Chapter 41 : ป่าไร้เสียง
โจวเฉินตื่นขึ้นมาอีกครั้งในตอนเช้า
เขารีบจัดการสวมใส่ชุดพลางกายในทะเลทรายที่ได้รับมาจากภารกิจเซอร์ไววัลครั้งที่แล้วอย่างรวดเร็วและเปลี่ยนไปใช้รองเท้าคอมแบทแบบสั้นที่ซื้อมาเมื่อวานแทนรองเท้าคู่เก่า หลังจากอาบน้ำล้างตัวและกินขนมปังกับนมแล้วเขาก็หยิบหน้ากากสีดำขึ้นมาสวมและนั่งลงบนโซฟาในห้องนั่งเล่นของห้องเช่าห้องใหม่เพื่อรอเวลา
เขากำลังรอให้ภารกิจเซอร์ไววัลครั้งใหม่เริ่มต้นขึ้น
เขาเปิดหน้าต่างระบบขึ้นมาดูอย่างใจเย็น ไม่นานนักก็พบว่าในช่องเก็บของของเขามีธนบัตรของจักรวรรดิมังกรเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย
“ไม้ตะบองกระบองเพรชถูกขายออกไปแล้ว ตอนนี้เรามีเงินเก็บอยู่ราวๆ180000ขาดอีกแค่นิดเดียวก็น่าจะพอจ่ายค่าภาษีได้แล้ว”
ขณะที่กำลังคิดสะระตะไปเรื่อยอยู่นั้นภารกิจเซอร์ไววัลที่เขากำลังเฝ้ารอก็ปรากฏ
[ภารกิจเซอร์ไววัลกำลังจะเริ่มต้นขึ้น โปรดเตรียมตัวให้พร้อม]
[ทำการเคลื่อนย้าย...]
[ป่าไร้เสียง]
[ระดับความยาก : ทองแดงขั้นต่ำ]
[ภารกิจ : เอาชีวิตรอดในป่าแห่งนี้ให้ได้7วัน]
[คำแนะนำ : การสังหารมอนสเตอร์ที่นี่จะได้รับไอเทมดร็อปพิเศษ]
หลังจากมึนงงอยู่ซักพักโจวเฉินก็พบว่าตัวเองถูกส่งมาอยู่ในป่าที่ค่อนข้างทึบแห่งหนึ่ง ร่างของเขากำลังเอนพิงอยู่กับลำต้นของต้นไม้ที่มีความหนาเท่าตัวคน กิ่งก้านและใบของพวกมันทั้งมีขนาดใหญ่และมีสีดำขลับ
แสงสว่างที่ส่องลงมาไม่อาจผ่านแมกไม้ลงมาได้ทำให้ป่าแห่งนี้ค่อนข้างมืดสลัว ด้านข้างต้นไม้หลายต้นที่อยู่ใกล้ๆกันนั้นเขาสังเกตุเห็นว่ามีคนอื่นๆอยู่อีก5คน 4คนในนั้นเป็นบุรุษขณะที่อีกหนึ่งเป็นสตรี
คนที่อยู่ใกล้กับเขาที่สุดมีอายุราวๆ25ปีเห็นจะได้ ชายผู้นี้สวมใส่อยู่ในชุดทหารสีเขียวสว่างและกำลังตรวจสอบสภาพแวดล้อมกับเซอร์ไวเวอร์คนอื่นๆด้วยท่าทีจริงจัง
คนที่สองที่อยู่ใกล้เขาที่สุดเป็นชายหนุ่มรูปร่างกำยำ เขาสวมใส่หน้ากากหน้ายิ้มสีขาวที่มีลวดลายพื้นหลังสีดำ ดูจากแววตาที่ปรากฏผ่านทางรูดวงตาบนหน้ากากแล้วก็สามารถบอกได้เลยว่าแววตาของชายคนนี้ค่อนข้างสงบนิ่งไม่น้อย
คนที่สามเป็นหญิงสาวที่มีอายุราวๆยี่สิบปีมาพร้อมกับผมหางม้ายาวสลวย เธอสวมใส่ชุดหนังสีดำและมีร่างกายดูแข็งแรงทรงพลัง เมื่อโจวเฉินมองไปที่อีกฝ่ายเธอก็จ้องตอบกลับมาทันควัน
ชายอีกสองคนที่เหลือค่อนข้างพิเศษกว่าคนอื่นๆ พวกเขาเป็นเพียงชายหนุ่มเท่านั้น หนึ่งในนั้นสวมใส่ชุดโค้ทยาวสีขาวดูราวกับแพทย์หรือนักวิทยาศาสตร์ ส่วนอีกคนนั้นใส่เพียงกางเกงนอนขาสั้นเพียงเท่านั้น ชายผู้นี้กำลังยืนเปลือยเปล่าตัวสั่นอยู่ใต้ต้นไม้
“แค่กๆ....”
