ตอนที่ 447-1 (ผู้แต่งบอกว่าขี้เกียจตั้งชื่อตอน)
เหลียงฟงกำลังสอน มีคนหลายคนนั่งอยู่ข้างหน้าเขาและถังเทียนกับพวกที่เหลือนั่งอยู่แถวหน้าสุด ทุกคนตั้งใจฟังเต็มที่ เหลียงฟงเป็นนักสู้ระดับเซียนอย่างแท้จริง เป็นคนที่พวกเขาแทบยากจะพบเห็นได้ในชีวิตประจำวัน ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้ากลุ่มดาวต้องการนั่งฟังด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้ากลุ่มดาวใจกว้างพวกเขาจะมีโอกาสได้นั่งฟังเซียนนักสู้สอนได้อย่างไร?
ทุกคนตั้งใจซึมซับความรู้อย่างเต็มที่และนี่คือช่วงเวลาที่ล้ำค่า
เหลียงฟงจริงจังในการพูดเป็นอย่างมาก เขากวาดตามองถังเทียนและพวกที่เหลือ เขามีความตั้งใจถึงร้อยยี่สิบเปอร์เซ็นต์ ถ้าเขาต้องการกินร่วมกับถังเทียนและกลุ่มพวก มีโอกาสดีๆ อย่างนี้แล้ว ถ้าเขาไม่คว้าเอาไว้ เขาก็คงโง่เกินไป
เขาเป็นคนฉลาดตัดสินใจในสถานการณ์และรู้จักตัวเองดี แม้ว่าเขาจะเป็นนักสู้ระดับเซียน แต่จริงๆแล้วการสอนถังเทียนและพวกสองสามคน ทำให้ใจเขาว่างเปล่าเล็กน้อย จากวิธีที่เขาเห็น ดูตามสถานการณ์แล้ว เขาไม่มีคุณสมบัติพอสอนคนพวกนี้เลย
ตัวอย่างเช่นสตรีจากกลุ่มดาวคนธนูคงจะต่อว่าเขาแน่นอน สตรีโรคจิตและคาดเดาไม่ได้คงจะมาฆ่าข้าแน่นอน เขากังวลกับเรื่องนั้น
สำหรับนางแล้ว เขาเป็นแค่ตัวประกอบเล็กๆ เท่านั้น
และนักรบพาหนะน้ำแข็งเงินผู้ใช้หอกจอมระห่ำมีประวัติศาสตร์ยิ่งใหญ่ยิ่งคิดก็ยิ่งทำให้เหลียงฟงปวดหัว ได้รับมรดกวิชาที่เหนือล้ำ เป็นสิ่งที่เขาไม่มี..
เขาตัดสินใจเน้นที่การสอนต่อไป
“ปราณแท้ทุกชนิด หลังจากดูดซับและเปลี่ยนสภาพไปแล้วจะกลายเป็นแหล่งพลังงานของเรา อย่างนั้นพลังดวงดาวคืออะไร? มันคือสิ่งที่ถือกำเนิดมาจากกลุ่มดาวและเป็นพลังงานที่โดดเด่นเฉพาะตนดังนั้นทำไมถึงได้มีการจำแนกประเภทนักสู้ของกลุ่มดาวด้วยเล่า?ผู้คนกล่าวกันว่ามรดกวิชาของกลุ่มดาวก็คือแหล่งพลังงานดวงดาวที่แท้จริงวิธีเปิดการใช้งานจะแตกต่างกันไปทุกกลุ่มดาว พลังดวงดาวที่ถือกำเนิดขึ้นมานั้นมีความหลากหลายมาก เราจะใช้ประโยชน์จากพลังดวงดาวรูปแบบต่างๆให้ได้อย่างสมบูรณ์แบบได้อย่างไร? นั่นคือมรดกวิทยายุทธเฉพาะตนที่ไม่ซ้ำกับกลุ่มดาวต่างๆทำไมวิทยายุทธเหล่านี้จึงมีการตกทอด เมื่อถูกใช้โดยนักสู้กลุ่มดาวอื่นจะสามารถปลดปล่อยพลังงานได้เพียงบางส่วนอย่างนั้นหรือ?เพราะปราณแท้ในร่างกายเขาไม่สามารถเข้าถึงแก่นวิชาได้อย่างสมบูรณ์ มีคนพูดถึงไว้ ข้าฝึกฝนมาทางวิชาฝึกจิต แต่พลังดวงดาวที่เจ้าดูดซับไว้ในร่างแก่นแท้ของพลังจะแตกต่างออกไป ถ้าเจ้าต้องการจะเปลี่ยนมันเจ้าก็ต้องใช้เวลามากขึ้นและผลที่ได้ก็จะต่ำกว่ามากมาย”
