ตอนที่ 437 เป้าหมายไขว่คว้า
ผิวของหลงจู้ขาวตาของเขาตี่แคบหางตาชัน ผมยาวประบ่า แม้ว่าเขาจะเป็นบุรุษ แต่เขาก็ยังดูรูปงามเพราะเหตุนั้นเขาจึงได้รับความสนใจจากสุภาพสตรีมากมาย
ในกลุ่มดาวมังกร แซ่หลงถือว่าเป็นสกุลใหญ่ เพราะส่วนใหญ่จะเป็นแซ่ของผู้ปกครองระดับสูงในกลุ่มดาวมังกร ประมาณร้อยละเจ็ดสิบของพวกเขาจะใช้ชื่อสกุลว่าหลง หลงจู้ถือกำเนิดในตระกูลชั้นสูง บิดาของเขาเป็นหนึ่งในสองนักสู้ระดับเซียนในอดีต แต่เขาไม่สนใจการฝึกฝนตั้งแต่เด็กและชอบฝ่าฝืนกฎข้อห้ามเป็นประจำ ก่อเรื่องน่าละอายทุกวัน
มาถึงตอนนี้ทุกคนเศร้าใจและถอนหายใจเอือมระอาเป็นประจำ หลานของนักสู้ระดับเซียนทำตัวน่ารังเกียจเกินกว่าจะไถ่ถอน
บิดาของเขาไม่มีทางเลือกอะไรและรู้สึกหนักใจจึงส่งหลงจู้เข้ากองทัพต้องการให้เขาได้รับรู้ถึงความยากลำบาก แต่ไม่มีใครคาดเลยว่าในช่วงเวลาไม่กี่ปี เขากลับมาที่ตระกูลเหมือนกับเป็นคนละคนต่างจากสภาพปกติของเขา บิดาของเขาดีใจและเริ่มทำงานลับๆต้องการจะผลักดันให้เขาเข้าสู่ตำแหน่งสำคัญ
และในเวลาเดียวกันนั้นอดีตผู้บัญชาการกองกำลังตะกวดสะท้านภูผาได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคประหลาดและพวกเขาไม่มีทางเลือก จำเป็นต้องแต่งตั้งผู้บัญชาการคนใหม่ หลังจากเอาชนะตัวเลือกคนอื่นๆแล้วในก้าวเดียวหลงจู้ก็กลายเป็นผู้บัญชาการกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มดาวมังกร
รูปแบบการพูดจาของหลงจู้ผิดจากคนธรรมดาซับซ้อนและสร้างความโปรดปรานจากจ้าวปกครองกลุ่มดาวมังกรและด้วยความโดดเด่นและนิสัยที่เปิดเผยของเขาทำให้เขาได้รับคำชมเชยจากเจ้าหน้าที่ระดับสูง
วิธีการของหลงจู้เปี่ยมไปด้วยพลังเนื่องจากเขาตัดสินใจอย่างรวดเร็วส่งกองทัพตะกวดสะท้านภูผาทันที
เขาจ้องมองไกลออกไปพร้อมกับความคิดที่แล่นอยู่ในใจ เขาเป็นบุรุษหนุ่มและคุณสมบัติของเขายังตื้นเขินแต่กลับได้นำทัพที่แข็งแกร่งที่สุดของกลุ่มดาวมังกรจึงทำให้เกิดข้อพิพาทมากมาย เขาต้องการชัยชนะเพื่อป้องกันฐานะของตัวเขาเอง
ในช่วงเวลาสองสามวันนี้ความเปลี่ยนแปลงของกลุ่มดาวหมีใหญ่ทำให้เกิดโกลาหลและทำให้กลุ่มดาวมังกรสูญเสีย ในฐานะที่เป็นหนึ่งในกลุ่มดาวขั้วขอบฟ้า กลุ่มดาวหมีใหญ่ถือว่ามีความสามารถในการต่อสู้แข็งแกร่งที่สุด ถ้าว่ากันในแง่ของความสามารถที่ครอบคลุมกลุ่มดาวซิฟิอัสและกลุ่มดาวค้างคาวที่ก่อตั้งสำนักยุทธอมตะถือว่าเป็นอันดับหนึ่งอย่างมิต้องสงสัย กลุ่มดาวหมีใหญ่และกลุ่มดาวมังกรถือว่ายังอยู่ระดับปลายแถวเมื่อเทียบกับพวกเขา
ขณะที่ทั่วทั้งกลุ่มดาวมังกรรู้สึกสูญเสีย หลงจู้ได้รับข้อมูลภายในว่าเยี่ยนหย่งเลี่ยตายแล้วถูชิงตกอยู่ในอันตราย...
