ตอนที่ 452 เมื่อถังอี้ออกมา
เบื้องหลังประตูบรอนซ์
ถังอี้กำลังสั่นไปทั้งตัว สีหน้าของเขาบิดเบี้ยวเหยเก หมอกดำซึมเข้าไปในร่างของเขา แม้ว่าหอวิญญาณสามารถดึงจิตวิญญาณยุทธออกมาจากการ์ดวิญญาณได้ แต่ก็ไม่สามารถช่วยให้เขาดูดซับพลังนั้นได้ ทุกการดูดซับจิตวิญญาณยุทธเป็นเหมือนการต่อสู้ที่โหดร้ายและสิ้นหวัง
ศัตรูของเขาครั้งหนึ่งเคยมีลักษณะที่โดดเด่นเป็นอัจฉริยะรุ่งเรืองในยุคของเขา และเป็นคนผู้หนึ่งได้สร้างชื่อในเวลานั้น
และตัวเขาไม่สำคัญอะไรเหมือนกับต้นหญ้า
ต้องถูกกำหนดมาแล้วว่าเป็นการต่อสู้ที่ไม่เป็นธรรมแม้ว่าจะเป็นแค่แก่นของจิตวิญญาณยุทธแต่ก็ยังแข็งแกร่งมากกว่าเขาถึงสองสามเท่า ระดับจิตวิญญาณยุทธของเขาอ่อนแอมาก ฐานแรกเริ่มของเขาอ่อนแอเกินไป และสำหรับเขา การต่อสู้ที่ไม่ยุติธรรมก็เหมือนกับเขาหลงตัวเองและขุดหลุมฝังตนเอง
เขารู้ว่าใต้เท้าปิงคัดค้านและรู้ว่าใต้เท้าปิงกังวลห่วงใย
แต่....เขาไม่ต้องการยอมแพ้...
ข้าจะทนดูได้อย่างไรขณะที่พวกท่านทิ้งข้าไว้เบื้องหลัง? ข้าจะทนดูได้อย่างไรขณะที่ข้ากลับช่วยเหลือได้น้อยลงทุกที? ข้าจะทนดูศัตรูแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างไรและดาบของข้ากลับทื่อขึ้นทุกที
ชีวิตนี้ได้มาอย่างยากลำบากมากข้าจะไม่เห็นค่ามันได้อย่างไร!
ข้าได้รับมอบสุดยอดวิชาโดดเด่นมาแล้วข้าได้รับมอบความหยิ่งภูมิใจ ดาบฟันขาม้าของข้าลับไว้คมแล้ว และข้าจะท้อถอยได้ยังไง?ข้าจะหลบอยู่ได้อย่างไร? ทำไมข้าต้องกลัวการต่อสู้ครั้งนี้ด้วย?
หึ
และยังคงมีกองทัพหมาป่า
ข้าบอกพวกเขาไว้ก่อนแล้วว่าข้าจะพาเขาลุยไปข้างหน้า ข้าบอกพวกเขาว่าข้าจะพาพวกเขาไปพบกับความสำเร็จข้าได้บอกไว้ว่าข้าจะปกป้องแนวหน้าพวกเขาไว้
วิญญาณน้อยๆดวงนี้ต้องการสู้เคียงข้างพวกเจ้าทุกคน!
