ตอนที่ 440 ซือหม่าผู้ร้ายกาจ
การรบสร้างความตะลึงให้กับทุกคน
แม้แต่อาเฮ่อและหลิงซิ่วซึ่งยืนดูอยู่บนหลังคาราชวังทั้งสองคนมองดูกองทัพทั้งสองฝ่ายสลับกันมองดูขณะที่กองทัพหมาป่าปรากฏออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยมองดูการโต้ตอบสุดท้ายของหลงจู้ มองดูวิธีที่ปิงค่อยๆ ตัดรูปกระบวนศึกของกองกำลังสะท้านภูผา
ในกระบวนการทั้งหมด นอกจากการบุกประจัญบานของกองทัพหมาป่าแล้วการต่อสู้ไม่ได้เป็นภาพที่งดงาม การต่อสู้หลังจากนั้น ไม่มีอะไรมากก็แค่ปิงนำกองทัพอาวุธจักรกลเข้าปะทะและชี้ให้เห็นข้อผิดพลาดต่อเนื่องมากมาย ตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนกลยุทธ การใช้ยุทธการตลบหลังนั้นใช้ไม่ได้ นี่ทำให้การต่อสู้ทั้งหมดยุ่งเหยิงมาก
แต่มันอยู่ในท่ามกลางความยุ่งเหยิงที่กองกำลังสะท้านภูผาค่อยๆถูกตัดออกเป็นชิ้น
ในกระบวนการทั้งหมดไม่มีอะไรที่สะดุดตามากและอาจถือได้ว่าธรรมดาและปานกลาง แต่เมื่อสมรภูมิเริ่มกลายสภาพเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย พวกเขาทึ่งและประหลาดใจทันที
“เป็นผู้นำทหารที่น่ากลัวมาก” อาเฮ่อสูดอากาศหนาวเหน็บและอดสรรเสริญมิได้ “งั้นลุงปิงก็แข็งแกร่งมากจริงๆ”
หลิงซิ่วตกใจพอกันครั้งล่าสุดที่ปิงแสดงราศีการควบคุมในฐานะผู้นำทหาร ปิงไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรแค่เพียงแนะนำและจัดการคนตามปกติ ด้วยฝีมือที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้เขายังไม่ต้องแสดงทักษะอะไรมาก แค่วางแผนอย่างรัดกุมทุกย่างก้าว เพียงแต่หลังจากก้าวที่สิบก็ทำให้ผู้คนตระหนักทันทีว่าเขาชนะไปแล้ว
สิ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึกประหลาดใจยิ่งขึ้นก็คือลุงปิงทำกับทุกอย่างเหมือนอยู่ในสนามฝึกฝน
ต้องใช้ความมั่นใจมากขนาดไหน..
ปิงยังใจเย็นมาก ชัยชนะสำหรับเขาไม่สำคัญ เขาให้ความสนใจกับการปฏิบัติงานของนักเรียน มีเหตุผลมากมายที่ทำให้เขาถูกย้ายไปดูแลค่ายทหารใหม่ในอดีตก็คือเขาเป็นนักพูดที่ดี เขายังอายุเยาว์แต่ที่สำคัญที่สุด เขาเก่งในการฝึกฝนคน
ใช้สนามรบเพื่อการฝึกฝนเป็นวิธีที่เขาเข้าใจได้เมื่อตอนที่เขาอายุน้อย ขณะนั้นการต่อสู้รบพุ่งมีมากมาย บางอย่างที่ปัจจุบันนี้และยุคนี้ไม่สามารถคิดออก แม้ว่ากองทัพกลุ่มดาวกางเขนใต้จะมีเครื่องมืออำนวยความสะดวกที่สมบูรณ์แต่พวกเขาก็ยังเผชิญปัญหาเรื่องกำลังคน
