Chapter 65 : เข้าสู่ชั้นที่สอง – กระหายเลือด
โจวเฉินรู้สึกว่าปัญหานี้ค่อนข้างน่าเป็นห่วงไม่น้อย แรกเริ่มเดิมทีมีเซอร์ไวเวอร์ที่เป็นผู้หญิงเพียงแค่สามคนเท่านั้นแต่ตอนนี้เขากลับพบมาแล้วถึงห้าคน นี่หมายความว่าถ้าไม่ใช่เขานับผิดในตอนแรกก็ต้องมีอะไรบางอย่างผสมเข้ามา
จากนั้นเขาก็มองดูใบหน้าของศพและพบว่าเธอคือหนึ่งในไม่กี่คนที่เขาจำได้ ในช่วงเริ่มต้นของภารกิจเซอร์ไวเวอร์สตรีผู้นี้ดูเหมือนจะยืนอยู่ตรงกลาง
“ผู้หญิงผมยาวกับผู้หญิงตัวเล็กคนนั้นเราก็จำได้ชัดเจนแต่ผู้หญิงสองคนที่เจอที่ห้องแท่นหินดูเหมือนว่าจู่ๆก็ปรากฏตัวออกมา”
โจวเฉินคิดแล้วก็แปลกใจ เขาพยายามนึกและพบว่าดูเหมือนเขาจะไม่เคยพบกับสตรีทั้งสองคนนั้นในตอนเริ่มต้นภารกิจมาก่อน
ยิ่งเขาคิดมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งรู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลมากเท่านั้น เขามั่นใจว่าในช่วงเริ่มภารกิจเขาไม่ได้นับผิดไปแน่นอนแต่ในตอนที่กำลังสู้กับนักรบศิลานั้นเขาไม่ทันฉุกคิดและไม่ได้ให้ความสนใจกับสตรีทั้งสองเท่าที่ควร
“จำนวนของเซอร์ไวเวอร์ที่เป็นผู้ชายเองก็ดูเหมือนจะไม่ถูกต้อง หลังจากนี้คงต้องเก็บมาคิดแล้วสิ”
โจวเฉินหยุดคิดและใช้หอกขุดหญ้ารอบๆศพออก ไม่นานนักเขาก็พบมีดอันหนึ่งจึงหยิบมันขึ้นมาและเก็บเอาไว้ในช่องเก็บของ
หลังจากออกจากห้องที่เต็มไปด้วยต้นหญ้าโจวเฉินก็ออกสำรวจหาห้องที่มีรูกุญแจสอดคล้องกับลูกกุญแจที่เขาถือครองอยู่ไปพร้อมๆกับตามหาสตรีทั้งสองคนนั้นไปด้วย
ยังไงก็ตามหลังจากใช้เวลามาซักพักแล้วเขากลับพบเพียงหีบสมบัติที่ถูกคนอื่นกวาดไปแล้วเพียงเท่านั้น เท่ากับว่าเขาไม่ได้อะไรเพิ่มเติมหรือไม่พบเจอเป้าหมายที่ตั้งใจแต่อย่างใด
“หรือว่ากุญแจที่มีมันจะไปใช้ได้ในห้องของชั้นถัดไปกันนะ?”
หลังจากสำรวจอีกซักพักและนั่งยันนอนยันได้แล้วว่าไม่เหลืออะไรในชั้นนี้ให้เก็บกู้แล้วจริงๆ โจวเฉินจึงออกเดินไปยังประตูชั้นใต้ดินที่นำทางไปสู่ชั้นถัดไป
หลังจากเข้าสู่ห้องโถงที่ยังคงมีร่างของอสูรหมีนอนตายอยู่เขาก็พบว่ามีคนมารวมตัวกันอยู่ที่นี่แล้วถึง4คน ทั้งชายร่างบาง ชายร่างกำยำ สตรีผมยาวและชายวัยกลางคนรรูปร่างจ้ำม่ำ
“ในที่สุดก็มาแล้วเรอะ? คิดว่าตายไปแล้วซะอีก!”