เสียงคำรามเบาดังออกมาจากเบื้องหลังประตูบรอนซ์
******
ค่ายบรอนซ์เมืองสามวิญญาณ
ฮัวเฉินหวินกำลังเขียนรายงาน
“....ข้าต้องยอมรับว่าวิชาด้านจักรกลของที่นี่ก้าวล้ำเราไปมาก แม้ว่าข้าจะไม่ได้พบกับอาจารย์เซรีนแต่มาตรฐานที่แสดงออกมาโดยอาวุธจักรกลวิญญาณที่สนามฝึกฝนอยู่ในระดับน่าทึ่ง แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องระมัดระวังอย่างแท้จริงก็คือพวกเขาอบรมนักสู้สายจักรกลที่มีขนาดใหญ่ วิชาจักรกลค่อยๆกลายเป็นสัญลักษณ์ของเมืองสามวิญญาณ ที่ซึ่งนักสู้สายจักรกลทุกคนของกลุ่มดาวต่างๆในสวรรค์วิถีกำลังหลั่งไหลเข้ามา การร่วมฝึกฝนอบรมจำเป็นต้องจ่ายค่าธรรมเนียม แต่แน่นอนว่าทุนการศึกษาของผู้มีใจกว้างจะรับประกันอัจฉริยะว่าจะได้รับการฝึกฝนจนสำเร็จกลุ่มนักสู้จักรกลต่างๆ การจัดระบบและดูเหมือนพวกเขาเตรียมการเหมือนกับเป็นกองทัพการฝึกอบรมนักเรียนมีรูปแบบของกองทัพที่แข็งแกร่งและนี่ทำให้ข้าคิดถึงยุครุ่งเรืองของกองทัพกางเขนใต้”
เขาหยุดชั่วขณะจากนั้นเขียนต่อ
“ความสำเร็จของพวกเขามีการจัดการในระดับที่น่าชื่นชมมาก เมื่ออยู่ในสนามฝึกฝน ข้าพบกับนักสู้สายจักรกลผู้โดดเด่นเขายังอายุน้อยมาก ประมาณสิบสี่ปี และเป็นหนึ่งในผู้ได้รับทุนการศึกษาของฐาน เขาคาดหวังอย่างเต็มที่จะได้เข้าร่วมกับกองทัพจักรกลไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น สำหรับสหายของเขาก็เหมือนกันพวกเขาปรารถนาจะได้เข้าร่วมกับกองทัพจักรกล มีเหตุผลสำคัญอย่างหนึ่ง เพราะเมื่อพวกเขาเข้าร่วมกองทัพจักรกลพวกเขาจะได้รับโอกาสให้ขับขี่อาวุธจักรกลวิญญาณรุ่นใหม่ล่าสุด และนั่นสำหรับนักสู้สายจักรกลเป็นเรื่องที่น่าลุ่มหลงมาก ผู้สร้างฐานบรอนซ์มีแผนการสร้างไว้สำเร็จแล้วเนื่องจากพวกเขาสร้างป้อมปราการทหารที่สมบูรณ์..”
หลังจากเสร็จสิ้นเขียนรายงาน เขารู้ว่านั่นจะเป็นระเบิดลูกใหญ่อย่างมิต้องสงสัย แต่ทุกอย่างที่เขาได้เห็นและได้ยินทำให้เขาเกิดแรงกระตุ้นจะบันทึกทุกอย่างออกมา
นอกจากที่ลับของฐานพื้นที่ส่วนใหญ่เขามีอิสระที่จะเดิน ฮัวเฉินหวินไม่ใช่คนโง่ เขารู้ว่าอีกฝ่ายกำลังแสดงพลังอวดเขา แต่เห็นได้ชัดว่านั่นเป็นการพูดอย่างมั่นใจ
สำหรับตระกูลอีวานฮัวเฉินหวินทำปากเหยียดหยาม
เขาใช้ความพยายามในเรื่องเกี่ยวกับเซรีนและได้พยายามสอบถามเรื่องทั้งหมดและยิ่งเกลียดตระกูลอีวานมากขึ้นอดีตของเซรีนไม่ใช่ความลับ เพียงแต่ทางครอบครัวปฏิเสธไม่ยอมรับเมื่อมารดาของนางอยู่ด้วยและหลังจากมารดาตายเพราะความเจ็บป่วย หลังจากได้ภรรยาใหม่ที่มีชื่อเสียงในปีที่สอง พวกเขาก็ขับเซรีนออกจากตระกูล
ใครจะรู้ว่าเซรีนจะกลายเป็นปรมาจารย์วิศวกรจักรกลใหญ่ผู้มีชื่อเสียงดังนั้นอีวานจึงมาพบนาง เป็นเวลาหลายปีแล้ววิศวจักรกลส่วนใหญ่จะมีพรสวรรค์น้อย นอกจากนี้นางยังสร้างอาวุธจักรวิญญาณได้และเป็นคนที่จะนำวงการจักรกลโบราณกลับมาฟื้นฟูอีกครา?
