ตอนที่ 436 มังกรบุก
“พวกคนเหล่านี้ทั้งหมดรับมือได้ยากมาก” ถังเทียนหน้ามุ่ย สีหน้าของเขาดูหงุดหงิด “พวกเขารู้ว่าพวกเขาจะต้องตาย แต่ก็ยังพยายามอย่างหนักนับว่าพวกเขาแข็งแกร่งทรงพลังจริงๆ”
อีกสองคนมีท่าทางเหนื่อยปรากฏอยู่บนใบหน้า แต่ก็ยังมีเรี่ยวแรงพยักหน้าเห็นด้วย
พวกเขาพบกับการขัดขวางนับไม่ถ้วนนักสู้ทุกคนอ่อนแอกว่าพวกเขาต่างกรูกันเข้ามาดุจสายน้ำโดยไม่คำนึงถึงชีวิตพวกเขาเอง ทั้งสามคนเข่นฆ่ามาตลอดทางอดทนจนกระทั่งมาถึงวัง
เมื่อเห็นลำแสงยิงขึ้นไปในท้องฟ้าจากวังหมีใหญ่ ทั้งสามคนมีสีหน้าเคารพให้เกียรติ
“วีรบุรุษที่ควรแก่การเคารพ” อาเฮ่อมองลำแสงพึมพำ “เพื่อกลุ่มดาวของเขา เพื่ออนาคต เขายอมเสียสละตนเอง และเราเตรียมจะทำลายการเสียสละสุดท้ายของเขา มันช่างว้าวุ่นใจจริงๆ”
หลิงซิ่วส่ายศีรษะและกล่าว “เพื่อกลุ่มดาวหมีใหญ่เขาสามารถละทิ้งทุกอย่างและทุ่มเททุกอย่าง นั่นนับเป็นวีรบุรุษที่แท้จริงในฐานะที่เป็นศัตรูของเขา เราทำได้เพียงสู้สุดกำลังที่เรามี ขอเพียงละเว้นทุกอย่างเราจะสามารถคว้าชัยชนะนี้ได้ วีรบุรุษตายในสนามรบอาจจะรู้สึกเสียใจแต่ไม่รู้สึกผิด”
ทั้งสามคนสีหน้าจริงจังเป็นการให้เกียรติเยี่ยนหย่งเลี่ย
“ปล่อยข้าเอง” ถังเทียนกล่าว พลังดวงดาวของกลุ่มดาวหมีใหญ่ในร่างของเขามีหนาแน่นที่สุด และเขารู้สึกใกล้ชิดกับกลุ่มดาวส่วนใหญ่นอกจากทั้งสามคนแล้ว มีเพียงเขาที่สามารถตัดสินใจเรื่องการเผาผลาญของดวงดาว
ถังเทียนยื่นฝ่ามือออกไปสัมผัสลำแสงมีความรู้สึกเหมือนกับว่าเขาสัมผัสไฟ เปลวเพลิงที่ร้อนแรงทำให้เขาต้องการถอยหลัง แต่เขาฝืนกระตุ้นตัวเอง ไม่ว่าต้องทุ่มเทเท่าใด เขาจะต้องยื่นมือเขาเข้าไปในลำแสงให้ได้
พลังดวงดาวในร่างของเขาทะลักออกมาด้านนอก
เขารู้สึกว่าเหมือนอยู่ในทะเลเพลิง ความรู้สึกนั้นคุ้นเคยมากเหมือนกับว่าเขาสามารถเห็นเข้าไปในส่วนลึกของวัง ภายในทะเลเพลิงยังคงมีการเผาไหม้จิตวิญญาณยุทธต่อเนื่อง
จิตวิญญาณยุทธยังคงปลดปล่อยพลังต่อสู้ที่ประหลาด ปณิธานสู้หนาแน่นมากจนเกิดเป็นเปลวไฟรอบๆ
“ท่านแพ้แล้ว” ถังเทียนพูดดังๆกับจิตวิญญาณยุทธที่วิวัฒนาการไปเป็นเปลวเพลิง “ข้าชื่นชมปณิธานต่อสู้ของท่าน แต่ทุกอย่างจบแล้ว!เลือดไม่ควรเสียไปกับการต่อสู้ที่ไร้ความหมายกลุ่มดาวหมีใหญ่ไม่ควรถูกทำลายอย่างนี้”
