่เหมือนกับแท่นหิน

‘หึหึ ที่เปิดค่ายกลวางอยู่ทนโท่แบบนี้ ชอบจริง ๆ เลย’

ตัวเปิดนั้นมีรูปร่างครึ่งวงกลมและเปล่งแสงอยู่ตลอดเวลา

“หมายความว่าพวกมันเติมพลังให้ค่ายกลแล้วสินะ? เยี่ยมเลย!”

เทียนหลงอุทาน

วัดใกล้ ๆ จะต้องใช้ทรัพยากรเติมพลังให้ค่ายกลอย่างยากลำบาก ค่ายกลนี้ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองปีในการเติมพลัง ซึ่งเทียนหลงไม่รู้มาก่อน ถ้าเขารู้เขาจะไม่กล้าเข้ามาที่นี่ง่าย ๆ เพราะความไม่แน่นอนที่เข้ามาเป็นปัจจัยเสี่ยง

“แต่ทำไมพวกมันถึงเติมพลังให้ค่ายกลล่ะ? คงไม่ใช่การต้อนรับเราอย่างอบอุ่นหรอกนะ? ใช่ไหม?”

เทียนหลงสงสัยเรื่องนี้มากแต่ก็อดเล่นมุกตลกไม่ได้

เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและขมวดคิ้ว

“ฮื่ม คิดไปก็ไร้ค่า ถ้าค่ายกลทำงานเมื่อไหร่ ไม่ตายตรงนี้ก็ได้ไปต่างโลก!”

เทียนหลงกระทืบพื้นและหยุดความไม่เด็ดขาดของตัวเอง เขาหายใจเข้าลึกก่อนจะล้วงกระเป๋าในเสื้อและหยิบบันทึกมรณะออกมา เขาหายใจออก

‘ถึงเวลาแล้ว…’

เขาหยิบปากกาออกมาวางไว้บนบันทึกมรณะ มือขวาของเขาแข็งนิ่งส่วนนิ้วที่ถือปากกานั้นขยับอย่างรวดเร็ว

[

เทียนหลง

หลังจากใช้ค่ายกลและระหว่างการเดินทางข้ามมิติเวลา ดวงวิญญาณก็ได้หลุดออกจากร่างเข้าสู่ศิลาข้ามโลก หลังจากถึงที่อีกฟาก ดวงวิญญาณได้สิงร่างอ่อนแอที่อายุต่ำกว่ายี่สิบปีโดยการใช้ศิลาข้ามโลก และหลังจากห้านาทีก็เสียชีวิตจากการหัวใจวาย

]

*ฟู่ววววว!~*

เทียนหลงสูดหายใจเอาอากาศเย็นเข้าไปเมื่อหัวใจสั่นไหวอย่างกระวนกระวาย คลื่นความปั่นป่วนปะทะหัวใจเมื่อเลือดของเขาเดือดคลั่งเป็นการคุกคามหัวใจเขากับข้างในใจ

เขาใช้บันทึกมรณะกับตัวเอง เขาเขียนชื่อตัวเองลงไป!

‘บันทึกมรณะสามารถควบคุมและฆ่าคนได้ อีกทั้งยังควบคุมดวงวิญญาณได้ด้วย มันน่าจะควบคุมดวงวิญญาณของเขาให้เขาไปในศิลาข้ามโลกได้’

เขาปลอมตัวเองเมื่อคิดแบบนี้

‘ไม่เป็นไร มัดศิลาข้ามโลกไว้หลังหัว ดวงวิญญาณกับศิลาข้ามโลกจะได้ไม่ห่างกันมาก บันทึกมรณะน่าจะทำได้อย่างไม่มีปัญหา’

“ถ้าทฤษฎีถูกต้องน่ะนะ…”

เขามือสั่นเมื่อจนเกือบทำบันทึกมรณะตก เพราะเขาเพิ่งจะมอบจุดจบให้ตัวเองกับสิ่งที่อาจจะไม่เป็นไปตามสิ่งที่คิด