ในปัจจุบันนี้วงการวิชาจักรกลศักดิ์ศรีของเซรีนเทียบเท่ากับปรมาจารย์ยุคโบราณแล้ว
และตระกูลอีวานต้องการจะชุบมือเปิบอย่างนั้นหรือ? ถ้าเป็นเขา ก็คงจับแขวนเหมือนกัน...
ฮัวเฉินหวินเต็มไปด้วยความรังเกียจครอบครัวและตระกูลอย่างตระกูลอีวานเขารู้สึกว่าความตายของมารดาเซรีนน่าสงสัย เขาตัดสินใจละเลยเรื่องตระกูลอีวาน ในขณะที่เขารู้การทำงานในฐานบรอนซ์จะส่งผลต่อการเติบโตในอนาคตโดยตรง แม้ว่าตระกูลอีวานจะมีอำนาจแต่ปัญหาแบบนั้นพันธมิตรคงไม่ถูกทอดทิ้งแน่
นอกจากนี้ยังมีการเชื่อมโยงที่คลุมเครือไม่ชัดเจนระหว่างเมืองสามวิญญาณและถังเทียนจากกลุ่มดาวหมีใหญ่ สงครามในกลุ่มดาวหมีใหญ่มีอาวุธจักรโผล่ออกมาซึ่งดูเหมือนตอนแรกจะมาจากเมืองสามวิญญาณเพราะมีแต่เมืองสามวิญญาณที่สามารถมีกำลังผลิตอาวุธจักรกลวิญญาณได้มากมาย
แม้ว่าตระกูลอีวานจะน่ากลัว แต่ถังเทียนก็ไม่ใช่คนธรรมดาเช่นกัน
ถังเทียนผู้โผล่ออกมาอย่างไม่มีหัวนอนปลายเท้าปัจจุบันนี้เป็นพญาหมีผู้ทรงอิทธิพลอำนาจไปแล้ว ถังเทียนในปัจจุบันเป็นหัวข้อหลักที่กลุ่มดาวต่างๆในสวรรค์วิธียังคงศึกษาอย่างหนัก ไม่ว่าจะค้นคว้าจากมุมไหน มันจะนำเขาไปสู่ความรุนแรงอย่างแน่นอน
ในฐานะเจ้าปกครองกลุ่มดาวเขากล้าใช้วังวนกระบี่ทอนวิญญาณจริงๆคนๆ หนึ่งกล้าบำเพ็ญทุกข์กรกิริยากับตนเองจะชั่วร้ายง่ายๆ ได้ยังไง?กลุ่มดาวสองสามแห่งจากตำหนักระนาบกลางเริ่มกระสับกระส่ายกลัววิชาวังวนกระบี่ทอนวิญญาณ จึงไม่กล้าที่จะประมาท
ยังมีกระทั่งข่าวลือว่าเขาสังหารนักสู้ระดับเซียนคนหนึ่งแต่ไม่มีใครรู้ว่าจริงหรือเท็จ
แต่กลุ่มดาวหมีใหญ่ในปัจจุบันมีการผสานร่วมมือกับในสี่กลุ่มดาวเขาจึงเป็นผู้ทรงอิทธิพลอำนาจซึ่งมีศักยภาพ
เขาอดทนรอพวกเขาให้พูดคุยปรึกษาจนเสร็จสิ้น
มีร่างสองร่างปรากฏตัวที่เมืองสามวิญญาณ
“อวดดีเกินไปแล้ว!”คนที่พูดเป็นสตรีอายุราวๆ สามสิบปี นางดูเจนโลกและมีความสามารถ สายตาของนางเย็นชามาก“ตระกูลอีวานของเราต้องทนอัปยศอย่างนั้นตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
“ใครจะรู้ว่าพวกหัวโบราณกำลังคิดอะไร? เฮ้อ..ก็แค่ช่างจักรกลใหญ่คนเดียว ทำไมต้องประชุมกองกำลังใหญ่ขนาดนั้น?” บุรุษพูดอย่างไม่จริงจัง ผมของเขาสีเงินดาบใหญ่บนหลังของเขาดูสะดุดตา
ทั้งสองคนเป็นนักสู้จากตระกูลอีวานสตรีชื่อเชอลีย์ ส่วนบุรุษชื่อแอกเกอร์และอยู่ใกล้เมืองสามวิญญาณมากที่สุด ดังนั้นพวกเขาจึงถูกส่งมา
“เบื้องบนต้องการให้เราเจรจา เดี๋ยวก่อนเราจะเจรจาแบบนี้ได้ยังไง? แอกเกอร์โบกมือ”พวกเขามัดคนของเราไว้จริงๆ และก็เป็นท่านเกรย์ หึหึ หน้าท่านเกรย์ซีดเลยตอนนี้เขาจะระบายความโกรธกับเราไหม?”