หลงจู้รู้ได้ทันทีว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง
ยอดฝีมือของกลุ่มดาวหมีใหญ่พากันออกไปหมดและแผ่นดินของพวกเขาในปัจจุบันนี้ว่างเปล่า ถ้าเขาบุกเข้าไปในเมื่อแผ่นดินว่างเปล่าก็มีความเป็นไปได้มากว่าเขาจะสามารถครอบครองกลุ่มดาวหมีใหญ่ แม้ว่าเขาจะไม่สามารถฮุบเอากลุ่มดาวหมีใหญ่ได้ทั้งหมด แต่ให้เขาได้มาสักสองสามดวงดาวก็ยังถือว่าเป็นความสำเร็จที่ดี
นอกจากนี้ เขายังได้พันธมิตรที่แข็งแกร่งอีกคนหนึ่ง!
“ทั้งหมดนี้ก็พวกปลาเล็กปลาน้อยทั้งนั้น ข้าต้องรบกวนท่านหวังด้วย” หลงจู้คำนับและยิ้มให้บุรุษวัยกลางคน
“ไม่มีปัญหา” บุรุษวัยกลางคนตอบตามปกติ
ท่านหวังเย้ยหยันในใจหลงจู้เป็นคนทะเยอทะยาน ไม่ยินดีจะอยู่ตามลำพังและเนื่องจากวิธีนี้เป็นวิธีจูงใจของเขาและคนอย่างหลงจู้ดูเหมือนจะประมาท แต่ความจริงเขาวางแผนทุกอย่างไว้ละเอียด สำหรับเขา ถ้าท่านหวังไม่โอ้อวดพลัง เขาจะโน้มน้าวใจได้อย่างไร?
ถ้าเขาสามารถโน้มน้าวใจคนอย่างนั้นได้ ก็อาจช่วยเจ้านายของเขาได้มาก หลงจู้ยังเป็นเด็กหนุ่มที่มีตำแหน่งสูงส่ง ศักยภาพในอนาคตของเขาไม่มีขีดจำกัด ถ้าเขาทำได้ถูกต้องมีความเป็นไปได้ว่าเขาจะสามารถกลายเป็นเจ้าปกครองกลุ่มดาวมังกรในอนาคต
ท่านหวังสั่งนักสู้สองสามคนข้างตัวเขา “ไปกำจัดอุปสรรคเหล่านั้นซะ”
“ขอรับ!” นักสู้สองสามคนรับคำและโดดลงไป
องครักษ์สองสามคนรอบตัวหลงจู้มองดูด้วยท่าทางรังเกียจ วิชาตัวเบาของพวกเขาดูไม่แข็งแกร่งเลย พวกเขาไม่สามารถเข้าใจถึงเหตุผลที่เจ้านายของพวกเขาทำข้อตกลงกับคนอย่างนั้น
สีหน้าของท่านหวังยังคงสงบ ดูเหมือนว่าเขาจะเห็นปฏิกิริยาเช่นนั้นมาก่อนและคุ้นเคยอยู่นานแล้ว
เขากำลังคาดหวังจะได้เห็นสีหน้าพวกเขาว่าเป็นเช่นไรกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป
****
ตระกูลซือหม่า
ชิวจื่อจวินรายงาน “กองกำลังตะกวดสะท้านภูผาเข้าสู่กลุ่มดาวหมีใหญ่แล้ว และอีกไม่นานจะได้พบกับถังเทียนและพวก
“น่าเสียดายที่เราไม่สามารถดูการต่อสู้สดๆ ได้ รู้สึกเสียใจจริงๆ” หน้าของซือหม่าเซี่ยวมีแววเศร้าสร้อย นิ้วของเขาคว้าขนมปังอบและโยนเข้าปากอย่างรวดเร็ว