ชายร่างกำยำที่ถือโร่เอาไว้ในมือข้างหนึ่งและถือกระบองเอาไว้อีกข้างกล่าวเยาะออกมาเมื่อเห็นโจวเฉิน
โจวเฉินเมินคำพูดเหน็บแนมของอีกฝ่ายและเปิดประตูด้วยกุญแจในมือ
“พวกคุณทั้งหมดเคยเห็นผู้หญิงที่ใช้ดาบกับกระบี่กันบ้างไหม? พวกนั้นมีผมสั้นและมีส่วนสูงกลางๆ”
“จำไม่เห็นได้เลยนะว่ามีเซอร์ไวเวอร์แบบนั้นในบรรดาพวกเราด้วย”
ชายร่างบางตอบกลับทันควันจากนั้นเขาก็ปรายตามองไปยังผู้หญิงผมยาวที่ยืนอยู่ข้างๆ
“นอกจากผู้หญิงคนนี้และหญิงสาวตัวเล็กๆอีกคนก็มีเซอร์ไวเวอร์ที่เป็นผู้หญิงอยู่อีกแค่คนเดียวเท่านั้นแต่ผู้หญิงคนนั้นก็ดูเหมือนว่าจะมีลักษณะไม่ตรงกับที่นายพูดมานะ”
“นั่นสินะ”
โจวเฉินพยักหน้ารับ เขารู้ดีว่าสตรีคนที่สามที่ชายร่างบางกล่าวถึงก็คือคนที่เขาเจอที่ห้องที่เต็มไปด้วยต้นหญ้านั่นเอง
เขาเสียบลูกกุญแจเข้าไปในรูกุญแจจากนั้นก็บิดมันครั้งนึงและผลักมันอีกครั้ง ประตูสู่ชั้นสองก็เปิดออกอย่างเป็นทางการ
ด้านหลังประตูนี้คือทางเดินที่ยื่นยาวออกไปสองด้าน แสงบริเวณทางเดินเองก็มืดสลัวกว่าชั้นหนึ่งอย่างชัดเจนเพราะว่าภายในทางเดินนั้นมีตะเกียงน้ำมันอยู่เพียงไม่กี่จุดเท่านั้น
คนทั้งห้าเดินเข้าไปในทางเดินและแยกออกเป็นสองกลุ่มอย่างรวดเร็ว ชายร่างกำยำและชายวัยกลางคนร่างอ้วนไปทางหนึ่ง ขณะที่ชายร่างบาง หญิงสาวผมยาวและโจวเฉินเลือกไปอีกด้าน
“ไม่นานมานี้ฉันได้เจอกับผู้หญิงแปลกๆมาสองคน ตอนนี้พอคิดดูแล้วที่มาที่ไปของคนพวกนั้นค่อนข้างน่าสงสัย พวกคุณควรระวังคนแปลกหน้ากันให้ดี”
โจวเฉินกล่าวกับชายร่างบางที่เดินอยู่ข้างๆ
“ไม่ต้องห่วงฉันจำลักษณะของเซอร์ไวเวอร์ทั้งเก้าคนได้หมดนั่นแหละ ตราบใดที่เจอฉันก็จำได้ทันที”
ชายร่างบางตอบกลับอย่างมั่นใจ
“โห? ถ้างั้นบอกหน่อยได้ไหมว่าแต่ละคนมีลักษณะยังไงบ้าง?”
โจวเฉินบังเกิดความสนใจขึ้นมา การสังเกตุส่วนช่วงเริ่มภารกิจของเขาค่อนข้างจะทำไปแบบลวกๆเท่านั้นโดยเฉพาะเมื่อแต่ละคนยื่นค่อนข้างห่างจากเขาด้วย บางคนนั้นเขาจึงเห็นเพียงแค่แผ่นหลังหรือด้านข้างเท่านั้นและไม่ได้ให้ความสนใจเท่าไหร่นัก
ชายร่างบางตอบกลับทันที เขาไล่อธิบายลักษณะของแต่ละคนให้โจวเฉินฟังไม่นานนักเขาก็ได้รู้แล้วว่าผู้ชายที่เป็นส่วนเกินมานั้นคือใคร
“เป็นหมอนั่นจริงๆด้วยแต่รู้สึกว่านิสัยค่อนข้างปกติมากเลยนะ”
โจวเฉินสับสนเล็กน้อย
คนทั้งสามเดินอยู่บนเส้นทางทอดยาวซักพักจนพบเข้ากับทางแยกที่แยกออกเป็นสองฝั่ง ยังไงก็ตามพวกเขาไม่ได้เลือกที่จะแยกกันไปเพราะพอโจวเฉินตัดสินใจเลือกเส้นทางชายร่างบางและหญิงสาวผมยาวก็ตามเขาไปทันที
โจวเฉินไม่ได้แปลกใจเท่าไหร่นัก เขาเดาว่าคนทั้งสองคงเห็นตอนที่เขาแสดงพลังออกมาจึงอยากจะพึ่งพิงเขา
พวกเขาเดินต่อมาอีกซักพักและทันใดนั้นเองโจวเฉินก็กระตุกฝีเท้าและค่อยๆเดินช้าลงก่อนที่จะถึงมุม
“มีมอนสเตอร์รอลอบโจมตีพวกเราอยู่ข้างหน้า ระวังตัวให้ดี”
เขาเตือนคนทั้งคู่ที่เดินตามมาจากด้านหลัง
ค่าสถานะจิตวิญญาณของเขาซึ่งสูงถึง2.1แต้มทำให้ประสาทสัมผัมและการรับรู้ของเขาเฉียบคมมาก แม้ว่าจะมีกำแพงกั้นอยู่แต่เขาก็ยังสัมผัสได้อยู่ดีว่ามีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ตรงนั้น
พริบตาต่อมาเขาก็พลันเร่งฝีเท้าพุ่งเข้าใส่มุมกำแพง หอกของเขาเจาะทะลุบางสิ่งบางอย่างและปลายหอกเองก็สัมผัสได้ถึงแรงต้าน อสูรรูปร่างคล้ายมนุษย์แต่ไร้ผิวหนังถูกหอกเจาะทะลุเข้าที่ส่วนหัวอย่างพอดิบพอดี
ชายร่างบางและหญิงสาวผมยาวรีบตามเข้ามาสนับสนุน ชายร่างบางคว้ากระบี่ขึ้นมาขณะที่หญิงสาวผมยาวเองก็ยังคงใช้ค้อนสงครามเช่นเดิม
[พรสวรรค์ช่วงชิงสกิลติดตัวทำงาน : ท่านได้ทำการช่วงชิงสกิลของ ‘ซากศพโลหิต’ – ‘พิษโลหิต(ระดับ1)’ และ ‘กระหายเลือด(ระดับ1)’ ต้องการทำการดูดซับหรือไม่?]