ทุกคนจดจ่ออยู่กับการฟัง พวกเขารู้เรื่องเหล่านี้ แต่พวกเขาไม่เคยเห็นหรือเคยได้ยินเรื่องแบบนี้จากเหลียงฟงผู้มีความเชี่ยวชาญในเรื่องนี้
“เมื่อปราณแท้ของพวกเจ้าสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ ก็จะกลายเป็นเรื่องลำบากมากขึ้นทุกที ทำไมน่ะหรือ? เพราะร่างกายของคนเรามีขีดจำกัดจะสามารถเก็บมันไว้ได้ขนาดไหนกันเชียว? ถ้าข้าต้องบอกว่า สมมติคนที่มีความสามารถที่มากที่สุดสามารถเก็บพลังปราณแท้ไว้ได้หนึ่งร้อย อย่างนั้นพวกเจ้าจะตระหนักเมื่อปราณแท้ของพวกเจ้าถึงขีดจำกัดที่ระดับแปดสิบยิ่งสูงก็ยิ่งยากลำบากมากขึ้น ปราชญ์บัณฑิตในอดีตตระหนักถึงปัญหานั้นกันทุกคนหลังจากที่ปราณแท้ของพวกเจ้ามาถึงที่ระดับร้อยละแปดสิบ ประสิทธิภาพในการเพิ่มปราณแท้จะลดลง และการเพิ่มปราณแท้มีข้อจำกัด ถึงตอนนั้นนักปราชญ์จะมุ่งไปให้ความสนใจจิตวิญญาณยุทธแทน”
“อย่างนั้นจิตวิญญาณยุทธคืออะไร? มีใครจำได้ไหมว่าจิตวิญญาณยุทธเกิดขึ้นได้อย่างไร? จิตวิญญาณยุทธจะก่อตัวขึ้นเมื่อปราณแท้ของเจ้าถึงระดับที่แน่นอนก่อน ตั้งแต่แรกจิตวิญญาณยุทธจะเลือนรางมากเหมือนกับหมอกควันและจะเข้มข้นอย่างต่อเนื่อง และมีรูปร่างแตกต่างกันไป ดังนั้นจิตวิญญาณยุทธคืออะไร? จิตวิญญาณยุทธก็คือพลังวิญญาณที่ก่อตัวขึ้นจากพลังงาน ถ้าเจ้าทุกคนฝึกฝนทางจิตมาได้ฝึกฝนจิตวิญญาณยุทธของเจ้าเจ้าจะตระหนักได้ สาระสำคัญในการใช้พลังจิตที่ฝึกฝนมาแล้วก็คือใช้ปราณแท้หล่อหลอมจิตวิญญาณของเจ้า ยิ่งเจ้าสามารถเปลี่ยนพลังงานได้มาก จิตวิญญาณยุทธของพวกเจ้าจะกลายเป็นระดับที่สูงกว่าแน่นอน”
“ดังนั้นผู้คนจะต้องคิดอย่างแน่นอนว่าธรรมชาติของจิตวิญญาณคืออะไร? ข้าต้องขอโทษทุกคนด้วย จนถึงตอนนี้ ไม่มีผู้เชี่ยวชาญที่จะไขปัญหานี้ได้ ดังนั้น เกี่ยวกับรูปแบบพลังแบบนี้ปราชญ์โบราณจะใช้คำพูดว่าจิตวิญญาณแทน ปราชญ์โบราณจะตระหนักได้เร็วเมื่อจิตวิญญาณยุทธถึงระดับที่แน่นอน มันจะกล้าแข็งมากกว่าปราณแท้ เพราะมันสามารถสร้างสิ่งจำลองได้ทุกรูปแบบและนี่คือสิ่งที่เราเรียกว่าสนามพลังวิญญาณ”
