ตอนที่ 423 - เย่ว์หยาง? ประทับใจ
เย่ว์หยางพาลีนและพวกพ้องลงมาที่หอทงเทียนชั้นที่หนึ่ง
นี่นับเป็นครั้งแรกในรอบหลายพันปีที่มนุษย์ต่างเผ่าพันธุ์อย่างเอลฟ์ทอง, ทอเรน, คิวบัวร์ลงมาที่หอทงเทียนชั้นหนึ่งซึ่งเป็นที่ตั้งของทวีปมังกรทะยาน ในหอทงเทียนชั้นที่หก มนุษย์ที่รวมกลุ่มจัดตั้งกันในเวลาสั้นๆ หาได้ยาก เนื่องเพราะความแตกต่างกันทางปรัชญาดำรงชีวิต ธรรมชาติและค่านิยมระหว่างมนุษย์และเผ่าพันธุ์อื่น อย่างเช่นเอลฟ์ทอง นักรบชาวมนุษย์แทบไม่มีปฏิสัมพันธ์กับเอลฟ์ทองเลย มนุษย์ที่สามารถเป็นสหายกับเอลฟ์ทองได้มีแค่หนึ่งในพันเท่านั้น แต่เพียงคนเดียวที่นำเอลฟ์ทองลงมาชั้นที่หนึ่งได้ในประวัติศาสตร์หลายพันปี คงมีแต่เย่ว์หยาง
เจ้าหน้าที่ต้อนรับทั่วไป ที่สมาคมนักรบถึงกับตกตะลึง
ความงามของเอลฟ์ทอง สำหรับมนุษย์แล้วถือว่างดงามสมบูรณ์แบบ
สมบูรณ์แบบจนแทบลืมหายใจ
ตามรายทาง นักผจญภัยชาวมนุษย์ผู้ได้เห็นแอนนาและเป่าเอ๋อ ทุกคนต่างเหลียวหันมาดูว่าพวกนางกำลังจะไปไหน บางคนถึงกับชนต้นไม้และที่อื่น เช่นกำแพงเป็นต้น บางคนถึงกับทิ้งอสูรของตนและเดินตามดูพวกนางห่างๆ ถึงกับหลงรักแอนนากับเป่าเอ๋อ
ไม่น่าสงสัยเลยว่าขณะที่อยู่ในชั้นที่หกหอทงเทียน แอนนาและเป่าเอ๋อที่งดงามไม่มีใครเทียบต่างก็โปรยเสน่ห์ตลอดเส้นทาง
นอกจากนี้ ช่างน่าสงสัยจริงๆ ว่านักผจญภัยที่ยังอยู่ที่หอทงเทียนชั้นหนึ่ง ซึ่งมีพลังมิได้มากกว่านักรบธรรมดาระดับสอง ไม่มากไปกว่านักรบระดับสาม จะมีพลังตบะพอต่อต้านเสน่ห์ของเอลฟ์ทอง
“ยินดีต้อนรับ, ท่านอาคันตุกะผู้มีเกียรติจากต่างแดน ขอให้ข้าได้เป็นตัวแทนนักรบในทวีปมังกรทะยานทั้งหมดกล่าวต้อนรับพวกท่าน ก่อนอื่นข้าต้องขออภัย ตามข้อบังคับของเรา เราต้องตรวจสอบบัตรผ่านแนะนำตัวของพวกท่านเสียก่อน” สมาคมนักรบของหอทงเทียนชั้นที่หนึ่งส่งคนที่มีประสบการณ์มากที่สุด ผู้เฒ่าหลูหลุนมาเป็นตัวแทน เขาเป็นหัวหน้าสาขาของสมาคมนักรบของหอทงเทียนชั้นที่หนึ่ง ทันทีที่เขาได้ยินว่ามีเอลฟ์ทองจากเบื้องบนมายังทวีปมังกรทะยาน เขารีบแต่งตัวอย่างดีไม่ชักช้าพร้อมไม้เท้าคนแก่ที่ใช้มาหลายปี และเหรียญตราบ่งบอกฐานะหัวหน้าสาขา เขาทักทายอาคันตุกะผู้มีเกียรติอย่างสุภาพ
เขายิ้มหน้าบานปรากฏรอยเหี่ยวย่นเต็มใบหน้า รอยยิ้มเช่นนี้บางทีคงไม่ได้ปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขามาเป็นร้อยปีแล้ว