วิธีลดขั้นตอนรับทหารใหม่วิธีเลือกความสามารถและผู้มีพรสวรรค์ศักยภาพจะได้เป็นเจ้าหน้าที่พื้นฐานปัญหาเหล่านี้ทำให้เขาต้องสละเลือดและเวลานับไม่ถ้วน
หลังจากทำลายพวกเขาได้แล้วก็ไม่มีอะไรพูดสักคำ นอกจากข้อผิดพลาดรุนแรงของนักเรียน นักเรียนกลุ่มเล็กรายย่อยเขาไม่สนใจ สิ่งที่เขาทำคือลอบให้ความสนใจดูนักเรียนที่โดดเด่น
สนามรบคือสถานที่ดีที่สุดสำหรับทดสอบอัญมณี
ความจริงเขาไม่ต้องการเปิดเผยสถาบันหมาป่าฟ้าและกองทัพจักรกลเร็วเกินไป แต่โดยการผ่านวิธีการปกติ และไปให้ถึงความต้องการของเขา มันต้องใช้เวลานานและเวลาก็สำคัญ
ปิงพอใจมากกับผลงานการรบ ความจริงเขาไม่ทราบเลยว่ากองกำลังสะท้านภูผาจะปรากฏขึ้น แต่เพื่อประโยชน์ที่ไม่คาดคิด เขานำกองกำลังหมาป่าของถังอี้มาด้วยและให้การพิทักษ์ทหารใหม่ แต่เมื่อเขาพบกับกองกำลังสะท้านภูผา ปิงมีแรงบันดาลใจและเริ่มวางแผนทันที
ในช่วงเวลาสั้นๆเขาได้วางแผนการรบอย่างสมบูรณ์
แต่น่าเสียดาย การตอบโต้ของกองกำลังสะท้านภูผาไม่ดุดันรุนแรงเท่าที่เขาคิดและเขารู้สึกเสียดายถ้าการโจมตีตอบโต้ของกองกำลังสะท้านภูผาสามารถทำได้ดุดันมากกว่านี้ ผลของการทดลองทหารใหม่ครั้งแรกคงจะดีมาก ปัญหาและความยุ่งยากมากมายคงปรากฏออกมาชัดเจนยิ่งขึ้น
ช่างเถอะ กองกำลังของกลุ่มดาวมังกรสามารถทำได้แค่เพียงนั้น...
ปิงคิดเงียบๆ
ด้วยสัญชาตญาณผู้นำทหารของเขา เขาชอบพิเคราะห์ถึงขั้นตอนต่อไป ปิงกำลังคิด ถ้าพวกเขาฉวยโอกาสบุกกลุ่มดาวมังกร กลุ่มดาวมังกรไม่มีกองทหารอีกต่อไป และผู้ที่เหลืออยู่น่าจะเป็นนักสู้ระดับเซียน
กลุ่มดาวมังกรมีนักสู้ระดับเซียนเพียงคนเดียวและสี่นักรบมังกรของเขา ทรงพลังมาก ข้าจะรับมือพวกเขาได้ไหม? ข้าได้เปรียบในเรื่องกำลังใจกำลังใจของนักรบใหม่กำลังสูงมาก โอว..ด้วยการแบ่งผลตอบแทนในการรบ พวกเขาจะมีพลังเพิ่มขึ้นอีกมาก... ชุดรบของกลุ่มดาวอันโดรเมดายากจะใช้งานภายใต้สายตาของนักสู้ระดับเซียน....
สงสัยจริงกลุ่มดาวมังกรจะมีความสำคัญเพียงไหน...จะสนองตอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไรหลังจากนั้น....
ปิงไม่สนใจมองดูการรบอีกต่อไปและความคิดกระโดดไปถึงแผนการและขั้นตอนต่อไป
และเพราะการรบนั้น ทุกคนตะลึง โดยเฉพาะหวังเย่
หวังเย่สงสัยมานานแล้วว่ามันคงไม่ดีแน่และรีบคลานออกมาจากด้านหลังตะกวดภูผาทันที เมื่อหลงจู้แล้วคนที่เหลือกำลังยุ่งเกินกว่าจะสังเกตสนใจเขาจึงถือเป็นโชคดีของเขา ภายในความสับสน เขาหลุดออกมาได้จริงๆ
“ช่วยข้าด้วย!”