ความกระตือรือร้นของทุกคนเพิ่มขึ้นสูงทันที พวกเขาทุกคนหูผึ่งทันทีเกรงว่าจะพลาดตกหล่นไปแม้แต่คำเดียว สนามพลังวิญญาณมีความลึกลับต่อนักสู้ สามารถปลุกสนามพลังวิญญาณได้ก็เป็นเครื่องหมายของการเข้าสู่ระดับเซียนและสนามพลังวิญญาณคือวิธีโจมตีหลักหลังจากกลายเป็นนักสู้ระดับเซียนแล้ว
“ความจริง เป้าหมายสูงสุดของการฝึกฝนวิทยายุทธของพวกเราทุกคนก็คือสนามพลังวิญญาณ” เหลียงฟงกล่าว หน้าของเขาอดมีท่าทางภูมิใจมิได้ สิ่งที่สอนไปทั้งหมดนี้คือความคิดและการค้นคว้าของเขามาหลายปีซึ่งเป็นข้อมูลที่ปกติจะเก็บไว้เป็นความลับ แต่ปัจจุบันมันถูกใช้เป็นหัวข้อสอนที่ทำให้เขารู้สึกว่าเป็นนักสู้ระดับเซียนที่แท้จริง
“ณ จุดนี้ เราจำเป็นต้องคุยจากสนามพลังวิญญาณแก่นแท้ของสนามพลังวิญญาณก็คือการลอกเลียนจิตวิญญาณยุทธ ดังนั้นพวกเจ้าจะปลุกสนามพลังวิญญาณของตัวเองได้อย่างไร?ง่ายมากเมื่อพวกเจ้ามีความเข้าใจกฎเกณฑ์บางอย่างได้อย่างลึกซึ้งและจิตวิญญาณยุทธของพวกเจ้าแข็งแกร่งและบริสุทธิ์อย่างเพียงพออย่างนั้นพวกเจ้าก็สามารถสร้างสนามพลังวิญญาณที่เป็นของพวกเจ้าเองได้บางคนก็เดินมรรคากระบี่ บางคนก็เดินตามมรรคาดาราศาสตร์ บางคนก็ตามลักษณะของหมากรุกทุกคนแตกต่างกัน แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือต้องเข้าใจกฎบางอย่างลึกซึ้งเช่นเดียวกับที่ต้นไม้ไม่มีใบไม้ที่เหมือน ไม่มีสนามพลังวิญญาณที่เหมือนกันทั้งหมด มีกฎนับล้านกฎในโลกนี้และความเข้าใจและความลึกซึ้งในกฎข้อเดียวก็ยังต่างจากคนอื่น”
“ดังนั้น พวกเจ้าจะรู้แจ้งกฎเหล่านี้ได้อย่างไร นั่นก็คือโดยผ่านวิทยายุทธ! นั่นคือสาเหตุที่ข้าขอให้ทุกคนฝึกวิทยายุทธของพวกเขาด้วยเป้าหมายสุดท้ายก็คือสนามพลังวิญญาณ วิทยายุทธที่เราฝึกอยู่นั้น นอกจากใช้เพื่อการต่อสู้แล้ว ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือช่วยให้ทุกคนได้รับรู้กฎเกณฑ์บางอย่างยิ่งเจ้าได้รับมรดกวิทยายุทธ ก็มีร่องรอยของกฎเกณฑ์ที่สะสมไว้ปรากฏให้รู้ พลังโดยปกติอาจปลดปล่อยออกมาได้ยิ่งใหญ่ขึ้น และจะเป็นประโยชน์มากสำหรับพวกเจ้าที่เรียนรู้กฎเกณฑ์”
เหลียงฟงยังคงบรรยายต่อ หลังจากผ่านไปสองชั่วโมงทุกคนออกมาอย่างต่อเนื่อง
เมื่อทุกคนออกไป มีเพียงถังเทียนกับพวกเหลืออยู่สองสามคน และนั่นคือเวลาที่เหลียงฟงจะพูด
“ปราณแท้ของฝ่าบาทเต็มพิกัดแล้ว การฝึกฝนที่ตามมาควรเน้นไปที่จิตวิญญาณยุทธ ถ้าท่านต้องการรั้งอยู่ที่นี่เพื่อฝึกอยู่กับไข่หมี ก็ต้องใช้เวลานาน....”