เชอลีย์แค่นเสียง“เจรจา? เอาง่ายๆ เราจะทำลายฐานให้ราบและชิงตัวนังตัวแสบกลับมา ท่านเกรย์ก็จะหายโกรธเอง”
“เฮ้,พวกเขามีนักสู้ระดับทองชื่อว่าชี่กวงและอีกคนหนึ่งชื่อตวนมู่แข็งแกร่งมากเช่นกัน”แอ็กเกอร์ทำท่าและพูด
“กลุ่มดาวคนแบบงูแตกคอกับนักสู้ระดับทองแล้วพวกเขาจะทำอะไรได้?” เชอลีย์พูดอย่างเหยียดหยาม
แอกเกอร์พึมพำ“นั่นสินะ แค่เพราะเรื่องนี้ เราต้องมาซะไกลโข เจ้าคนเดียวก็คลี่คลายปัญหานี้ได้ทำให้ข้าเสียเวลาไล่จีบสาวเปล่าๆ..”
“หยุดพูดเหลวไหลได้แล้ว” เชอลีย์พูดอย่างเย็นชาก่อนที่จะหยุด
ทั้งสองคนมองดูประตูใหญ่ของฐานทัพบรอนซ์
********
หอวิญญาณค่ายหมายเลขเจ็ด
ปิงกำลังรออยู่ข้างนอกประตูรู้สึกถึงบางอย่างได้ทันทีและเขาลืมตาทันทีสีหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวัง
ประตูบรอนซ์เปิดออกและร่างของผู้กล้าออกมาปรากฏตัวอยู่หน้าพวกเขา
“พันตรีถังอี้ขอรายงานตัวรับภารกิจขอรับ!”
เสียงแหลมต่ำของเขามีพลังเป็นปกติ เหมือนกับว่ามีพลังแปลกๆ ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรง
พึ่บพั่บ
เสียงของเกราะกระทบกันให้ความรู้สึกที่จริงจัง ร่างกายทั้งหมดของเขามีเกราะคลุมทั้งหมด ถังอี้ควงดาบฟันขาม้าในมือเดินออกมาเหมือนขุนพลผู้เหี้ยมหาญผู้ผ่านการรบมาร้อยศึก ชุดเกราะที่สวมเป็นขนนกทั้งตัว ความมันวาวได้ซ่อนรอยแผลจากการรบของเขาไว้
ปิงตื่นเต้นมาก
ที่สำคัญคือมีรังสีฆ่าฟันอำมหิตอยู่รอบตัวถังอี้ กลิ่นอายฆ่าฟันนี้แผ่ออกมาในรูปของหมอกดำ ม่านตาของเขาเต็มไปด้วยพลังและภายในหมอกดำมีพลังที่ลึกล้ำ เขาไม่มีกลิ่นอายของขุนพลวิญญาณสักนิดและไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าเขาเป็นขุนพลวิญญาณจริงๆ
ดาบฟันขาม้าของถังอี้ดูราบเรียบมากขึ้น สันดาบสีดำแข็งหนาและมีแต่คมดาบที่เรืองแสงสีขาวเหมือนหิมะ
การ์ดสุดยอดวิชาโดดเด่นสองใบ ถังอี้ดูดซับการ์ดขุนพลวิญญาณถึงสองใบทำให้อารมณ์ของปิงตกวูบ เขารู้ว่ามันไม่ใช่ง่ายๆสำหรับเขานั้นสมรรถนะของถังอี้ต่ำที่สุด ทุกย่างก้าวเขาต้องทำอย่างยากลำบากมาก การปะทะกันระหว่างวิญญาณไม่ได้อยู่ในวิถีทาง ใช้พลังใจและศรัทธาล้วนๆซึ่งส่งผลให้ ถ้าอ่อนแอลงเล็กน้อยก็จะทำให้พังทลาย
แต่การดูดซับการ์ดสุดยอดวิชาโดดเด่นต่อเนื่องกันสองใบเหลือเชื่อมากเกินไปแม้จะจบกระบวนการแล้ว ปิงก็ยังไม่อยากเชื่อ
เขามองดูถังอี้ ใจของเขาไม่อาจจะสงบลงได้
ไม่ว่าในอดีตเจ้าจะมีพลังเล็กน้อยขนาดไหนก็ตามแต่เจ้าผ่านมาได้เต็มไปด้วยเลือดและบาดแผลจนถึงจุดนี้ได้ จากวันนี้เป็นต้นไปเจ้าไม่ใช่ขุนพลธรรมดาอีกแล้ว
ปิงตบไหล่ของถังอี้และกล่าว“ดีมาก, ผู้พัน!”