ชายหนุ่มกางเกงในเป็นคนแรกที่ส่งเสียงทำลายความเงียบขึ้นมา
“ใครพอมีเสื้อผ้าให้ยืมบ้างไหม? หรือพวกเสื้อกันหนาวก็ดี”
เขามองไปยังเซอร์ไวเวอร์อีกห้าคนที่เหลือแล้วกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงกระอักกระอ่วน
“ปัญหาของนายนายก็ต้องจัดการเอง ไม่มีใครอยากจะจ่ายให้กับความโง่ของคนอื่นหรอก”
ในตอนที่อีกฝ่ายร้องขอออกมาชายในหน้ากากหน้ายิ้มก็ตำหนิออกมาตรงๆแบบขวานผ่าซาก ฟังจากน้ำเสียงแล้วเขาน่าจะเป็นผู้ชายที่อายุไม่เกิน30
“เฮ้อ....เอาเถอะครั้งนี้ฉันโง่จริงๆนั่นแหละ ฉันลองปรับแต่งเสื้อผ้ากับรองเท้าเพื่อหลอกระบบดูแต่กลับจบลงในสภาพแบบนี้ซะงั้น...”
เมื่อถูกชายใส่หน้ากากตำหนิชายหนุ่มกางเกงก็ถอนหายใจออกมาราวกับเย้ยหยันตัวเองและอธิบายเหตุผลที่ตัวเขามาอยู่ในสภาพนี้ด้วยรอยยิ้มแห้งๆ
“นายอยู่ในสภาพนี้เพราะอยากทดสอบระบบงั้นหรอเนี่ย? จิตวิญญาณนักสู้ไม่เลว”
ชายหนุ่มในชุดโค้ทสีขาวที่อยู่ใกล้กับชายหนุ่มกางเกงในที่สุดยิ้มให้กับเขา
“ฉันขอแนะนำให้นายใช้วัตถุดิบที่มีที่นี่อย่างบวกใบไม้มาทำเป็นชุดแบบง่ายๆใช้ซะ”
“แนะนำได้ดี! ขอบใจมาก!”
กระบี่เล่มหนึ่งปรากฏขึ้นมาในมือของชายหนุ่มกางเกงใน เขาหมุนกายและเดินเข้าไปในป่าลึกพร้อมกับพึมพำออกมา “ทำไมที่นี่มันหนาวจังวะ? เชี่ยเอ๊ยบนพื้นมีหนามซะด้วยสิ”
เมื่อชายหนุ่มกางเกงในจากไปแล้วชายใส่หน้ากากก็เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง
“ไอ้โง่นั่นไปแล้ว ส่วนพวกนายที่เหลือก็ดูเหมือนจะพึ่งพาได้ มาคิดกันดีกว่าว่าเราจะเอาตัวรอดในช่วง7วันนี้ยังไงดี”
“พวกเราต้องตรวจสอบสภาพแวดล้อมรอบๆก่อนเพื่อหาแหล่งน้ำ จากนั้นค่อยสร้างที่หลบภัยใกล้ๆกับแหล่งน้ำแล้วก่อไฟ ไม่อย่างนั้นร่างกายของพวกเราจะเกิดอาการขาดน้ำหรืออุณหภูมิลดต่ำเอาได้”
ชายหนุ่มในชุดโค้ทสีขาวกล่าวตอบชายใส่หน้ากากเป็นคนแรก
“ฉันรู้วิธีใช้กิ่งไม้ก่อไฟแต่ในสภาพแวดล้อมชื้นๆแบบนี้คงต้องใช้เวลาไม่น้อยเลยกว่าจะจุดติด”
ชายในชุดทหารสีเขียวสว่างกล่าวขึ้นมา
“ฉันมีไฟแช็ก”
โจวเฉินยกมือขึ้นมาโชว์ไฟแช็กขนาดเล็กในมือให้คนอื่นๆเห็น
สำหรับภารกิจเซอร์ไววัลครั้งนี้เขาวางแผนว่าจะลองร่วมมือกับคนพวกนี้และหาทางรอดในช่วงเจ็ดวันอันยาวนานนี้ดู
“มีไฟแช็กด้วย? ไม่เลวๆ”
“เอาล่ะทีนี้ไฟก็ไม่ใช่ปัญหาแล้ว”
ดวงตาของคนอื่นๆเปล่งประกายขึ้นมาเมื่อเห็นไฟแช็ก สิ่งนี้เป็นอะไรที่มีประโยชน์เป็นอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมเช่นนี้
“ถ้างั้นพวกเราควรจะออกไปตรวจสอบสภาพแวดล้อมเลยดีไหม? จะแยกกันไปหรือไปด้วยกันดีล่ะ?”