ความจริงกระบวนการตรวจสอบที่เหมือนกันนี้ได้ดำเนินการไปแล้วที่ชั้นห้า, สี่, สามและสอง
อย่างไรก็ตาม ที่ชั้นหนึ่งต้องทำให้เด่นกว่า ยิ่งใหญ่กว่า
เป็นเพราะเมื่อพวกเขาออกจากชั้นที่หนึ่งไปแล้ว เอลฟ์ทองก็จะก้าวเท้าเข้าสู่ทวีปมังกรทะยานอย่างแท้จริง… ตามบันทึกประวัติศาสตร์ที่แน่นอน เมื่อสามพันปีที่แล้ว มีเอลฟ์ทองไม่กี่คนเป็นเพื่อนสนิทกับมนุษย์ พวกเขาต่อสู้เคียงข้างกับมนุษย์ในสงครามและได้รับเชิญให้มาทวีปมังกรทะยานหลังจากมีสายสัมพันธ์ที่แนบแน่น บันทึกเช่นนั้นอยู่ในประวัติศาสตร์สมาคมนักรบ แน่นอนว่า อาจมีนักสู้ระดับสูงชาวเอลฟ์ทอง โดยเฉพาะนักสู้ปราณก่อกำเนิดชาวเอลฟ์ทองผู้เที่ยวผจญภัยไปตามทางผ่านโบราณเข้าทวีปมังกรทะยานโดยไม่มีใครรู้ก็ได้ แต่อย่างน้อยในรอบพันปีมานี้ ยังไม่มีบันทึกใดพิสูจน์ได้ว่าเอลฟ์ทองปรากฏอยู่ในทวีปมังกรทะยาน
เมื่อเทียบกับผู้ที่เห็นแก่ตัวและหลอกลวงพวกนั้น เอลฟ์ทองทั้งงดงามและฉลาด เป็นเผ่าพันธุ์ที่โดดเด่นในเรื่องนิสัยดีและน้ำใจงาม
สำหรับนักรบมนุษย์คนหนึ่งได้รู้จักและร่วมทีมกับเอลฟ์ทองและพูดคุยกันไม่กี่คำ พอกลับมาทวีปมังกรทะยานก็เพียงพอต่อการโอ้อวดได้อีกนาน
ตอนนี้ มีเอลฟ์ทองถึงสามคนอาสาเข้ามาในทวีปมังกรทะยานเองเพื่อช่วยรบกับกองทัพนรกดำ และอีกสองคนยังเป็นเอลฟ์ทองที่งดงามระดับโลก ข่าวนี้ทำให้หัวหน้าสมาคมนักรบ สาขาชั้นหนึ่งหอทงเทียน ผู้เฒ่าหลูหลุนภาคภูมิใจทันที นี่ถือว่าเป็นพิธีทางการทูตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่สำนักงานเคยมีมา
“เปาะ แปะๆๆๆๆๆ!”
พนักงานต้อนรับที่ยืนอยู่เบื้องหลังผู้เฒ่าหลูหลุนปรบมืออย่างต่อเนื่อง
ถ้าไม่ใช่ว่าแอนนาและลีนปฏิเสธข้อเสนอเลี้ยงต้อนรับของสมาคมนักรบอย่างยิ่งใหญ่ด้วยความสุภาพ ผู้เฒ่าหลูหลุนคงเตรียมลอบเจียดงบประมาณไปจัดงานเลี้ยงฉลองแล้ว
นอกจากผู้เฒ่าหลูหลุนแล้ว แม้แต่จักรพรรดิจุนอู๋โหย่วและหัวซิ่วรี่ก็ยังส่งราชทูตพิเศษมาต้อนรับทักทายพวกเขาโดยเฉพาะ
พวกเขาเข้าสู่ทวีปมังกรทะยานด้วยความยากลำบาก
ทอเรนฟ่านหลุนเถี่ยพูดอะไรบางอย่างที่เกือบทำให้เย่ว์หยางแอบหัวเราะ “ข้าคิดว่าทวีปมังกรทะยานจะเป็นยังไงเสียอีก ที่ไหนได้กลับคล้ายแผ่นดินของเราจริงๆ ที่นี่สร้างคนที่ทรงพลังไม่ธรรมดาขึ้นมามากมายได้ยังไงกัน?”