พูดจนถึงตรงนี้แล้ว เหลียงฟงเม้มปาก เขาควบคุมความรู้สึกอยากแนะนำเจ้ากลุ่มผู้นี้ให้เปลี่ยนชื่อไข่หมีนัก
เย็นไว้... เย็นไว้.... รีบร้อนเกินไปจะเสียการ...
“ท่านเพียงแต่จำเป็นต้องเก็บกระดูกหมีเดียวดายไว้ในใจกลางไข่ แต่มีความเป็นไปได้สูงที่กระดูกหมีเดียวดายยังคงเก็บความลับกลุ่มดาวหมีใหญ่ที่มิอาจถ่ายโอนได้ นั่นคือเจ็ดดาวเหนือ”
นั่นคือความเคลื่อนไหวสูงสุดที่เหลียงฟงเตรียมไว้นานแล้ว ในฐานะผู้มาใหม่การสร้างความประทับใจให้เจ้านาย จำเป็นต้องใช้ความเคลื่อนไหวระดับสูงสุด!
“เจ็ดดาวเหนือเหรอ?” ถังเทียนกล่าว และตอบอย่างมีความสุข “นั่นคือร่มดาราแห่งดาวหมีใหญ่! เจ้ากระดูกน้อยบอกข้าเรียบร้อยแล้ว!”
สีหน้าของเหลียงฟงขรึม ขณะที่เขาตะกุกตะกักพูด “กะ...กระดูกหมีเดียวดายแจ้งบอกท่านแล้วเหรอ?”
กระดูกน้อย...
“ถูกแล้ว!” ถังเทียนพยักหน้าอย่างมั่นใจ “ข้าเริ่มฝึกไปบ้างแล้ว!”
เหลียงฟงรู้สึกแทบกระอักเลือดออกมา เขาใช้เวลาเตรียมแผนตั้งมากมายค้นคว้าบันทึกเก่า และเตรียมตัวความเคลื่อนไหวสุดยอดนี้ แต่กลับเหลว...
ถังเทียนหยียดฝ่ามือออก
รังสีแสงแพรวพราวนับไม่ถ้วนเริ่มครอบคลุมไปทุกตำแหน่งเหมือนกับเป็นกลุ่มดาวแพรวพราว
หลังจากนั้นชั่วขณะ แสงรัศมีก็หายไปและร่มโปร่งแสงขนาดพกติดตัวลอยขึ้นเหนือฝ่ามือของถังเทียน ร่มน้อยนี้ยังเป็นลายเส้นไม่ชัดนักมันค่อนข้างจะเลือนรางราวกับว่าพอลมพัดก็สามารถทำลายได้ ร่มสว่างขึ้นต่อเนื่อง แสงเหมือนกันแสงดาวยามราตรี
“ร่มดารากลุ่มดาวหมีใหญ่....”
เหลียงฟงพึมพำ
************
เมืองสามวิญญาณ
บรรยากาศในฐานชื่นมื่น ถังเทียนได้กลุ่มดาวหมีใหญ่สร้างความมั่นใจให้กับทุกคน ในอดีตแม้ว่าเพื่อร่วมงานในฐานจะดีก็ตามแต่ไม่มีใครมั่นใจในอนาคตของพวกเขา แต่พอมีกลุ่มดาวหมีใหญ่ ทุกคนหมดความคลางแคลงใจ มั่นใจว่าสามารถมีที่ยืน
แต่จุดที่สำคัญคืองบประมาณที่กระเบียดกระเสียรผ่อนคลายอย่างรวดเร็ว
เหล่าผู้เฒ่าสองสามคนแอบได้ยินมาว่า เจ้านายได้รับทรัพย์ก้อนใหญ่ พวกเขาไม่รู้ว่ามากเท่าไหน แต่ข่าวลือว่า อย่างน้อยก็ร้อยพันล้าน
ร้อยพันล้าน!