“เอาละผู้พัน, ช่วยปกป้องฐานทัพไว้ด้วย ใครก็ตามที่กล้ารุกรานเข้ามา ฆ่าพวกมัน!”
“ขอรับ ใต้เท้า!”
เสียงแหลมต่ำตอบรับของเขาเต็มไปด้วยรังสีฆ่าฟัน ถังอี้สวมชุดเกราะทั้งตัวถือดาบฟันขาม้าที่มีคมดาบเรืองรองหมุนตัวเดินออกไป
ควั่บควั่บ
เกราะขนนกผ่านไปตามทางเดินผ่านเข้าห้องจิตวิญญาณยุทธและกลับเข้ามาที่ฐาน ทุกคนที่อยู่เหนือพื้นที่ประหลาดใจและตกใจกันทุกคน เนื่องจากพวกเขาสังเกตว่าดาบฟันขาม้าเต็มไปด้วยรังสีฆ่าฟัน
ถังอี้เชิดหน้าเดินถือดาบออกมาอย่างสง่าผ่าเผย เขาเดินขึ้นบันไดและขึ้นไปจนถึงระดับพื้นดิน
ภายใต้แสงสว่างไสวเกราะขนนกยังคงกระทบกันเกิดเสียงวืดๆ ผ่านไปตาพื้นที่ฝึกฝนระดับต่างๆ นักสู้จักรกลที่กำลังฝึกหยุดมองดูเขาทุกคน
“นั่นท่านถังอี้หรือเปล่า?” ใครบางคนถามสายตาของเขามองดูดาบฟันขาม้าของถังอี้
ถังอี้หยุดหยุดอยู่กับที่“ใช่แล้ว”
นักสู้จักรกลรอบๆค่อยมีสีหน้าผ่อนคลายและนักสู้ที่สงสัยถามขึ้น “ท่านถังอี้, ท่าน...”
“รับคำสั่งปกป้องฐาน”
ถังอี้ไม่หยุดเดินไปจนกระทั่งถึงหน้าประตูใหญ่
ประตูบรอนซ์สูงตระหง่านถึงหกสิบเมตรตั้งตระหง่าน ขุนพลวิญญาณในชุดเกราะผู้เหี้ยมหาญถือดาบในมือยืนคุ้มกันประตูตามลำพัง
อาวุธจักรกลวิญญาณทุกชุดที่กำลังฝึกอยู่ในสนามฝึกหยุดหมดทุกคน ไม่มีแสงที่ประตูเมือง แต่ร่างนั้นสูงใหญ่เป็นปกติดึงดูดสายตาของทุกคน
มีอยู่ประโยคหนึ่งผุดขึ้นมาในใจของทุกคนนเวลาเดียวกัน
หนึ่งคนสามารถต้านศัตรูหนึ่งหมื่น!
“หืมม?”
เบื้องหลังหมอกดำจางๆตาของถังอี้ที่ปิดอยู่พลันลืมตาขึ้น เขาตวาดลั่นทำให้ทั่วทั้งพื้นที่ได้ยินเสียงของเขา“เปิดประตู”
นายช่างจักรกลที่ควบคุมประตูดูเหมือนเพิ่งตื่นจากภวังค์และเปิดประตูอย่างงกๆเงิ่นๆ
แกรกๆๆๆๆ
ประตูบรอนซ์หนาหนักถูกเปิดช้าๆ