หญิงสาวผมหางม้าในชุดหนังที่ยืนเงียบมาโดยตลอดเอ่ยขึ้นมา เจ้าหล่อนหยิบทวนยาวที่ดูคล้ายกับง้าวมังกรเขียวของกวนอูออกมาและแทงลงไปบนพื้นก่อนจะกวาดสายตามองผ่านเซอร์ไวเวอร์อีกสี่คนที่เหลือ
“พวกนายแยกกันไปสองกลุ่มกลุ่มละสองคนส่วนฉันจะแยกไปคนเดียว แต่ละกลุ่มในแยกย้ายกันไปสำรวจคนละทิศทาง อ่อนับรวมทิศทางที่เจ้าโง่นั่นไปด้วย”
ชายสวมหน้ากากหน้ายิ้มตอบ
“อีกชั่วโมงนึงมารวมกันที่นี่แล้วกันนะ? ตกลงไหม?”
ดวงตาใต้หน้ากากกวาดมองอีกสี่คนที่เหลือ
“ช่วงโมงนึงน่าจะน้อยไปหน่อย อีกสองชั่วโมงค่อยมาเจอกันดีกว่า พวกเรารวมกลุ่มกันสำรวจคงสำรวจได้แค่ไม่กี่เส้นทางหรอกดังนั้นแยกกันไปคนละทางดีกว่า”
โจวเฉินรู้สึกว่าทำอะไรก็ต้องให้มันมีประสิทธิภาพหน่อยดังนั้นเขาจึงเอ่ยเสนอแนะขึ้นมา
“ถ้าไปคนเดียวแล้วเจอมอนสเตอร์เข้าจะยิ่งอันตราย ยังไงก็ตามถ้าอิงจากรูปแบบปกติของระบบแล้ววันแรกก็น่าจะยังปลอดภัยอยู่พอสมควร”
ชายหนุ่มในชุดโค้ทสีขาวแม้จะฟังดูเหมือนเขาไม่ค่อยเห็นด้วยกับข้อเสนอของโจวเฉินแต่สุดท้ายเขาก็ยอมรับไอเดียนี้
“ถ้างั้นก็สองชั่วโมงแล้วกัน ส่วนจะรวมกันหรือจะไปคนเดียวก็ตามสบาย สำรวจให้ไวและตรวจสอบหาพื้นที่สำหรับสร้างที่หลบภัยกันด้วย”
ชายหน้ากากหน้ายิ้มกล่าวก่อนจะหมุนกายจากไป พริบตานั้นมีดเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาในมือของเขา ในทุกๆย่างก้าวของอีกฝ่ายเขาจะใช้มีดทิ้งรอยสัญลักษณ์เอาไว้บนลำต้นของต้นไม้ด้วย
โจวเฉินเองก็หมุนกายจากมาเช่นกัน เขาวางแผนว่าจะสำรวจคนเดียวเพราะเขาชินกับแบบนี้มากกว่า
ยังไงก็ตามเขาเดินออกไปได้ไม่กี่ก้าวแผนที่วางไว้ก็ต้องพังพินาศ หญิงสาวผมหางม้าที่ถือง้าวในมือกลับเดินตามเขามาซะอย่างงั้น
“ตามฉันมาทำไม?”
โจวเฉินหันกลับไปถามด้วยความสงสัย
“ใครบอกว่าฉันตามนาย? ก็แค่บังเอิญว่าฉันเลือกเส้นทางเดียวกับนายก็เท่านั้นเอง”
หญิงสาวจ้องตอบมาที่เขาด้วยดวงตาวาวประกายไร้ซึ่งความหวาดกลัว
“ช่างเถอะ...”
โจวเฉินไม่คิดจะสนใจเรื่องพวกนี้อีกต่อไปและออกเดินนำหญิงสาวไป
ป่าแห่งนี้เงียบสงัดยิ่งนักเฉกเช่นเดียวกับชื่อที่ทางระบบตั้งให้กับมัน นอกจากไม่มีเสียงของนกหรือหนอนแล้วกระทั่งอุณหภูมิเองก็ค่อนข้างต่ำ แทบจะใกล้แตะระดับศูนย์องศาอยู่แล้วล่ะมั้ง? แต่รอบๆกลับไม่มีน้ำแข็งหรือหิมะปรากฏให้เห็นเลย
‘สัมผัสของเราบอกว่ารอบๆนี้ยังไม่มีอันตราย อย่าบอกนะว่ามอนสเตอร์ในป่ามันหลบซ่อนตัวอยู่?’