ตาของทุกคนเป็นประกายเขียวแวววาวอย่างรวดเร็ว ข่าวลือไม่ได้อยู่บนพื้นฐานที่ไร้เหตุผล แม้แต่แผนกลุ่มดาวเตาหลอมซึ่งยังไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร ก็เริ่มมีการผลักดันช้าๆ
งบประมาณที่คาดการณ์กันในแผนงานกลุ่มดาวเตาหลอมราวๆร้อยพันล้าน
ถังเทียนไม่ได้ปลุกคนมากมายนัก เขาตรงไปที่ห้องทำงานของเซรีน เซรีนสังเกตเห็นถังเทียนกำลังเข้ามาจึงชำเลืองมองเขาและพูดด้วยความรำคาญ “เจ้าอย่าเพิ่งวิ่งวุ่นไปทั่วดีกว่า ทุกคนกำลังยุ่ง!”
เห็นแบบนั้น ถังเทียนออกมาอย่างเข้าใจกันดี
และเมื่อถังเทียนเข้าไปหอใหญ่ เขาเห็นลุงปิงกำลังครุ่นคิด เขาสะดุ้งตกใจ“เฮ้ลุง, มานั่งทำอะไรตรงนี้?”
“กลุ่มดาวมังกรมีประตูดวงดาวนำเข้าสู่ภูมิภาควิญญาณ” ปิงขมวดคิ้ว
จากนั้นถังเทียนจึงเข้าใจ
เมื่อนึกๆ ดูแล้วตราบใดที่ลุงปิงสามารถเข้าภูมิภาควิญญาณได้ เขาก็สามารถกลับมาเมืองสามวิญญาณได้จากที่ไหนก็ได้
“แต่มันไกลมาก” สามคำนี้ทำให้ความคิดถังเทียนแล่น
“เอ่! ติงตังและผี่ผากับถังโฉ่วก็อยู่ที่นี่” จากนั้นถังเทียนสังเกตได้และเดินออกไป “เฮ้, พวกเจ้าทุกคนประชุมกันอยู่หรือเปล่า?ฮะฮะฮะ งั้นข้าคงไม่รบกวนนะ!”
ประชุมอะไร ความจริงเขาทำให้ผู้คนจนปัญญามากกว่า..
สีหน้าทุกคนเคร่งขรึม
“เฮ้, ในฐานะหัวหน้า ท่านไม่อาจไร้ความรับผิดชอบนักนะ”หน้าของปิงเขียวคล้ำ รังสีอำมหิตพลุ่งเพราะคำพูดของเขา
ความรู้สึกถึงรังสีอำมหิตทำให้เขาผงะถอยหลัง ถังเทียนหัวเราะและหมุนตัวนั่งลงอีกครั้ง“ฮะฮะ, มาคุยเรื่องทุกคนเถอะ ให้ข้าได้ฟังบ้าง”
“เรากำลังปรึกษาถึงแผนต่อไป”
คำพูดของผี่ผาทำให้ถังเทียนนั่งตัวตรง สีหน้าของเขาเคร่งขรึม
“ข้าขอแจ้งรายงานล่าสุดให้ทุกคนทราบไว้ก่อน” ติงตังเริ่มพูดโดยอัตโนมัติ “เรื่องแรก สถานการณ์ของสวรรค์วิถี สงครามของกลุ่มดาวราชสีห์และสมาพันธ์ชาวยุทธ นอกจากกลุ่มดาวนายพรานในช่วงที่ผ่านมาสองสามวันแล้ว กลุ่มดาววาฬ,กลุ่มดาวอินทรีและกลุ่มดาวสุนัขเล็กจากสิบตำหนักระนาบกลางต่างประกาศพร้อมกันว่าพวกเขากำลังเข้าร่วมกับฝ่ายสมาพันธ์ชาวยุทธ วิธีทางการทูตของสมาพันธ์ชาวยุทธนั้นโดดเด่นและกลุ่มดาวนายพรานกลายเป็นเครื่องบดเนื้อขนาดใหญ่ไปแล้ว มีนักสู้ระดับสูงของทั้งสองฝ่ายหลั่งไหลเข้าไปอย่างต่อเนื่องและมีรายงานว่าสถานการณ์ภายในนั้นยากลำบากมาก กล่าวให้ชัดเจนก็คือ กลุ่มดาวราชสีห์เริ่มเสียเปรียบ และแน่นอนการสู้รบยังไม่ถึงระดับสุดยอด แต่สถานการณ์ในอนาคตดูไม่สดใสเลย”