“เราต้องการทุบตีเย่คงและเจ้าอ้วนไห่ ไม่มีใครห้ามเราได้!” สี่สาวคิวบัวร์เก็บงำความรู้สึกขัดข้องใจ
“ใช่แล้ว, ข้าค่อยร้องให้ตอนนั้นก็ได้” เป่าเอ๋อค่อยนึกถึงช่วงเวลาที่น่าอายนั้น
“มนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีศักยภาพไม่จำกัดอย่างแน่นอน…” ลีนจับตามองคนที่อยู่ใกล้ๆ พวกเขาและถอนหายใจ เขาไม่ได้หมายถึงคุณสมบัติภายในของมนุษย์จริงๆ แต่พูดถึงจำนวนของพวกเขามากกว่า ตราบใดที่จำนวนประชากรยังเพิ่มต่อไป นักสู้ปราณก่อกำเนิดก็จะปรากฏร้อยต่อหนึ่งคน หรือหมื่นต่อหนึ่งคน มิน่าเล่า ถึงได้มีนักสู้ปราณก่อกำเนิดชาวมนุษย์มาก ต้องเข้าใจก่อนว่าไม่ใช่แค่เอลฟ์ทองเท่านั้น ต่อให้รวมเอลฟ์เผ่าพันธุ์อื่นเข้าด้วยกัน ขนาดของประชากรของพวกเขาทั้งหมดอาจยังไม่ถึงหนึ่งในสิบของประชากรชาวทวีปมังกรทะยาน
“เจ้าไม่เคยไปแดนอเวจีมาก่อนสินะ จำนวนประชากรที่นั่นมากมายจริงๆ” เย่ว์หยางโต้แย้งว่าจำนวนประชาชนไม่ใช่ทุกอย่าง
“ในแดนปีศาจมีสิ่งมีชีวิตอยู่มากมายก็จริง แต่เกือบทั้งหมดมีปัญญาอ่อนด้อย ถ้าสิ่งมีชีวิตในแดนปีศาจทั้งหมดมีความฉลาดแบบมนุษย์ อย่างนั้นพวกเขาอาจพิชิตดินแดนในหอทงเทียนทั้งหมดแล้ว” แอนนายิ้มเล็กน้อย นางยังคงชื่นชมความเร็วในการเติบโตของสติปัญญาของมนุษย์มากที่สุด เผ่าพันธุ์เอลฟ์กลับตรงกันข้าม อย่างเป่าเอ๋อที่ใช้ชีวิตอยู่ในป่าเอลฟ์มาถึงร้อยห้าสิบปี ก็มีจิตใจเหมือนกับเด็กมนุษย์อายุ 14-15 ปี ที่แย่ก็คือนางยังไม่อาจเทียบกับเด็กมนุษย์อายุ 14-15 ปีด้วยซ้ำ นี่คือความแตกต่างระหว่างเผ่าพันธุ์ทั้งสอง
นางได้ยินมาจากเจ้าอ้วนไห่และเย่คงถึงเรื่องราวของน้องสาวเย่ว์หยางนามเย่ว์ปิง แม้ว่าเย่ว์ปิงจะยังอายุน้อยแต่ก็เป็นผู้ใหญ่มากกว่าเป่าเอ๋อ นางมีพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งมาก
เอลฟ์ทองเมื่อเทียบกับมนุษย์ มีเรื่องที่เหนือกว่าเพียงอย่างเดียวก็คือ พวกเขามีอายุขัยที่ยืนยาวกว่า
เป็นเรื่องธรรมดามากสำหรับเอลฟ์ทองที่มีชีวิตยืนยาวกว่าสามพันปี ในขณะที่เป็นเรื่องที่ยากมากที่จะเห็นมนุษย์มีอายุเกิน 200 ปี