ร่างที่พลิ้วไหวมีเปลวไฟห่อหุ้มยังคงยืนนิ่ง และปณิธานสู้ที่รุนแรงระเบิดออกมา
“ข้าไม่รู้ว่าจะโน้มน้าวให้ท่านหยุดการสันดาปภายในได้อย่างไร แต่ถ้าท่านไม่ยอมแพ้ ข้าจะสู้กับท่านเอง” ถังเทียนพูดช้าๆ “ข้าจะไม่ยอมให้กลุ่มดาวหมีใหญ่ถูกทำลาย ปิงและคนที่เหลือทำได้ดีกว่าท่านเสียอีก แม้ว่ากลุ่มดาวหมีใหญ่จะไม่ใช่กลุ่มดาวที่ท่านปกป้องอยู่เสมอก็ตาม”
พลังดวงดาวในตัวถังเทียนเริ่มหมุน
พลังดวงดาวสีทองและหนาแน่นเปลี่ยนไปเป็นวังวนพลังสีทองและดูดกลืนพลังดวงดาวรอบตัวเขาอย่างบ้าคลั่ง
เปลวเพลิงที่ลุกโชนไหลเข้ามาในตัวของถังเทียน
ตัวถังเทียนปลดปล่อยพลังกระแทกกระทั้นและมีเสียงวิ้งๆดัง เสื้อผ้าบนตัวเขามอดไหม้จนเหลือแต่เถ้าถ่านและลำแสงหมองลง
ถังเทียนยังคงใจเย็นการสันดาปของพลังดวงดาวเหมือนกับสัตว์ร้ายที่สูญเสียความควบคุม กระบวนการความคิดของถังเทียนนั้นง่ายการดูดซับพลังดวงดาวเข้ามาในร่างของเขาโดยใช้พลังดวงดาวภายในร่างของเขาข่มมันให้เชื่องเชื่อและเปลี่ยนสภาพของมัน สมบัติชั้นเซียนของกลุ่มดาวหมีใหญ่ยังไม่ได้อยู่ในมือของเขายังดีที่ในตัวเขามีพลังดวงดาวถึงหนึ่งในสาม
แต่...มันเจ็บปวดมาก..
เขารู้สึกถึงทะเลเพลิงก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้ เขารู้สึกเหมือนกับว่าร่างของเขาเป็นเตาเผา และเขาต้องการทำให้ผิวของเขาแข็ง และพยายามอย่างหนักเพื่อแปลงพลังสันดาปดวงดาว
หลิงซิ่วและอาเฮ่อยืนคุ้มกันอยู่ข้างตัวเขา พวกเขาคอยป้องกันมิให้ใครๆต้องการเข้ามาทำร้ายถังเทียน
ถังเทียถูกหุ้มอยู่ในพลังดวงดาวที่ลุกโชน เข้าไปในลำแสงเขากำลังสั่นอย่างต่อเนื่องเหมือนกับว่าสามารถล้มลงได้ทุกเมื่อ
“เจ้าบ้านี่ระห่ำจริงๆ” หลิงซิ่วไม่สามารถทนต่อไปได้และพูดออกมา “เขาสามารถทนอยู่ได้โดยไม่ระเบิด!”
“ใช่แล้วจอมห้าวถังมีพื้นฐานที่ไม่ธรรมดา” อาเฮ่อพยักหน้า “ข้าเพียงแต่ไม่สามารถนึกออกได้เลยว่าพลังเส้นชีพจรไหนที่สามารถทนต่อพลังดวงดาวหมีใหญ่ขนาดหนึ่งในสามไว้ได้ น่าเสียดายมารดาของจอมห้าวถังเสียชีวิตไปนานแล้ว ถ้าไม่อย่างนั้นคงไม่ปล่อยให้ยุ่งยากแน่”
เมื่อพูดถึงตอนนั้นหัวใจของเขาอดพลุกพล่านมีอารมณ์มิได้ เขานึกถึงตนเอง บิดาของเขาจากไปเร็ว ทิ้งบาดแผลลึกไว้ในใจของเขา วัยเด็กของเขาต้องติดอยู่กับความเดียวดายและความมืดมิดอยู่หลายปี
และเขายังคงมีมารดาของเขา..