หลังจากโจวเฉินสังหารอสูรเลือดรูปร่างมนุษย์ตัวแรกลงได้เสียงแจ้งเตือนจากระบบก็ดังขึ้นมา
“พิษโลหิต? พิษอีกแล้ว! แต่กระหายเลือดนี่คืออะไร?”
เขาคิดกับตัวเองเงียบๆก่อนที่จะหันไปเตือนคนทั้งสอง
“ระวังให้ดีอย่าได้ไปแตะตัวพวกมันเชียว พวกมันน่าจะมีพิษ”
จากนั้นโจวเฉินก็เริ่มเข่นฆ่ามอนสเตอร์เลือดเหลานี้ด้วยความเร็วสูง เขาใช้หอกในมือแทงเข้าใส่จุดตายของพวกมันได้อย่างแม่นยำราวกับอสรพิษฉกเหยื่อ
หลังจากที่คนทั้งสามสังหารอสูรโลหิตรูปร่างมนุษย์ลงจนหมดโจวเฉินจึงเปิดคำอธิบายสกิลของพิษโลหิตและกระหายเลือดขึ้นมาอ่าน
[พิษโลหิต(ระดับ1)]
[ประเภท : สกิลติดตัวระดับทองแดงขั้นต่ำ]
[คำอธิบาย : เลือดของท่านเต็มไปด้วยพิษร้ายและสามารถสร้างความเสียหายต่อเนื่องอย่างรุนแรงให้กับเป้าหมายระดับทองแดงได้]
[กระหายเลือด(ระดับ1)]
[ประเภท : สกิลติดตัวระดับทองแดงขั้นต่ำ]
[คำอธิบาย : ท่านสามารถสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของเลือดภายในระยะร้อยเมตร]
‘แฝงพิษเอาไว้ในมือเพื่อใช้ในการโจมตีนี่มันไม่ค่อยสะดวกเท่าพิษซากศพที่เรามีอยู่ซักเท่าไหร่นะ ส่วนสกิลกระหายเลือดนี่ดูแล้วค่อนข้างดีเอาเป็นว่าดูดซับไว้ทั้งสองอย่างนั่นแหละ’
โจวเฉินเลือกดูดซับสกิลตามปกติแม้ว่าจะไม่ค่อยจำเป็นก็ตาม แต่ยังไงซะก็ไม่ได้เสียอะไรอยู่แล้ว ยังไงก็ตามพอเขาดูดซับเสร็จสิ้นเขาก็เลือกที่จะปิดการทำงานของสกิลพิษโลหิตลงทันที เขาจะเปิดใช้งานมันก็ต่อเมื่อต้องการจะใช้เท่านั้น
หลังจากจัดการกับสกิลติดตัวทั้งสองจนแล้วเสร็จและปิดการทำงานของสกิลพิษโลหิตไปแล้วโจวเฉินก็เริ่มทดสอบการทำงานของสกิลกระหายเลือด
ตอนนี้เขาสามารถสัมผัสได้ถึงเลือดทั้งหมดสิบเอ็ดจุด สามในนั้นคือเขาและเซอร์ไวเวอร์อีกสองคน อีกแปดเองก็อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก ห้าในนั้นเป็นอสูรโลหิตร่างมนุษย์และอีกสามเป็นมอนสเตอร์ชนิดใหม่
‘สกิลกระหายเลือดนี่โคตรมีประโยชน์เลย ไม่เพียงแค่สามารถสัมผัสได้ถึงแหล่งที่มาของเหลือเท่านั้นแต่ยังจำแนกประเภทได้ด้วย...ยังไงก็เถอะจะลืมไม่ได้ว่ามีมอนสเตอร์อยู่หลายชนิดเหมือนกันที่ไม่มีเลือดไหลเวียนในร่างดังนั้นจะประมาทไม่ได้’