ทันทีที่เขาเขียนชื่อตัวเองบนบันทึกมรณะ เขารู้ว่าเขาจะต้องพบจุดจบอย่างแน่นอน เขามิอาจขยายอายุขัยด้วยบันทึกมรณะเพราะเขาเคยใช้มันกับคนที่กำลังจะตายมาก่อน

ดังนั้นเขาจึงเขียนชื่อตัวเองเพื่อฆ่าตัวตายในตอนนี้ เขาไม่รู้ว่าเขาเหลือเวลาก่อนตายอีกเท่าใด แต่ดูจากพละกำลังที่อ่อนลง เขาคิดว่าคงเหลือเวลาได้ไม่เกินสองปีเป็นอย่างมาก

เวลาห้านาทีนี้เขาเขียนไว้เพื่อทดสอบ…ทดสอบว่าบันทึกมรณะยังทำงานอยู่หรือไม่ ถ้าใช่ เขาจะตายภายในห้านาที

ถ้าเขาไม่ตายภายในห้นที เขาก็จะตายภายในสองปีด้วยอายุขัยที่กำลังจะหมดลง

เทียนหลงรู้สึกว่าอายุขัยที่สั้นลงนั้นทำงานกับดวงวิญญาณด้วย แต่เขาก็รู้สึกว่าอายุขัยที่สั้นลงนั้นไม่ได้ส่งผลจากร่างกายโดยตรงแต่มันคือผลของดวงวิญญาณ เพราะแม้แต่หมอชื่อดังก็พบว่าเขาเป็นปริศนาเพราะหมอคนนั้นมิอาจหาเหตุผลที่เขาแก่ตัวลงอย่างรวดเร็วได้แม้ว่าเทียนหลงจะอายุไม่ถึงสามสิบปี

ดังนั้นเทียนหลงจึงคิดว่าอายุขัยที่จำกัดของเขานั้นเป็นผลมาจากดวงวิญญาณ ซึ่งมันทำให้ร่างกายเขาแก่ตัวลงอย่างรวดเร็ว

และนี่จึงเป็นเหตุผลที่เขาเลือกทำสิ่งที่ต้องเตรียมใจตายเช่นนี้ เขารู้สึกว่าเขาควรจะรีบตายไปแทนที่จะเสียเวลาสองปีและไปเกิดในร่างใหม่ก่อนจะตายในอายุขัยที่สั้นลง

ให้ตายไปเฉย ๆ มันน่าสงสารเกินไป อาจจะถึงกับน่าสมเพชด้วยซ้ำ

แผนนี้มาอยู่ในใจเขาเมื่อเขาตะรหนักได้ว่าบันทึกมรณะสามารถควบคุมดวงวิญญาณและควบคุมผู้คนได้มากกว่าการฆ่าตรง ๆ และเขายังคิดแผนการนี้เพราะบันทึกมรณะที่สามารถสร้างเรื่องบังเอิญแปลก ๆ ได้ เขารู้สึกว่ามันจะทำให้ศิลาข้ามโลกค้นหาร่างกายที่เหมาะสมในการเข้าสิง

สั้น ๆ ก็คือ แผนทั้งหมดคือการมีชีวิตอยู่โดยพึ่งพาบันทึกมรณะว่าจะหยุดทำงานในทันทีที่เขาไปถึงโลกอีกฝั่ง! เขากำลังใช้ดวงทั้งหมดกับความจริงที่ไม่แน่นอน!

เทียนหลงขาสั่นอย่างมิอาจควบคุมได้

‘บ้าเอ้ย! หยุดปอดแหกซักที พอได้แล้ว ยังไงก็เหลือเวลาอีกแค่สองปีก่อนตาย! ไม่มีทางย้อนกลับแล้ว!’