อาเฮ่อไม่สามารถนึกถึงชีวิตของถังเทียนออกหลังจากที่มารดาของเขาเสียชีวิตไปแล้ว
อาเฮ่อพูดอย่างนุ่มนวล “สำหรับเขาเป็นอย่างนี้ในตอนนี้ เขาต้องผ่านเรื่องราวมาหลายอย่าง”
หลิงซิ่วเม้มริมฝีปากและยิ้มอย่างไม่เห็นด้วย “ถ้าไม่เล่า? จะรำพันต่อฟ้าและก่นด่าโลกหรือ? ร้องไห้เสียใจทุกวัน อย่างน้อยพวกเจ้าก็ยังมีพ่อแม่ ข้ายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อแม่ข้าเป็นใครแต่ข้าก็ยังไม่ปรารถนาจะรู้”
อาเฮ่อตะลึง
สายตาของหลิงซิ่วเหม่อมองกว้างไกลใบหน้าที่ภูมิใจของเขาสงบไม่มีเปลี่ยนแปลง “เมื่ออาจารย์ข้าตาย ข้าอายุสิบเอ็ดปี ข้าลำบากอย่างหนักและจากนั้นกลายเป็นสิ้นหวังและท้อแท้ ข้าต้องการจะแก้แค้นให้อาจารย์ แต่ข้ารู้ว่าข้ายังไม่สามารถทำได้ พรสวรรค์ของข้าก็เพียงอย่างนั้นๆสภาพร่างกายของข้าย่ำแย่ ข้ายังไม่อาจทำให้อาจารย์พอใจได้ แต่ศัตรูของข้าเป็นคนที่อาจารย์ยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะ เมื่อหัวใจของเจ้าเต็มไปด้วยความเกลียดชัง แต่เจ้าก็รู้ ต่อให้เจ้าฝึกเป็นร้อยปี เจ้าก็ไม่สามารถเอาชนะศัตรูของเจ้าได้ และเจ้าก็รู้ว่า แม้แต่อาจารย์ของเจ้าก็ไม่ปรารถนาให้เจ้าล้างแค้นเพราะเขารู้ว่าเจ้ายังแย่กว่าศัตรูของเขา เขาไม่ต้องการให้เจ้าเอาชีวิตไปทิ้งความสิ้นหวังนั้นมันน่ากลัวมากกว่าความเจ็บปวดและเสียใจ”
“ข้าบอกตัวเองข้าต้องไปจากที่นี้ จากไปเพื่อที่ว่าข้าจะไม่ต้องทนทุกข์ต่อไป และข้าจากไป มันกะทันหันข้าไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน ดังนั้นข้าได้แต่เดินดุ่มๆ ข้าเดินไปเรื่อยๆใครจะรู้ว่าข้าเดินไปไกลแค่ไหน และข้าไม่รู้ว่าข้าอยู่ที่ไหน เมื่อข้าหิว ข้าจะฆ่าอสูรดวงดาว เมื่อข้ากระหาย ข้าจะมองหาแหล่งน้ำ ข้าฆ่าขโมยมาหลายคนจนกระทั่งผู้อาวุโสตระกูลกู้พบข้าและคิดว่าข้าเป็นคนป่าเถื่อน”
“ศพเดินได้ เจ้ารู้จักไหม?นั่นแหละคือสิ่งที่ข้าเป็น” หลิงซิ่วเบะปาก เขาอยากยิ้มแต่กลับดูน่าเกลียดกว่าร้องไห้ “ความจริงผู้อาวุโสตระกูลก็ดีต่อข้า และให้ทุกอย่างที่ข้าต้องการถ้าข้าไม่พบกับจอมห้าวถังถ้าข้าไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับกู้เสวี่ยซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเกลียดมากข้าก็ยังคงเป็นเหมือนผีดิบตนหนึ่ง”
อาเฮ่อมองดูหลิงซิ่วอย่างว่างเปล่า
“แต่เจ้าพูดถูกเจ้าห้าวถังแข็งแกร่งมากจริงๆถ้าไม่ใช่เพราะเขา ข้าคงไม่รู้เรื่องทุกอย่างด้วยตัวเอง” หลิงซิ่วกำหมัดแน่น “เฮ้อแต่ในที่สุดข้าก็เข้าใจ!ความสิ้นหวังทั้งหมดไม่ได้ถูกกำหนดโดยชะตากรรม มันคือบางสิ่งที่เจ้าบอกกับตัวเอง! ถ้าเจ้าบอกตัวเจ้าเองว่าพรสวรรค์ของเจ้าธรรมดาและไม่สามารถไล่ตามคนอื่นได้ตลอดไป เจ้าพร่ำบอกตัวเองว่าเจ้าน่าสงสารและเศร้าเฮ้อ..อย่างนั้นเจ้าก็จะตาย เจ้าเท่ากับขุดหลุมฝังศพตัวเอง ข้าไม่ต้องการเช่นนั้น!”
