Chapter 55 : บทสรุป - เหนือกว่า
เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า โจวเฉินพบเจอกับคนอื่นๆในช่วงหลายวันก่อนของภารกิจเซอร์ไววัลและพลัดคิวกันจัดการมอนสเตอร์ที่เข้าโจมตี หาฟืนหรือตักน้ำจนถึงช่วงเวลาสุดท้ายของภารกิจ
ในช่วงที่ผ่านมาพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับการจู่โจมของมอนสเตอร์อย่างที่คาดแต่ด้วยความแข็งแกร่งของพวกเขาที่ก็ไม่ได้อ่อนแอและใช้ต้นไม้ในป่าเป็นกำบังปิดกั้นจุดบอดบวกกับยุทธวิธีสู้ไปถอยไป ใช้เวลาไม่นานนักพวกเขาก็สามารถสังหารมอนสเตอร์ทั้งหมดลงได้และได้รับทั้งอาหารและอุปกรณ์มา
โชคของโจวเฉินนั้นเรียกได้ว่าปานกลางเท่านั้น หลังจากได้สร้อยคอเหมันต์มาก็มีเพียงกระบองเหล็กเท่านั้นที่ดรอปออกมาแต่นอกจากของพวกนี้แล้วเขาก็ได้อาหารมามากมายดังนั้นเขาจึงไม่เคยหิวอีกเลย
สิ่งที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจก็คืออสูรต้นไม้ภายในป่าไม่เข้าโจมตีพวกเขาเลยสักครั้งเดียว
โจวเฉินและคนอื่นๆถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ถ้าอสูรต้นไม้ในป่าทั้งหมดพร้อมใจกันบ้าคลั่งขึ้นมาก็มีโอกาสสูงมากที่พวกเขาจะถูกกำจัดทิ้งทุกคน
“อย่างน้อยระบบมันก็ยังมีมนุษยธรรม! ต้นไม้พวกนี้เป็นมอนสเตอร์แน่นอนแต่ตราบใดที่พวกเราไม่ไปยั่วยุพวกมันพวกมันก็จะอยู่เฉยๆไม่ทำอะไร”
ในคืนสุดท้ายหญิงสาวผมหางม้าที่นั่งอยู่ใกล้กับกองไฟและกำลังกินขนมปังขาวอยู่เอ่ยขึ้นมา
ภารกิจเซอร์ไววัลอย่างเป็นทางการครั้งที่สี่ของโจวเฉินซึ่งเป็นครั้งที่กินระยะเวลายาวนานที่สุดด้วยได้ผ่านพ้นไปอย่างสมบูรณ์ อัตราการรอดชีวิตเองก็ค่อนข้างสูงและมีเพียงสองจากหกคนเท่านั้นที่ตายลงไป
[ท่านผ่านภารกิจเซอร์ไววัลเรียบร้อยแล้ว รางวัลที่ได้รับ : คัมภีร์กายา (ทองแดงขั้นต่ำ) 1 เล่ม , เรือแคนูขนาดเล็ก (ทองแดงขั้นต่ำ) 1 ลำ , โพชั่นต้านทานความเย็น(ทองแดงขั้นต่ำ) 1 ขวด]
“ได้เรือแคนูมาด้วยแฮะ...”
โจวเฉินบื้อใบ้ไปชั่วขณะเมื่อเห็นรางวัลที่ได้รับ เขาที่บรรลุภารกิจเซอร์ไววัลและกลับมายังโซฟาภายในห้องเช่าห้องใหม่อีกครั้งไม่ได้เลือกที่จะนำเอาเรือแคนูที่ได้มาออกมาดูทันที เขาเพียงแค่ปรายตามองมันในช่องเก็บของอยู่ซักพักก่อนจะหยิบคัมภีร์กายาออกมาใช้งานและหยิบโพชั่นต้านทานความเย็นออกมาดู
[โพชั่นต้านทานความเย็น]
[ประเภท : โพชั่นระดับทองแดงขั้นต่ำ]
[คำอธิบาย : หลังจากใช้งานจะจขัดความหนาวและเพิ่มความสามารถในกานต้านทานความเสียหายจากความเย็นให้กับผู้ดื่มชั่วระยะเวลาหนึ่ง ยิ่งดื่มมากเท่าไหร่ก็ยิ่งส่งผลนานเท่านั้น โพชั่นหนึ่งขวดจะมีผลอยู่ได้หนึ่งวัน]
“โพชั่นสำหรับรับมือกับสถานการณ์พิเศษแบบนี้น่าจะมีประโยชน์ในอนาคต”
โจวเฉินยัดโพชั่นต้านทานความเย็นกลับเข้าช่องเก็บของและตรวจสอบไอเทมอื่นๆ
“หอก ดาบยาว มาเชเต้ โล่กลม ดาบ ขวาน กระบองเหล็ก ยาฟื้นฟูพลังชีวิต2ขวด หน้ากาก ไฟแช็ก ขวดโค้ก เทียน มันฝรั่งย่าง...แล้วก็เงินจำนวนมากกว่าแสนเหรียญมังกร”