องครักษ์ทั้งสี่คนของหวังเย่ตะโกนกันสุดเสียงทุกคน หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความกลัวเขาเชี่ยวชาญการวางกลยุทธ ไม่มีปัญหาอะไรถ้าเขาจะขยับริมฝีปากกระดกลิ้นสร้างแผนการบางอย่างด้วยความคล่องแคล่ว แต่ด้วยพลังที่อ่อนด้อยของเขาทำให้ติดอยู่ในความวุ่นวายและพูดรายละเอียดอะไรออกมาได้ก็นับว่าเป็นความมหัศจรรย์อย่างแท้จริงแล้ว
องครักษ์ของเขาสี่คนกำลังเผชิญหน้ากับอาโมรี่และสหายและเมื่อทั้งสองฝ่ายเริ่มต่อสู้ฉับพลัน พวกเขาก็ลืมต่อสู้เนื่องจากองครักษ์ทั้งสี่ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือของหวังเย่ พวกเขามีอาการสนองตอบทันที พวกเขาเลิกต่อสู้โดยไม่พูดอะไรและวิ่งตรงไปหาหวังเย่
“พยายามหนีหรือ?” ตาของอาโมรี่เป็นประกายและจากนั้นเขาวิ่งตามคนทั้งสี่อย่างบ้าคลั่ง
ร่างๆหนึ่งพุ่งวาบผ่านเขาไป เป็นหานปิงหนิง!
บรรดาคนทั้งสี่วิชาตัวเบาของหานปิงหนิงเป็นรองแค่ซือหม่าเซียงซานในพริบตานางก็ตามหลังคู่ต่อสู้ทันและชักกระบี่เย็นออกมา
ติง!
เสียงฟังชัดเมื่อฝ่ามือข้างหนึ่งป้องกันปลายกระบี่ของหานปิงหนิงไว้
ปราณแท้แปลกประหลาดแล่นผ่านไปตามปลายกระบี่และเข้าไปในชีพจรหานปิงหนิง นางแค่นเสียงโคจรปรารแท้ที่ดุดันรุนแรงของนางผลักดันแทบจะทันที
ปัง
มีร่างหนึ่งแยกออกไปทันที
จากนั้นหานปิงหนิงจึงเห็นได้ชัดเจนว่าคู่ต่อสู้เป็นใคร ความจริงมันคือขุนพลวิญญาณ แต่ขุนพลวิญญาณนี้แตกต่างจากขุนพลวิญญาณอื่นที่นางเคยพบเห็นมันดูไม่เหมือนมนุษย์แม้แต่น้อย เหมือนกับวิญญาณร้ายในโลกจินตนาการมากกว่า ร่างของมันผอมราวกับไม้ขีดไฟ หัวโตลักษณะน่าเกลียดแขนยาวจนแทบติดพื้น นิ้วทั้งสิบของมันเหมือนกับกรงเล็บนก เล็บแหลมคมดำสนิท
หัวใจของหานปิงหนิงเย็นเฉียบ เป็นครั้งของนางที่เผชิญหน้ากับขุนพลวิญญาณที่ดูพิกลพิการ
ขุนพลวิญญาณจะถูกสร้างขึ้นมาจากจิตวิญญาณยุทธของนักสู้ที่เสียชีวิตไปแล้วดังนั้นจะมีลักษณะของนักสู้ก่อนที่เสียชีวิต เพราะเหตุนั้นขุนพลวิญญาณทั้งหมดที่นางเคยเจอจะไม่มีทางผิดเพี้ยนดูน่าเกลียดเหมือนกับตัวที่อยู่ต่อหน้านาง
องครักษ์อีกสามก็ยังคงเป็นขุนพลวิญญาณของพวกเขาเช่นกัน
ขุนพลวิญญาณอีกสามก็ยังคงมีลักษณะที่แตกต่างออกไป แต่มีลักษณะผิดเพี้ยนน่าเกลียดพอกัน
หลิงซิ่วอยู่บนหลังคากวาดตามองดูหน้าของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “นั่นมันตัวอะไร? ทำไมถึงมีขุนพลวิญญาณที่น่าเกลียดขนาดนั้น?”