“ใจของข้าเต็มไปด้วยความเกลียด ข้าต้องการแก้แค้น! แม้ว่าข้าจะโง่เหมือนหมู ข้าก็จะคลานและคลานไปหาเจ้าคนชั่วนั่น! ถ้าข้ามีชะตากรรมต้องตาย อย่างนั้นข้าก็ต้องการตายด้วยหอกของคนผู้นั้น! ไม่ว่ายังไง ข้าจะไม่ขุดหลุมฝังศพตัวเองแน่นอน
อาเฮ่อตะลึงมองดูท่าทางที่น่ากลัวและดุร้ายของหลิงซิ่ว
หลิงซิ่วกลับสู่ความสงบและหันหน้ามาจากนั้นก็พึมพำกับตนเอง “ข้าคิดว่าเป็นเรื่องกล้าหาญความจริงข้าได้เรียนรู้เรื่องนั้นจากเด็กหนุ่มจอมห้าวและเป็นเวลาสองสามปีข้าได้ใช้ชีวิตเหมือนสุนัขตัวหนึ่ง”
อาเฮ่อตะลึงสิ้นเชิง เขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไร
หลิงซิ่วแตะคิ้วของเขา ใบหน้าเขามีท่าทีไตร่ตรอง “เอ๋? นั่นยังไม่ทรงพลังหรือ?เจ้าได้ผ่านการไถ่บาปโดยได้ยินคำพูดของข้าแล้วใช่ไหม?”
อาเฮ่อพูดไม่ออก
จากนั้นหลิงซิ่วพูดเรื่องที่น่ารำคาญ “ไม่ว่าเจ้าต้องการจะพูดอะไรก็พูดออกมาไม่ต้องกระบิดกระบวนมากได้ไหม? มันน่ารำคาญ”
“งั้น...ข้าจะต้องพูดจริงๆหรือ?” อาเฮ่อถามอย่างสงสัย
“พูด!”
“คะ..ความสิ้นหวังนั้น เสี่ยวซิ่วซิ่ว..พรสวรรค์เจ้ามันจะแย่ได้ยังไง?” อาเฮ่อถามด้วยความเห็นใจ
หน้าของหลิวซิ่วโกรธทันที เขาหันหน้าควับทันที อาเฮ่อสามารถมองเห็นเส้นเลือดปูดโปนบนหน้าผากของหลิงซิ่ว เขารีบเตือนทันที “เฮ้ เฮ้ เฮ้ เจ้าบังคับให้ข้าพูดเองนะ...”
“ตัวแสบ! เจ้าตายซะเถอะ!” หลิงซิ่วระเบิดอารมณ์โกรธ
ทันใดนั้น ทั้งสองคนหยุด
“มีบางคนจะฉวยโอกาสเอาเปรียบเราหรือ? เทพไท้ส่วยทรงรู้สรรพสิ่ง เขาไม่ต้องการชีวิตหรือไง”หลิงซิ่วขมวดคิ้วและหัวเราะอย่างชั่วร้าย
“ไปดูกันเถอะ” อาเฮ่อเสนอ
ทั้งสองคนเคลื่อนไหว กระโดดขึ้นไปที่สูงบนวังมองหาพื้นที่สูงสุดและมองไกลออกไป
บนพื้นที่ราบเป็นกลุ่มกองทัพคดเคี้ยวกำลังเดินหน้า แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ไกล แต่เสียงสั่นสะเทือนก็สามารถได้ยิน
“ตั้งขบวนรบเสียใหญ่โต” หลิงซิ่วเย้ยหยัน รังสีฆ่าฟันท่วมท้น
“น่าสนใจ” อาเฮ่อยิ้มอย่างสุภาพ
ในที่ห่างไกลออกไปกองกำลังใหญ่ซึ่งเป็นกองทัพที่สร้างจากตะกวดสะท้านภูผา ตะกวดสะท้านภูผาเป็นสัตว์ประหลาดที่พบอยู่ในกลุ่มดาวมังกรเท่านั้น มันเป็นสัตว์ประเภทสายธาตุดินมีร่างกายใหญ่โตสูงเกินหกเมตรและยาวเกินยี่สิบเอ็ดเมตร มันดูเหมือนกับภูเขาที่เคลื่อนไหวได้ พวกมันแข็งแกร่งทรงพลัง แต่ร่างกายใหญ่โตของพวกมันเทอะทะ ตะกวดสะท้านภูผาเชื่อง แต่กล้าหาญในการรบมาก บนหน้าผากของมันมีเขาสั้นแต่แข็ง ตะกวดสะท้านภูผาไม่ว่าระดับใดก็สามารถชนปะทะกับภูเขาได้ง่าย