“หวังเย่ประเมินหลงจู้และคนของเขาของเขาว่าแผนการของพวกเขาละเอียดซับซ้อนและความทะเยอทะยานของพวกเขาใหญ่โต” ชิวจื่อจวินจ้องมองซือหม่าเซี่ยว “คนอย่างนั้นแม้ว่าจะแสดงความจงรักภักดีต่อเรา แต่มีแนวโน้มว่าเขาอาจหักหลังเราก็ได้”
ซือหม่าเซี่ยวหัวเราะ “ท่านยังคงนับเอาความซื่อสัตย์ภักดีของเขาด้วยหรือ? ยิ่งทะเยอทะยานมากก็ยิ่งดียิ่งเขาทะเยอทะยานมาก เขาจะต้องลงมือมากขึ้น และด้วยความสามารถของเขา ข้าไม่สามารถขออะไรเพิ่ม ข้าสามารถช่วยให้เขาได้เป็นเจ้าปกครองกลุ่มดาวมังกร แต่การควบคุมล่ะ? ข้าไม่เคยคิดเรื่องนั้นมาก่อน การควบคุมห้าดินแดนขั้วขอบฟ้า สถานที่ยากจนและแตกสลายแบบนั้นข้าไม่เคยต้องการไปที่นั่น”
“นั่นก็หมายความว่า เป้าหมายของเจ้ามีแนวโน้มอยู่ที่ถังเทียน” ชิวจื่อจวินผงะ “พูดถึงเรื่องนี้แล้ว ข้ามักรู้สึกว่าเป็นเรื่องแปลก ถังเทียนไม่เคยมีความขัดแย้งอะไรกับเราเลยพวกเขาสนใจแต่ธุระของตนเอง เราก็คิดของเราเอาเอง ข้าไม่เข้าใจทำไมเจ้ามักจะให้ความสนใจพวกเขาด้วยยิ่งกว่านั้น ยังอาจเข้าขั้นกลัวพวกเขาด้วยซ้ำ”
ซือหม่าเซี่ยวหยุดวางขนมอบในปากและโยนกลับลงไปในจานสีหน้าของเขาจริงจัง “เพราะข้าชักจะกลัวพวกเขามาก”
“กลัวมากหรือ?” ชิวจื่อจวินประหลาดใจ “กลุ่มดาวหมาป่าคือกลุ่มดาวที่ล่มสลายของขอบฟ้าใต้ และกลุ่มดาวอันโดรเมดาก็เป็นแค่กลุ่มดาวแห่งหนึ่งของฟากฟ้าเหนือ ด้วยพลังอำนาจเล็กน้อยขนาดนั้นข้ามองไม่เห็นเลยจริงว่าจะมีค่าอะไรให้เจ้าต้องกลัวถังเทียนมากขนาดนั้น”
ซือหม่าเซี่ยวมีสีหน้าโกรธและหลังจากนั้นชั่วขณะ “ความจริงข้าไม่รู้สาเหตุเช่นกันว่าทำไม แต่ทุกครั้งที่ข้าเห็นถังเทียนหรือได้ยินข่าวเรื่องของเขา ข้ามักจะรู้สึกว่าเขาจะเป็นภัยคุกคามต่อข้าในอนาคต”
นั่นยิ่งเป็นสาเหตุให้ชิวจื่อจวินประหลาดใจมากขึ้นอีก “พลังของถังเทียนนับว่าแข็งแกร่ง ศักยภาพของเขาก็มีมหาศาลและยังเป็นนักสู้ที่มีชื่อเสียง เรื่องนั้นข้ายอมรับ แต่เพราะเจ้ามองเขาในฐานะคู่แข่งข้าไม่เข้าใจเลย”
ชิวจื่อจวินพูดต่อ “ด้วยบุคลิกของเจ้ากลับมองเขาเป็นคู่ต่อสู้ไปแล้ว อย่างนั้นเจ้าคงตัดสินใจเรื่องราวต่างๆ เป็นมั่นเหมาะ ข้าเข้าใจแล้วตอนนี้ หลงจู้คือศัตรูคนหนึ่งที่เจ้าเตรียมไว้ให้ถังเทียนใช่ไหม?”