อาเฮ่อหรี่ตาและค่อยผ่อนลมหายใจ “สมาคมรวมตระกูล! ข้าไม่เคยนึกเลยว่าพวกเขาจะทำเรื่องที่น่าคลั่งใจอย่างนั้น!”
“สมาคมรวมตระกูล?” หลิงซิ่วมีสีหน้าแตกตื่น
“ใช่”อาเฮ่อมองดูขุนพลวิญญาณทั้งสี่บนพื้นที่ต่อสู้อย่างใจเย็นและพูดต่อ “สมาคมรวมตระกูลคือกลุ่มมหาอำนาจใหม่ก่อตั้งจากการรวมตัวกันของกลุ่มอิทธิพลเล็กๆ พวกเขาทำการค้นคว้าเรื่องที่ต้องห้ามมากมาย และนั่นก็คือการกลืนกินและผสานร่างเข้ากับขุนพลวิญญาณก็คล้ายกับการเลี้ยงแมลงพิษ เพื่อให้ได้รับแมลงพิษที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า พวกเขาจะใส่แมลงพิษทุกชนิดรวมกัน ปล่อยให้พวกมันฆ่ากันเองไปเรื่อยๆ และในที่สุดแมลงพิษตัวที่แข็งแกร่งที่สุดจะเกิดขึ้นมา และนั่นคือการสร้างขุนพลวิญญาณของสมาคมรวมตระกูล”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นขนในตัวของหลิงซิ่วลุกชัน เขาเบิกตากว้างจ้องมองอย่างเหลือเชื่อ “นั่น.. นั่นมันน่ารังเกียจเกินไปแล้ว! ขุนพลวิญญาณไม่ใช่แมลงพิษ!”
อาเฮ่อมีสีหน้าเฉยเมย “ในสายตาพวกเขา พวกมันใช่ พวกเขาเหิมเกริมมากกว่าในอดีตขึ้นทุกที ขุนพลวิญญาณทั้งหมดนี้ ไม่สิ พวกเขาไม่อาจถูกเรียกว่าขุนพลวิญญาณได้อีกต่อไป พวกเขาถูกสร้างโดยผสานขุนพลวิญญาณที่แข็งแกร่งเข้าด้วยกัน ดังนั้นจึงมีรูปลักษณ์ที่แปลกประหลาด”
อาเฮ่อกำด้ามกระบี่แน่นจนนิ้วซีดขาว เขาก้มหน้าพึมพำ น้ำเสียงกลายเป็นหม่นหมอง
“ทำไมจึงต้องกลายเป็นขุนพลวิญญาณ? เพราะพวกเขามีความปรารถนาที่ยังไม่พึงพอใจในอดีตมากเกินไป เพราะชีวิตของพวกเขาสั้นเกินกว่าจะทำฝันให้สำเร็จ ขุนพลวิญญาณทุกตนก็คือการอุทิศและความปรารถนาภายในที่ลึกสุดของนักสู้ ซึ่งพวกเขาไม่ยินยอมแพ้แม้ตายไปแล้ว สิ่งที่เป็นศรัทธาตั้งมั่นอย่างนั้นควรจะได้รับความเคารพ ไม่ใช่เอามาใช้ย่ำยีกันแบบนี้”
ทันใดนั้นมีฝ่ามือข้างหนึ่งตบไหล่เขาอาเฮ่อเงยหน้ามอง
“เสี่ยวเฮ่อ อย่าเศร้าใจไปเลย ด้วยสวะอย่างนั้น ข้าจะใช้หอกทิ่มให้ตายให้หมด! คนที่ไม่ยอมปล่อยไปแม้กระทั่งคนตาย เราก็จะให้พวกมันตายด้วยเช่นกัน! อย่าห่วง เราจะช่วยเจ้า!”