โจวเฉินลองทดสอบเกี่ยวกับเรื่องของเงินภายในช่องเก็บของดูแล้วแล้วพบว่าระบบได้ทำข้อจำกัดบางอย่างเอาไว้ เงินนี้ไม่สามารถนำออกมาจากช่องเก็บของได้ในช่วงภารกิจ ความเป็นไปไม่ได้ที่สูงที่สุดก็น่าจะเป็นเพราะมันไม่ได้ถูกสร้างโดยระบบ
“อาวุธส่วนใหญ่น่าจะขายได้และอีกไม่นานก็คงมีเงินพอจ่ายภาษีซักที”
โจวเฉินคิดอยู่ซักพักก่อนจะตัดสินใจวางขายกระบองเหล็กและดาบลงบนพื้นที่แลกเปลี่ยน
ท้ายที่สุดเขาก็เปิดหน้าต่างค่าสถานะตัวละครขึ้นมาเพื่อดูค่าสถานะที่เปลี่ยนแปลงไปของตัวเอง
[ชื่อ : โจวเฉิน]
[ร่างกาย : 1.9]
[ความเร็ว : 1.7]
[จิตวิญญาณ : 1.8]
[พรสวรรค์ : ช่วงชิงสกิลติดตัว]
[สกิลเรียกใช้งาน : ย่างก้าวสายลม (ระดับ1)]
[สกิลติดตัว : พิษซากศพ(ระดับ1) , พิษงู(ระดับ1) , เสริมแกร่งความเร็ว(ระดับ1) , เสริมแกร่งจิตวิญญาณ(ระดับ1) , เสริมแกร่งกายา(ระดับ1) , พลังช้างสาร(ระดับ1) , ศาสตร์การต่อสู้(ระดับ1) , ศาสตร์การใช้หอก(ระดับ1) , มองเห็นในที่มืด(ระดับ1) , ฟื้นฟูพลังชีวิต(ระดับ1) , หายใจใต้น้ำ(ระดับ1) , กลั้นลมหายใจ(ระดับ1) , ฟื้นฟูร่างกาย(ระดับ1) , แปลงพลังงานแสง(ระดับ1)]
[พลังรบโดยรวม : ทองแดงขั้นต่ำ]
“ยังหนีไม่พ้นระดับทองแดงขั้นต่ำอีกแฮะ สงสัยจริงๆว่าเมื่อไหร่ถึงจะยกระดับไปเป็นทองแดงขั้นกลาง”
หลังจากจัดการทั้งหมดนี้จนแล้วเสร็จโจวเฉินก็ถอดชุดพรางกายในทะเลทรายที่สวมใส่อยู่ออกและนำไปซัก
“วันนี้เป็นวันเสาร์ไม่ต้องไปทำงาน”
เพราะว่าเป็นวันหยุดเขาจึงไม่จำเป็นต้องออกไปไหน หลังจากอาบน้ำเสร็จเขาจึงล้มตัวลงนอน
แม้ว่าภารกิจเซอร์ไววัลที่ผ่านมาจะเป็นภารกิจที่ยาวนานที่สุดที่เขาเคยพบเจอมาแต่หลังจากออกมาจากภารกิจเขากลับไม่หิวเลยดังนั้นเขาจึงไม่ได้หาอะไรกินก่อนนอน
หลังจากหลับไปได้สี่ชั่วโมงเขาก็ตื่นขึ้นมาอีกครั้งในช่วงบ่ายและพบว่าดาบที่เขาวางขายนั้นถูกขายออกไปแล้ว เงินที่เขามีพุ่งทะลุ200,000เป็นที่เรียบร้อย
“ตอนนี้ก็พอจ่ายภาษีซักที อายุแบบเราควักเงินจ่ายทีเดียว200,000ก็อาจจะดึงดูดความสนใจมากเกินไปดังนั้นควรจะผ่อนจ่ายดีกว่า”
หลังจากคิดอยู่ซักพักโจวเฉินก็ตัดสินใจไม่จ่ายเงินรวดเดียวแต่เลือกที่จะผ่อนจ่ายแทน
เขาสวมใส่เสื้อผ้าสะอาดชุดใหม่และเดินออกไปจากห้องเช่า โจวเฉินนำเอาเงินออกมาจากช่องเก็บของหลายหมื่นเหรียญมังกรและฝากมันเข้าไปในบัตรธนาคาร จากนั้นเขาก็มุ่งหน้าไปยังสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเมืองหยางเพื่อจัดการเรื่องค่าใช้จ่าย
หลังจากใช้เวลาอยู่ซักพักเขาก็จัดการปัญหาที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งเอาไว้ได้เสียที
เมื่อเขากลับออกมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าก็มีสายเข้ามาจากเถ้าแก่หลิว
“เสี่ยวโจวเจ้าแก่หวางนั่นพาคนมาท้าสู้ที่โรงฝึกอีกแล้ว วันนี้เธอว่างรึเปล่า?”
“ผมว่างอีกซักพักน่าจะไปถึง”
ในฐานะของหัวหน้าผู้ช่วยประจำโรงฝึกโจวเฉินจึงไม่อิดออดที่จะทำงานล่วงเวลา
ไม่นานนักเขาก็มาถึงโรงฝึกเว่ยเจียงและเห็นว่ามีชายร่างกำยำส่วนสูงปานกลางรออยู่ด้านใน ชายหนุ่มผู้นี้สวมชุดนักสู้สีดำบวกกับทรงผมทรงสกินเฮดทำให้ดูดุดันพอสมควร
“นายคือคนที่มาท้าสู้ใช่ไหม?”
ใจของโจเวฉินสงบนิ่งดุจสายน้ำแม้จะต้องเผชิญหน้ากับชายหนุ่มที่ดูดุดันผู้นี้ ยังไงซะเขาก็สังหารคนมาหลายคนแล้วและสภาวะจิตใจเองก็เติบโตจนแตกต่างจากคนทั่วไปไกลริบ
“ใช่ อย่ามัวแต่ไร้สาระพวกเราจะเริ่มได้เมื่อไหร่?”
วาจาของชายหนุ่มร่างกำยำไม่มีความสุภาพเลยแม้แต่น้อย
“ตอนนี้เลย”
คนที่มาท้าสู้ผู้นี้ไม่ได้กล่าววาจาไร้สาระให้มากความเช่นเดียวกันกับโจวเฉิน เขาเดินไปยังด้านข้างเวทีและกระโดดข้ามเชือกขึ้นไปบนเวทีในทันที
ดวงตาของชายหนุ่มร่างกำยำเปล่งประกายขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นการกระโดดของโจวเฉิน เขาเองก็รีดเร้นพลังกายกระโดดขึ้นไปบนเวทีเช่นเดียวกันแต่เห็นได้ชัดเลยว่าเขาทำไม่ได้อย่างลื่นไหลเหมือนกับโจวเฉิน
นี่ไม่ใช่เพราะชายหนุ่มผู้นี้อ่อนแอแต่เป็นเพราะเวทีของโรงฝึกค่อนข้างสูงและถูกขึงล้อมรอบเอาไว้ด้วยเชือกหนา การจะกระโดดข้ามไปนั้นเป็นเรื่องยากมาก อย่างน้อยคนธรรมดาก็ไม่มีทางทำได้แน่นอน
“เริ่มเลย!”
เมื่อชายหนุ่มขึ้นมาบนเวทีแล้วเขาก็ประกาศเริ่มการต่อสู้โดยไม่รีรอ เขายกแขนขึ้นมาป้องกันบริเวณศรีษะเอาไว้ขณะเดียวกันก็ใช้สเต็ปเท้าอันปราดเปรียวเคลื่อนไหวเข้าหาโจวเฉิน
...
สิบนาทีให้หลัง
มีเพียงโจวเฉินคนเดียวเท่านั้นที่ยังยืนอยู่บนเวทีได้อย่างมั่นคงขณะที่ชายหนุ่มร่างกำยำนั้นมอบแต้อย่างเหนื่อยอ่อนไปแล้ว
แขนและขาของอีกฝ่ายปูดบวมจนทำให้ชุดต่อสู้ที่ค่อนข้างรัดรูปโป่งพองผิดรูปไปอย่างชัดเจน บนใบหน้าเองก็เขียวช้ำทำให้สภาพของเขาตอนนี้ดูน่าอนาถเป็นอย่างยิ่ง
โจวเฉินยังคงอยู่ในสภาพปกติ ทั่วร่างของเขาเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อแต่กลับไม่มีส่วนไหนบนร่างกายเลยที่ปรากฏร่องรอยบาดเจ็บ
“ฉันแพ้แล้ว...อีกสองเดือนฉันจะมาท้าสู้กับนายอีก”
ซักพักหนึ่งชายหนุ่มร่างกำยำก็พยุงกายลุกขึ้นยืนและประกาศยอมรับความพ่ายแพ้ จากนั้นเขาก็ลากสังขารอันบอบช้ำออกไปจากโรงฝึกเว่ยเจียง
โจวเฉินเองหลังจากพักผ่อนช่วงสั้นๆแล้วก็จากไปเช่นเดียวกัน เดิมทีเขาวางแผนว่าจะมาฝึกร่างกายอยู่แล้วแต่ในเมื่อผ่านการต่อสู้ไปแล้วเขาก็คิดว่าวันนี้ข้ามเรื่องการฝึกฝนไปคงดีกว่า
“ร่างกายที่ถูกระบบยกระดับนี่ทรงพลังจริงๆ ทักษะการต่อสู้ของเราเป็นรองอย่างเห็นได้ชัดแต่เพราะเราทั้งอึดกว่า ทรงพลังกว่าและมีปฏิกริยาตอบสนองเร็วกว่ารวมไปถึงประสาทสัมผัสที่เหนือกว่าทำให้จัดการกับคู่ต่อสู้ที่ทรงพลังแบบนี้ได้อย่างง่ายดาย”
การต่อสู้ครั้งนี้ทำให้โจวเฉินได้เห็นระดับในปัจจุบันของตัวเอง