“ก็อย่างที่ศิษย์พี่คาด!” หน้าของซือหม่าเซี่ยวมีรอยยิ้มที่ไม่มีอันตรายและร่าเริง “เนื่องจากข้ารู้สึกถึงการคุกคาม ข้าจึงต้องมองเขาเป็นคู่ต่อสู้ อันตรายจะคอยคุกคามอยู่เสมอ ดีที่สุดถ้าเขาตาย อย่างนั้นเรื่องราวจะจบลง”
“แล้วถ้าเขาชนะล่ะ?” ชิวจื่อจวินถามทันที
“อย่างนั้นเขาจะตกที่เป็นเป้าสนใจจากทั่วทุกด้าน” ซือหม่าเซี่ยวหยิบขนมหย่อนใส่ปากอีกชิ้น“หลงจู้อาจสามารถชิงกลุ่มดาวหมีใหญ่ได้ แต่สำหรับเขาจะป้องกันเอาไว้ได้หรือไม่นั้น เป็นเรื่องยากจะพูด และถ้าถังเทียนได้กลุ่มดาวหมีใหญ่ไป อย่างนั้นผู้คนรอบตัวเขาจะต้องอิจฉาอย่างแน่นอนเนื้อชิ้นใหญ่ขนาดนั้นใครบ้างไม่ต้องการ?”
“วิธีการของเจ้าอำมหิตจริงๆ” ชิวจื่อจวินขมวดคิ้ว
ซือหม่าเซี่ยวหัวเราะ“ผิดแล้ว, ข้าไม่ใช่คนเลว และมันไม่ใช่เรื่องน่าละอายตราบใดที่ข้าสามารถชนะได้ ถ้าแค่ยุติธรรมและมีเกียรติ ข้าก็จะทำอย่างยุติธรรมและมีเกียรติ นอกจากนี้ข้ายังสนใจขุนพลวิญญาณของถังเทียนมาก ถ้าเราสามารถสร้างขุนพลวิญญาณผู้นำทหารที่ทรงพลังแม้มากกว่าอย่างนั้นก็จะทำให้มีอานุภาพมาก”
“เจ้าตั้งใจจะเข้าร่วมประชุมผู้อาวุโสสำนักหรือไม่?” ชิวจื่อจวินถาม
“เพื่อ?” ซือหม่าเซี่ยวตอบอย่างไม่พอใจ “การทะเลาะถกเถียงกันระหว่างผู้อาวุโสและการพูดคุยเรื่องไร้สาระ มันเสียเวลา โอว พวกเขาแก่เกินไป และแก่จนไม่สามารถตามคนรุ่นใหม่ได้ทัน ถ้าพวกเขาแก่เฉยๆก็ดีอยู่หรอก แต่ถ้าแก่แล้วยังดื้อดึงอีกด้วย นั่นเป็นเรื่องโง่จริงๆ นอกจากนี้ ข้าไม่ชอบคนที่ไม่มีความทะเยอทะยาน”
ชิวจื่อจวินรู้ชะตากรรมของผู้อาวุโสสำนักสองคนและกล่าวทันทีว่า“ในสิบสองที่นั่ง เจ้าก็ได้รับเสียงสนับสนุนไปถึงเก้าแล้วข้าสงสัยว่าทำไมเจ้าถึงไม่รับตำแหน่งประมุขสมาคม”
ซือหม่าเซี่ยวยังคงยัดอาหารใส่ปากต่อไปโดยไม่เงยหน้าขึ้น “ตำแหน่งนั้นมีอะไรดี? มันก็แค่หุ่นเชิดดีๆนี่เอง ข้าไม่ต้องการ ต่อให้เป็นประมุขตระกูลซือหม่าข้าก็ไม่ต้องการอย่าว่าแต่สาขาครอบครัวอื่นเลย ก็ดีพอๆ กับเรา เราสามารถทำอะไรที่ต้องการได้ไม่มีใครปฏิเสธเราและเจ้าสามารถใช้คนอื่นเป็นข้ออ้างได้ เราจะไปหาสิ่งดีๆ อย่างนี้ได้จากไหน?”