รังสีฆ่าฟันของหลิงซิ่วรุนแรง
หัวใจของอาเฮ่อรู้สึกอบอุ่นและสงบลง“ดูเหมือนกองกำลังสะท้านภูผากรีฑาเข้ามาในกลุ่มดาวหมีใหญ่คงเป็นจะมีสมาคมรวมตระกูลอยู่เบื้องหลังเป็นแน่ ดูเหมือนพวกเขาต้องการฉวยโอกาสจากสถานการณ์และใช้พื้นที่ในการทดสอบ แต่เมื่อพบกับเรา พวกเขานับว่าโชคร้าย”
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!พูดได้ดี! เอ่.. นึกไม่ถึงเลย ซือหม่าเซียงซานร้ายกาจมากจริงๆ”หลิงซิ่วนัยน์เป็นประกาย
ซือหม่าเซียงซานเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวและสังเกตว่าพวกมันวิ่งเข้าไปหาหวังเย่ เมื่อหวังเย่อ้าปากตะโกนขอความช่วยเหลือเขาเป็นคนที่ชิงคลื่อนไหวลงมือก่อน วิชาตัวเบาของเขายอดเยี่ยมเป็นพิเศษ เขามาปรากฏตัวอยู่ข้างๆหวังเย่อย่างเงียบงันและในตอนนั้นองครักษ์ของหวังเย่เพิ่งรู้ตัว
ซือหม่าเซียงซานคว้าหวังเย่ยกขึ้นและพูดเบาๆ“สมรภูมิคือสถานที่วุ่นวาย อย่าเที่ยววิ่งสุ่มสี่สุ่มห้า”
หวังเย่ตกใจกลัวจนหน้าซีดเหมือนกระดาษ ปากของเขาร้อง “อ๊า อ๊า อ๊า” แต่ไม่มีเสียงลอดออกมา
ซือหม่าเซียงซานไม่สนใจและพูดกับองครักษ์ทั้งสี่ “ยอมแพ้ซะ เพื่อชีวิตของเจ้านายพวกเจ้า”
ทั้งสี่ตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกและสูญเสียสิ่งที่จะทำ
“ดูเหมือนว่าพวกเจ้าไม่ชอบและเคารพเจ้านายผู้นี้นะ” ซือหม่าเซียงซานพูดเสียงเลือนรางและมีเสียงดังแครก หวังเย่ร้องโหยหวนดังสุกร หน้าของเขาเปลี่ยน
ซือหม่าเซียงซานหักนิ้วข้างหนึ่งของหวังเย่อย่างคล่องแคล่ว
“บอกมา ถ้าข้าหักนิ้วอีกเก้านิ้วของเจ้านายผู้มีค่าของพวกเจ้าจากนั้นค่อยคืนเขาให้เจ้า นั่นจะดีต่อพวกเจ้าไหม? พวกเจ้าทั้งหมดจะได้หาที่เงียบๆ เพื่อฆ่าเขาไง เฮ้อ.. ต่อสู้เข่นฆ่านำความทุกข์มาให้จริงๆ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นหวังเย่ผู้เจ็บปวดอย่างหนักไม่สามารถทนได้อีกต่อไปเขาหมดสติทันที
องครักษ์ทั้งสี่สีหน้าเปลี่ยนทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของซือหม่าเซียงซาน อย่าว่าแต่อีกเก้านิ้วเลย แค่หักไปนิ้วเดียวก็เพียงพอทำให้เจ้านายเกลียดพวกเขาได้แล้ว ถ้าเจ้านายพวกเขาตายก็ดีไป แต่ถ้าเจ้านายเขารอดวันเวลาในอนาคตของพวกเขาจะต้องหวาดหวั่นน่ากลัวเป็นแน่
“เรายอมแพ้”
สีหน้าขององครักษ์ทั้งสี่ซีดขาว
ด้วยวิธีนั้นซือหม่าเซียงซานคนเดียวสรุปผลต่อสู้ได้หมดทำให้เหลียงซิวผู้ซื่อสัตย์ถึงกับตกตะลึง
ควบคุมองครักษ์ทั้งสี่ได้การต่อสู้ก็แทบสรุปลงได้
ทันใดนั้นกระแสคลื่นพลังงานที่รุนแรงสะท้อนออกมาจากในวัง