ติงตังหยุดดื่มน้ำและเช็ดปากนางและพูดต่อ
“ต่อไปจะเป็นเรื่องของพวกเรา สถานการณ์ของกลุ่มดาวหมีใหญ่ก็ยังไม่ดีเช่นกัน ก่อนนี้กลุ่มดาวหลายกลุ่มกลับกลายมาคุกคามเรา แต่ด้วยการอพยพชาวหมาป่าครั้งใหญ่กลุ่มมหาอำนาจหลายกลุ่มถอนกำลังไปก็มี แต่ยังมีกลุ่มดาวสองสามกลุ่มที่มีความเป็นปฏิปักษ์ค่อนข้างมาก ที่น่ากังวลมากที่สุดก็คือกลุ่มดาววาฬ ด้วยความสัมพันธ์ที่เป็นปฏิปักษ์กับเรา ถ้ากลุ่มดาววาฬคิดฮุบกลืนเรา อย่างนั้นสมาพันธ์ชาวยุทธจะดีใจที่เห็นเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้น และกลุ่มดาววาฬก็กำลังน้ำลายหกเพราะกลุ่มดาวหมีใหญ่ การตื่นขึ้นของเจ็ดดาวเหนือและข่าวลือมรดกวิชาโบราณของกลุ่มดาวหมีใหญ่ นั่นคือสิ่งที่ยั่วยวนใจนัก”
“กลุ่มดาววาฬมีแนวโน้มว่าจะลงมือกับเรามากที่สุด และระหว่างเรา มีประตูดวงดาว แน่นอนว่ากลุ่มดาวอื่นอาจฉวยโอกาสเข้าร่วมด้วย รายงานของข้ามีเท่านี้”
ติงตังนั่งลงทันที
ถังโฉ่วกล่าวด้วยท่าทางเคร่งเครียด “ถ้ากลุ่มดาววาฬมีแผนจะลงมือกับเรา อย่างนั้นพวกเขาจะต้องดำเนินการอย่างรวดเร็วปัจจุบันนี้ เรายังอยู่ในจุดที่อ่อนแอที่สุด และกองทหารของนายท่านก็อยู่ที่กลุ่มดาวมังกร นั่นคงเป็นเวลาที่ควรที่พวกเขาจะบุกโจมตีเราตอนนี้”
“พวกเขาจะส่งนักฆ่ามาไหม?” ผี่ผามีสีหน้ากังวล
ถังเทียนหัวเราะ “อย่าห่วงเลย, เมื่อเร็วๆนี้พลังของข้าก้าวหน้าขึ้นมาก! ฮืมมมเราจะให้พวกเขาได้เห็นประจักษ์พลังของหนุ่มชาวฟ้า!”
หลังจากกลับมาจากเมืองสามวิญญาณแล้ว ถังเทียนไม่คิดอะไรมาก แจ้งเหลียงฟงให้ทราบสถานการณ์ จากนั้นเขาขังตัวฝึกฝนอีกครั้ง
ตามคำพูดของเหลียงฟง เขาต้องขัดเกลาที่จิตวิญญาณยุทธของเขา
ถังเทียนนั่งอยู่ที่ใจกลางไข่หมี หลับตา จากนั้นมุ่งเน้นเข้าหาพลังดวงดาวในตัวของเขา ในตาของเขา พลังดวงดาวของกลุ่มดาวหมีใหญ่ปรากฏอยู่ต่อหน้าเขาคลื่นพลังดวงดาวผุดขึ้นมาจากทุกทิศทางเข้าหาเขาชำระเพลิงจิตวิญญาณของเขา
ท่าทางเจ็บปวดปรากฏบนสีหน้าของถังเทียน....