เทียนหลงแสดงสีหน้ามุ่งมั่นออกมาและตบขาเดินไปเปิดค่ายกล

พื้นที่ใต้ดินสั่นสะเทือน เกิดการปั่นป่วนของมิติเวลา มีเส้นทางมิติเวลาในแนวดิ่ง เทียนหลงไปยังดวงตาของค่ายกลและทิ้งชะตากรรมไว้กับโชคชะตา

เขามองประดูเหล็กเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะรู้สึกเหมือนกับนักเดินทาง

‘ลาก่อนนะ โลก…’

*แอดดด!~*

เทียนหลงถูกดูดเข้าไปในอุโมงค์มิติเวลาทันที แต่ในทันทีที่เข้ามาเขาก็ได้เจอกับชะตากรรมที่เลวร้ายกว่าคนที่ถูกหินก้อนใหญ่ทับตาย เขาต้องเผชิญกับแรงกดดันมหาศาลในอุโมงค์มิติ ร่างกายของเขารู้สึกราวกับถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ ด้วยดาบหลายพันเล่มจนทำให้เขากรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

“อ๊ากกกกกกกกก!!”

‘อุโมงค์มิติไม่เสถียนงั้นเรอะ? มันจบแล้ว!’

เทียนหลงเห็นมือเขาสลายไปจากมิติปั่นป่วนยุ่งเหยิง

“ฮ่าฮ่า มันจบแล้ว…‘

เขาหัวเราะเบา ๆ มองดูไหล่ที่สลายไป ในตอนที่ไหลของเขาสลายไปดวงวิญญาณก็หลุดออกจากร่างและไหลเข้าสู่ศิลาข้ามโลก

เทียนหลงไม่รู้เลยว่าบันทึกมรณะได้สลายเป็นผุยผงไปแล้ว เงาทมิฬลอยออกมาจากมันและเข้าสู่ศิลาข้ามโลกเช่นกัน

เขามองร่างกายสลายเป็นความว่างเปล่า ซึ่งทำให้เขารู้สึกคลื่นไส้อยากจะอาเจียน แต่เขาทำไม่ได้เพราะเขาอยู่ในร่างวิญญาณ

ศิลาข้ามโลกลอยไปในอุโมงค์มิติเข้าสู่พายุมิติมากมายซึ่งทำให้เขารู้สึกเหมือนกับเดินทางในเรือเล็กที่รายล้อมด้วยพายุขนาดมหึมาโดยไม่มีทีท่าว่าจะเจอเกาะอยู่ในระยะไกล

เทียนหลงมิอาจล่วงรู้ได้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด เขานิ่งเงียบตลอดการเดินทางเพราะโศกเศร้ากับการสูญเสียร่างกายและบันทึกมรณะ

บันทึกมรณะที่เขาเคยลองทำลายมาก่อนแต่ไม่เคยแม้แต่ละมีรอยตำหนิได้สลายไป! เขาเคยฉีกมันมาก่อนในอดีต แต่ในการทำลายปกนั้นไม่เคยทำได้ ไม่เคยแม้สักครั้ง

การสลายไปของมันทำให้เขาเสียความหวังสุดท้ายในอนาคตไป

ทีแรกเขาแค่อยากให้บันทึกมรณะหยุดทำงานแต่ไม่เคยคิดว่ามันจะสลายไปในอุโมงค์มิติ

ถ้าร่างวิญญาณของเขามีดวงตา มันก็ต้องเป็นดวงตาที่อ้างว้างไม่ผิดแน่

แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังสังเกตอยู่ แต่เขามิอาจรับรู้ได้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใดจนกระทั่งสิ่งรอบตัวกลายเป็นความมืดมิด เขารู้สึกได้เพียงแต่ตัวเองที่ยังอยู่

หลังจากที่ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด ศิลาข้ามโลกก็ได้ลอยออกมาจากอุโมงค์มิติ สู่โลกใบใหม่

=====

ขณะเดียวกัน ที่โลก…

“ใครเป็นคนใช้ค่ายกลกัน?!!”