ชิวจื่อจวินพูดทันที “เจ้าคิดว่าใครจะชนะ หลงจู้หรือถังเทียน?”
“ข้าไม่รู้” ซือหม่าเซี่ยวส่ายหัว “แต่หวังเย่เอาขุนพลวิญญาณรุ่นล่าสุดของเราไป ข้าสงสัยจริงๆว่าพวกเขาจะทำอะไรได้บ้าง”
ชิวจื่อจวินผงะ “ทักษะของพวกเขายังไม่ครบถ้วนไม่ใช่หรือ?”
“ใช่, ทักษะของพวกเขายังไม่สมบูรณ์ครบถ้วนดังนั้นเราจึงพาพวกเขาไปทดสอบกันสดๆ” ซือหม่าเซี่ยวหยุดทันที และพูดอย่างไม่สบายใจ “เราเสียเวลามากเกินไป ในที่สุดเราได้ขยายยุทธวิธีดั้งเดิมที่มีปัญหามากและหลังจากปรับปรุงขัดเกลาพวกเขามาตลอดทั้งวันเราเสียเวลากับการทะเลาะกันเองภายในไปมาก ถ้าเรามุ่งเน้นในการค้นคว้าขุนพลวิญญาณที่ทรงพลังมากในตอนนี้ เราอาจมีความแข็งแกร่งมากกว่านี้”
“เจ้าคิดว่าเส้นทางนี้สามารถเดินได้หรือ? ขุนพลวิญญาณที่ทรงพลังและนักสู้ผู้อ่อนแอไม่เคยมีผลลงเอยที่ดี” ชิวจื่อจวินเป็นนักสู้ธรรมดาคนหนึ่ง เขาพูดคุยเรื่องขุนพลวิญญาณได้ดีแต่ความจริงเขาไม่ได้ชอบมันเลยและสำหรับสมาคมรวมตระกูลที่เลือกเส้นทางขุนพลวิญญาณ สำหรับเขา เป็นเส้นทางที่เบี่ยงเบนไปแล้ว
“ใครจะรู้” ซือหม่าเซี่ยวมองดูศิษย์ผู้พี่และหัวเราะ “แต่มันคุ้มค่าน่าเสี่ยง นี่เป็นเพียงโอกาสเดียวที่สมาคมรวมตระกูลจะได้ผุดขึ้นมา เทียบกันในเรื่องวิทยายุทธและสมบัติเราไม่สามารถสู้กับสมาพันธ์ชาวยุทธได้เลย เทียบกันเรื่องกองทัพ เรายังไม่อาจสู้ได้กับกลุ่มดาวราชสีห์เทียบกันในเรื่องพลังสายเลือด เราไม่อาจเทียบได้กับองค์การวิญญาณมืด ดังนั้นเราคงจำเป็นต้องได้บางอย่างที่เรียกว่าเป็นของเราเองที่ทำให้เราแกร่งขึ้น แม้ว่าเราเดินอยู่ในเส้นทางที่มิอาจรู้ได้ แต่อย่างน้อยจากที่เห็นตอนนี้เป็นเส้นทางที่เป็นไปได้มากสุด
“ความจริง เหมือนกับเจ้าไม่ต้องการคุกเข่าต่อหน้าพวกเขาใช่ไหม ต่อให้เป็นสมาพันธ์ชาวยุทธ,องค์การวิญญาณมืดหรือกลุ่มดาวราชสีห์ เจ้าก็ยังไม่ยินดีก้มศีรษะให้พวกเขา”ชิวจื่อจวินพูดเฉยชา “อาจารย์บอกว่านิสัยของเจ้ามากไปด้วยความภาคภูมิใจ ท่านพูดถูกจริงๆ”
ซือหม่าเซี่ยวหัวเราะ “ในที่สุด มนุษย์เราก็ต้องมีเป้าหมายให้ไล่ตาม”