กองทัพสะท้านภูผาของกลุ่มดาวมังกรมีชื่อเสียงมาก
ที่ด้านหน้าสุดเป็นตะกวดสะท้านภูผาที่ตัวใหญ่กว่าตัวอื่นๆบนหลังของมันมีศาลาเก๋งจีนที่คลุมม่าน ได้ยินเสียงบรรเลงเพลงลอยมาตามลม
หลงจู้มองผ่านม่านไม้ไผ่ และเห็นลำแสงที่ยิงตรงขึ้นท้องฟ้าจากวังหมีใหญ่ซึ่งอยู่ไกลออกไปและอุทานออกมา “เยี่ยนหย่งเลี่ยเป็นผู้ปกครองของรุ่นนี้ แต่ข้าไม่คาดไม่ถึงเลยว่าเขาจะพลาดท่าในสถานการณ์เช่นนี้ ในพริบตาเดียวกลุ่มดาวหมีใหญ่กำลังจะล่มสลาย ช่างน่าเศร้าจริงๆ”
หลงจู้เท้าเปล่านั่งอยู่กับพื้นชุดของเขาหลวมใหญ่ ผมดำยาวประบ่า ที่ด้านข้างมีหญิงงามคอยพัดโบกให้อย่างนุ่มนวล
“ถูกแล้วความสุขจะพบได้ในที่เจริญรุ่งเรือง และความตายจะพบได้ในที่ประมาท” ที่อยู่ต่อหน้าเขาเป็นบุรุษวัยกลางคนถอนหายใจอย่างต่อเนื่อง “ไม่มีราชวงศ์ใดที่ไม่พ่ายแพ้ภายใต้สวรรค์นี้ ทุกราชวงศ์ที่แข็งแกร่งอย่างเช่นราชวงศ์แมงป่องก็ยังสูญสลายเหลือแต่เถ้าถ่าน น่าเสียดายสำหรับกลุ่มดาวหมีใหญ่”
หลงจู้ยกแก้วเหล้าและดื่ม เขาพูดด้วยอาการมึนเมาเล็กน้อย“เยี่ยนหย่งเลี่ยเป็นวีรบุรุษ แต่สิ่งที่น่าเสียดายที่สุดคือไม่สามารถได้สู้กับถูชิงกองทัพพญาหมีได้รับการยกย่องว่าเป็นกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดของกลุ่มดาวขั้วขอบฟ้าไม่สามารถได้เจอกันนับว่าน่าเสียดายจริงๆ”
“เมื่อเราโค่นล้มกลุ่มดาวหมีใหญ่ได้ ทำไมท่านกังวลเรื่องจะไม่มีศัตรูด้วยต้าหลง? เรื่องต้าหลงสามารถฆ่าคนได้นั่นจะทำได้มากกว่านี้” บุรุษวัยกลางคนหัวเราะ
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”หลงจู้หัวเราะลั่น “พูดได้ดี ข้าต้องปรับตัวเอง ดื่มอีกหนึ่งจอก”
เขาชูแก้วเหล้าและดื่มลงคอแล้วหัวเราะลั่น “หลังจากศึกนี้เราจะไปสนุกกันและดื่มกันให้เต็มที่”
“ดี!” บุรุษวัยกลางคนลุกขึ้นยืน
สายลมพัดม่านและลำแสงที่เห็นอยู่ในระยะไกลเริ่มสั่นทันทีทำให้หน้าของหลงจู้เขียวคล้ำชะงักการหัวเราะทันที
“ไม่เคยนึกเลยว่ายังจะมีคนที่เดินเท้ามาถึงก่อน น่าสนใจ น่าสนใจจริงๆ”