เจ้าอาวาสวัดข้าง ๆ โกรธจัดและเริ่มทำลายข้าวของใกล้ตัว

“ไปดูที่วิหารโบราณเดี๋ยวนี้!”

เจ้าอาวาสตะโกนเสียงดัง

หลายคนในชุดประหลาดรีบออกไปดูวิหารร้าง

เจ้าอาวาสใจเย็นลงในไม่นานและไม่พอใจ

“ฮื่ม ไม่รู้ว่าใครหน้าไหนใช้ค่ายกล แต่นั่นน่ะไม่ได้ผลหรอก เคยทดลองไปไม่รู้กี่ครั้งแล้ว และเราก็ไม่รู้ด้วยว่ามีใครไปถึงอีกฟากได้ บางครั้งร่างก็สลายไปตั้งแต่ก่อนเข้าสู่ค่ายกลที่ไม่เสถียรด้วย มันเปล่าประโยชน์!”

“หมายความว่ายังไงที่ว่าเปล่าประโยชน์?”

ทันใดนั้นก็มีเสียงดังมาจากชายหัวโล้นที่ปรากฏตัวจากที่ใดมิอาจทราบ

“เรายืนยันมาแล้วว่ามันเชื่อมต่อกับโลกใบอื่นจากการทดลอง ถ้าเรามีศิลาข้ามโลกที่กักเก็บดวงวิญญาณได้ เราก็อาจจะไปถึงอีกฟากฝั่งนั้นได้…”

ชายหัวล้านถอนหายใจเบา ๆ

“เฮอะ! มีศิลานั่นแล้วจะมีประโยชน์อะไร? ถ้าเคลื่อนย้ายวิญญาณลงไปในหินไม่ได้มันก็เปล่าประโยชน์อยู่ดีนั่นแหละ!”

‘หึ แกอาจจะไม่มีวิธีเคลื่อนย้ายวิญญาณ แต่ชั้นมี!’

ชายหัวล้านยิ้มเยาะ

“น่าเสียดายที่ศิลาข้ามโลกจะปรากฏในทุกพันปี และเราก็ใช้ทั้งหมดกับการทดลองไปแล้ว ดูจากเวลาที่มันปรากฏครั้งที่แล้ว มันน่าจะปรากฏออกมาในตอนนี้ รีบไปหาเร็ว!”

“รู้น่า…”

เจ้าอาวาสตอบด้วยสีหน้ารำคาญ

ทันใดนั้นก็มีชายคนหนึ่งวิ่งมาก่อนจะหยุดทิ้งระยะห่าง

“ท่านเจ้าอาวาส เราเจอเสี่ยวยี่นอกวิหาร แล้วเขาก็…”

ชายคนนั้นลังเล

“เขาอะไร?‘

เจ้าอาวาสร้อนใจ

“เขา…”

หน้าผากของเขาเกร็งจนเห็นเป็นเส้นริ้วรอย สีหน้าของเขาดูลังเล

“ก็รีบบอกมาสิวะ!”

“เขากำลังทำกับผู้หญิงใต้ต้นไม้ใกล้วิหารร้าง แต่เขาก็หนีไปเมื่อเจอเรา!”

เจ้าอาวาสตกตะลึงขณะที่ชายหัวล้านก็เริ่มหัวเราะลูบเครา

“ฆ่าพวกมันแล้วเอาไปให้หมากิน!!!!”

เสียงเจ้าอาวาสเยือกเย็น เสียงมันดังก้องในห้อง

แต่ชายที่มารายงานก็ตัวสั่นหัวจรดเท้า

“จะ…เจ้าอาวาส!”

“อะไร!?”

“ผู้หญิงคนนั้น…เป็นลูกมะ…ลูกเมียน้อยท่านนะ!”

*อั่ก!!~*

เจ้าอาวาสเบิกตากว้างก่อนจะกระอักเลือดและล้มลงไปขณะที่ชายหัวล้านหัวเราะราวกับคนบ้า

0 0 โหวต
Article Rating
1 Comment
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด