Chapter 54 : สร้อยคอเหมันต์ – เป้าหมาย
วันนั้นทั้งวันป่าไร้เสียงกลับไม่เงียบสงัดดั่งเช่นที่ผ่านมา ตั้งแต่เช้าจรดค่ำการโจมตีของเหล่าอสูรน้ำแข็งก็ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างกรณีเลวร้ายที่สุดที่โจวเฉินเจอก็คือเขาเจอกับมอนสเตอร์มากกว่าสิบตัวในเวลาไม่ถึงชั่วโมงและอย่างดีที่สุดก็คือสามถึงสี่ตัวในหนึ่งชั่วโมง
เขาถูกมอนสเตอร์พวกนี้พันแข้งพันขาและสู้กับพวกมันมาตลอด จนกระทั่งถึงช่วงกลางคืนเขาถึงรู้สึกได้ว่าความถี่ในการเข้าโจมตีของพวกมอนสเตอร์มันลดลงเขาจึงพอจะมีเวลาได้พักหายใจหายคอบ้าง
หลังจากรวบรวมใบไม้และกิ่งไม้ที่เปียกโชกเพราะหมอกมาได้อย่างยากลำบากโจวเฉินก็ใช้ไฟแช็กที่มีอุ่นพวกมันซักพักก่อนจะนำพวกมันมาก่อกองไฟ
น้ำที่เขาเติมเอาไว้ในขวดโค้กที่กลายเป็นน้ำแข็งไปแล้วถูกนำออกมาละลายอย่างช้าๆ หลังจากดื่มน้ำเข้าไปอึกใหญ่เขาก็รู้สึกว่าร่างกายของเขากลับมาเย็นอีกครั้ง
“น้ำนี่ควรจะอยู่ได้อีกหลายวัน น่าจะไม่ต้องกังวลเรื่องน้ำแล้ว”
โจวเฉินตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าเรื่องน้ำไม่น่าจะใช่ปัญหาอีกต่อไป เขาเปิดช่องเก็บของและนำซาลาเปานึ่งที่ได้มาออกมาทาน
ซาลาเปานึ่งนี้เป็นหนึ่งในสินสงครามที่เขาได้มาจากการต่อสู้กับอสูรน้ำแข็งตลอดทั้งวันและเขาก็เก็บมันเอาไว้เป็นพิเศษในฐานะของมื้ออาหารค่ำ
“ระบบนี่ขี้งกจริงๆ วันนี้เราฆ่ามอนสเตอร์ไปก็ตั้งมากแต่นอกจากอาหารแล้วก็มีแค่เทียนกับสร้อยคอดรอปออกมาแค่นั้นเอง”
โจวเฉินบ่นอุบภายในใจขณะที่กวาดตามองของภายในช่องเก็บของ
สร้อยคอที่เขาได้มามีชื่อว่าสร้อยคอเหมันค์ มันดูเหมือนกับสร้อยเงินประดับไพลินทั่วๆไปเพียงเท่านั้น โจวเฉินนำมันออกมาจัดแจงสวมใส่เอาไว้บนคอของเขาตั้งแต่ตอนที่ได้มาแล้วและยกปกเสื้อขึ้นมาเพื่อซ่อนมันเอาไว้
[สร้อยคอเหมันต์]
[ประเภท : ไอเทมระดับทองแดงขั้นต่ำ]
[คำอธิบาย : หลังจากสวมใส่สร้อยคอนี้ท่านจะได้รับบัฟที่ชื่อว่าใจเยือกแข็ง]
[ใจเยือกแข็ง : ต้านทานการโจมตีทางจิตวิญญาณระดับทองแดงขั้นต่ำได้อย่างสมบูรณ์ เพิ่มความต้านทานต่อการโจมตีทานจิตวิญญาณในระดับทองแดงขั้นกลางและขั้นสูงมากน้อยตามลำดับ]
คุณสมบัติของสร้อยคอันนี้ถือว่าผ่าน หลังจากโจวเฉินได้มาเขาก็ไม่เคยถูกภาพลวงตาที่มอนสเตอร์สร้างขึ้นหลอกหลอนอีกเลยแต่มันก็เท่านั้น สุดท้ายเขาก็ไม่รู้สึกว่าคุณสมบัติเดียวที่สร้อยคอนี้มีมันคุ้มค่ากับมอนสเตอร์ที่เขาสังหารไปมากมายตลอดทั้งวันอยู่ดี
หลังจากผิงไฟเพื่ออบอุ่นร่างกายได้ซักพักและใช้หอกในมือแทงอสูรน้ำแข็งที่เข้ามารบกวนจนตาย โจวเฉินก็เอนกายลงนอนใกล้ๆกับกองไฟโดยวางแผนว่าจะงีบซักเล็กน้อย
ยังไงก็ตามหลังจากที่เขาเอนหลังได้ไม่นานเขากลับได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นมา ทั้งเสียงและจังหวะดูแล้วคล้ายกับเสียงฝีเท้าของมนุษย์มากกว่าอสูรน้ำแข็งและยังน่าจะมีมากกว่าหนึ่งคนด้วย
“มอนสเตอร์ที่ชอบปลอมตัวเป็นมนุษย์พวกนั้นจะลงมืออีกแล้วงั้นหรอ?”
โจวเฉินคาดเดาไปก่อนแล้ว
เขายืนขึ้นและกระชับหอกเอาไว้ในมือแน่นเพื่อเตรียมตัวโจมตีทุกเมื่อ
ไม่นานนักภายใต้แสงไฟจากกองไฟเขาก็สังเกตุเห็นเงาร่างสามร่างที่อยู่ห่างไกลออกไป คนเหล่านั้นก็คือหญิงสาวผมหางม้า ชายหนุ่มชุดทหารและชายหนุ่มหน้ากากหน้ายิ้ม
“ดูจากลักษณะแล้ว...น่าจะเป็นตัวจริง”
เพราะว่าเขาสวมสร้อยเหมันต์อยู่โจวเฉินจึงไม่มีทางถูกภาพลวงตาของมอนสเตอร์ล่อลวง ถ้ามอนสเตอร์พวกนั้นเข้ามาหาเขาจริงๆก็มีแต่จะต้องเผยร่างจริงออกมาเท่านั้น
“ไอหยาในที่สุดก็เจอนายซักที!”
สีหน้าของหญิงสาวตึงเครียดขึ้นมาทันตาเมื่อเห็นโจวเฉินที่ยืนอยู่ข้างกองไฟ ยังไงก็ตามหลังจากที่จ้องมองเขาอยู่ซักพักและดูเหมือนจะแน่ใจแล้วว่านี่คือโจวเฉินตัวจริงเจ้าหล่อนจึงโบกมือให้เขาด้วยท่าทีมีความสุข
“มาอบอุ่นร่างกายกันก่อนเถอะ”
โจวเฉินตอบกลับทันที
ไม่นานนักภายในป่าที่มีหมอกลงจัดแห่งนี้ คนทั้งสี่ต่างก็นั่งลงล้อมรอบกองไฟและพูดคุยกันสับเพเหระ
หญิงสาวผมหางม้าก็ยังคงเป็นคนที่พูดมากที่สุดเช่นเดิม
“วันนี้นี่อันตรายจริงๆ! มีมอนสเตอร์สองตัวที่ปลอมตัวมาเป็นนายกับหมอนั่นแถมยังเกือบจะหลอกฉันได้แล้วด้วย!”
เธอชี้มาที่โจวเฉินกับชายหนุ่มชุดทหาร
“ฉันก็ด้วย ในตอนนั้นมอนสเตอร์สองตัวนั่นนำทางฉันไปซักพักก่อนที่ฉันจะรู้สึกตัวว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล ต้องบอกว่าเกือบจะตกอยู่ในวงล้อมของพวกมันแล้วจริงๆ โชคดีที่เจอกับหมอนี่เลยรอดมาได้อย่างปลอดภัย”
ชายหนุ่มมองไปที่ชายสวมหน้ากาก
“ฉันเองก็เจอกับสถานการณ์แบบเดียวกับที่พวกนายพูดถึงเหมือนกันแต่มีแค่เจ้าโง่ชีเปลือยโผล่ออกมาคนเดียว ฉันไม่ค่อยสนใจหมอนั่นอยู่แล้วดังนั้นพออสูรที่ปลอมตัวเป็นหมอนั่นเข้าโจมตีฉันฉันก็เลยลงมือสังหารซะ”
ชายหนุ่มสวมหน้ากากอธิบายสิ่งที่พบเจอมาอย่างช้าๆ
“ตอนนี้พอมาคิดๆดูแล้วดูเหมือนฉันจะคิดไม่ถี่ถ้วนไปหน่อย ถ้าตามไปบางทีฉันอาจจะได้โชคก้อนโตจากฝูงของพวกมันก็ได้”
น้ำเสียงมั่นอกมั่นใจของชายสวมหน้ากากดูเหมือนจะเจือความเสียดายแฝงเอาไว้เล็กน้อย
ยังไงก็ตามเมื่อโจวเฉินสังเกตเห็นสภาพไม่สู้ดีนักของเสื้อผ้าบนร่างกายอีกฝ่ายและรอยเลือดที่เปื้อนอยู่ด้านในเขาก็รู้สึกว่าเจ้าหมอนี่น่าจะโม้ไปเรื่อยมากกว่า ดูเหมือนหมอนี่จะเจอเรื่องยากลำบากไม่น้อยในป่าแห่งนี้และความแข็งแกร่งของเขาเองก็น่าจะไม่สูงมากนัก
“อีกสามวันที่เหลือนี่พวกเรามาร่วมมือกันเถอะ คอยผลัดกันไปเก็บฟืนแล้วก็สังหารมอนสเตอร์ที่กรูกันมาที่นี่ อีกไม่นานภารกิจเซอร์ไววัลหนนี้ก็จะจบลงแล้ว”
หญิงสาวเสนอ
“ฉันเห็นด้วยนะ”
ชายหนุ่มชุดทหารตอบรับเป็นคนแรก
“แม้ว่ามอนสเตอร์พวกนั้นจะฆ่าไม่ยากแต่อัตราการดรอปไอเทมก็ต่ำเกินไปหน่อย ฉันเองก็รู้สึกไม่คุ้มที่จะต้องวนเวียนฆ่าพวกมันเหมือนกัน ถ้าโชคร้ายอาจจะพลาดจนตายก็ได้”
“ดังนั้นฉันไม่คัดค้าน”
โจวเฉินคิดอยู่ซักพักก่อนจะพยักหน้า
“ถ้าพวกเราอยู่รวมกันมอนสเตอร์พวกนั้นก็น่าจะรวมกลุ่มกันเข้าโจมตีพวกเราเหมือนกันซึ่งก็น่าจะดีกว่ามาไล่หาพวกมันทีละตัวๆ”
“ขอฉันคิดก่อนนะ...”
ชายสวมหน้ากากไม่ได้ตอบตกลงทันที
“ภารกิจเซอร์ไววัลหนนี้ฉันยังเก็บเกี่ยวได้ไม่เยอะเลย ฉันคิดว่าน่าจะต้องออกล่ามอนสเตอร์ให้มากกว่านี้เพื่อหาไอเทมดีๆไปขายเพราะฉันอยากจะเก็บเงินซื้อบ้านน่ะ”
“เป็นแบบนี้แล้วทำไมถึงยังกังวลเรื่องซื้อบ้านอยู่อีกล่ะ?”
หญิงสาวผมหางม้ารู้สึกพูดไม่ออกขึ้นมา
“ฉันไม่มีทางเลือกนี่ ฉันยังมีพี่น้องต้องดูแลและต้องตระเตรียมความพร้อมเอาไว้ให้พวกเขาด้วย ไม่อย่างนั้นแล้วถ้าฉันเกิดตายในภารกิจเซอร์ไววัลขึ้นมาพวกเขาคงได้ไปนอนข้างถนนกันแน่”
ชายหนุ่มสวมหน้ากากหน้ายิ้มเอ่ยเสียงแผ่ว
“นายเองก็เป็นคนดีเหมือนกันนะ”
หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะชื่นชมอีกฝ่าย
“สิ่งที่ผลักดันฉันมันก็ไม่ใช่ความรู้สึกรับผิดชอบและภาระทั้งหมดหรอก ฉันจำเป็นต้องตั้งเป้าหมายให้ตัวเองเพื่อจะได้ไม่ยอมแพ้ไปกลางคันด้วย”
หญิงสาวพยักหน้าและตอบกลับ
“พวกนายสองคนล่ะ? มีเป้าหมายอะไรรึเปล่า?”
จากนั้นเธอก็หันมามองโจวเฉินและชายหนุ่มชุดทหาร
“ฉันยังไม่มีเป้าหมายชัดเจน บางทีการเข้าร่วมกับองค์กรให้ได้อาจจะนับเป็นเป้าหมายหลักในตอนนี้ล่ะมั้ง”
ชายหนุ่มชุดทหารคิดอยู่ซักพักก่อนจะเอ่ยออกมา
“เป้าหมายของฉันคือการค้นหาความลับของระบบ”
โจวเฉินตอบกลับโดยไม่แม้แต่จะคิด
“ไม่คิดกันบ้างหรอว่าระบบนี่มันทั้งอัศจรรย์และก็ลึกลับด้วยน่ะ?”
“เป้าหมายของนายมันค่อนข้างใหญ่เกินตัวจริงๆ...”
ชายหนุ่มชุดทหารยิ้ม
“ฉันขอแนะนำให้นายเข้าร่วมกับองค์กรนะ เป้าหมายที่เหล่าคนระดับสูงๆขององค์กรตั้งเป้ากันก็คือการค้นหาความลับของระบบนี่แหละ นายจะได้เจอกับคนที่มีความคิดแบบเดียวกันไม่น้อยเลยล่ะหลังจากที่เข้าร่วมกับทางองค์กร”
“ฉันจะลองเก็บไปคิดดูแล้วกัน”
โจวเฉินตอบกลับทันทีแต่ในใจลึกๆแล้วเขาไม่ได้คิดจะทำเช่นนั้นเลย ความจริงแล้วเป้าหมายที่เขากล่าวออกไปเป็นเพียงเป้าหมายกึ่งจริงกึ่งเท็จเท่านั้น เขามีความสนใจในตัวของระบบจริงๆแต่เป้าหมายที่แท้จริงของเขาไม่ได้ยิ่งใหญ่ถึงขนาดนั้น...เป้าหมายที่แท้จริงของเขาก็คือเอาชีวิตรอดให้ได้นานที่สุดหรือก็คือจนกว่าจะถึงจุดสิ้นสุดของระบบนั่นเอง