สำหรับทอเรนเลโอ และฟ่านหลุนเถี่ย มนุษย์ไม่ได้เหนือกว่าในเรื่องจำนวนประชากรและการเติบโตที่รวดเร็ว พวกเขาเด่นกว่าพวกมนุษย์มาก เผ่าทอเรนไม่มีนักรบที่อ่อนแอ เนื่องจากพวกเขาทุกคนเกิดมาเป็นนักรบโดยธรรมชาติ พวกเขาพอเป็นผู้ใหญ่อายุสิบปีก็วิ่งเข้าสู่สมรภูมิรบกันแล้ว อย่างไรก็ตาม เผ่าทอเรนที่บุกตะลุยและทำลายศัตรูได้ดีเท่านั้น ในเรื่องการสร้างวัสดุอุปกรณ์หรือการฝึกฝนฝีมือเป็นปัญหาที่ยากลำบาก พวกเขาอาศัยวิธีการเดียวใช้ฝึกฝนผู้เยาว์ของพวกเขาซึ่งก็คืออาศัยสัญชาตญาณ ถ้าพวกเผ่าทอเรนสามารถสร้างวัสดุอุปกรณ์และฝึกฝนได้เหมือนอย่างที่มนุษย์ให้การอบรมผู้เยาว์ของพวกเขา บางทีเผ่าพันธุ์พวกเขาอาจจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็เป็นได้
แน่นนอนว่า นี่คือข้อสันนิษฐานอย่างจำกัดสำหรับความคิดของเลโอและฟ่านหลุนเถี่ย
ตอนนี้ เย่ว์หยางยังไม่อาจพาพวกเขาไปยังปราสาทตระกูลเย่ว์ก่อน จะต้องพาพวกเขาไปถวายบังคมจุนอู๋โหย่วฮ่องเต้เสียก่อน เขาพาพวกเทเลพอร์ตมุ่งตรงสู่ฉางจิงและต่อไปยังวังหลวง
จุนอู๋โหย่วฮ่องเต้ดูทรงอำนาจเต็มอยู่ในฉลองพระองค์เต็มยศสวมมงกุฎเหนือพระเศียรอย่างสง่างาม พระองค์นำข้าราชบริพารออกมาต้อนรับพวกเขา
เสียงแตรเกียรติยศดังกังวาลขึ้น
สมุหราชองครักษ์แปรแถวนำโดยแม่ทัพเฟิงขวงและยืนตั้งกระบวนสองฟากฝั่งวังหลวง เกราะของพวกเขาส่องประกายสว่าง แตกต่างกันชัดเจน
ราชบุรุษแข็งแรงสิบคนแบกเสากระทุ้งใส่ระฆังมังกรยักษ์ที่ดังได้ยินทั้งพระนครฉางจิง อย่างแรง 28 ครั้ง ตลอดทั้งเมืองกระหึ่มไปด้วยเสียงเพลงและร้องคลอตามอย่างตื่นเต้น นี่เป็นราชพิธีต้อนรับอาคันตุกะและฉลองที่ยิ่งใหญ่ที่สุด รองจากพิธีราชาภิเษกและพิธีอภิเษกสมรสและการแต่งตั้งองครักษ์พิทักษ์ฟ้าคนใหม่ ระฆังมังกรยักษ์โดยปกติจะตีสิบครั้งสำหรับพิธีสถาปนาองค์รัชทายาท หรือพิธีอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิง
เมื่อเอลฟ์ทองลีน, แอนนาและเป่าเอ๋อก้าวเข้ามา พวกเขาถวายบังคมจุนอู๋โหย่วฮ่องเต้ก่อน
ทั่วทั้งวังหลวงมีเสียงร่าเริงดังกระหึ่ม
นี่นับเป็นเกียรติต่ออาณาจักรต้าเซี่ย!
เอลฟ์ทองตระกูลชั้นสูง, เผ่าทอเรนผู้กล้าหาญและเผ่าคิวบัวร์ผู้แข็งแกร่งถวายบังคมพระราชาของพวกเขา นับเป็นเกียรติสำหรับมนุษย์ที่ไม่เคยมีมาก่อน นับแต่โบราณกาลมา
อาคันตุกะผู้มีเกียรติทุกคนคือนักรบที่ทรงพลังจากหอทงเทียนชั้นที่หก
ที่สำคัญที่สุด ขณะที่ราชอาณาจักรต้าเซี่ยอยู่ในภาวะสงคราม พวกเขาเดินทางไกลมาต่อสู้เพื่อพันธมิตรชาวมนุษย์ นับเป็นมิตรภาพที่ล้ำค่ายิ่งนัก!
“ขอต้อนรับสู่ทวีปมังกรทะยาน การมาปรากฏตัวของพวกท่านยังดินแดนแห่งนี้คือกำลังใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่มีต่อนักรบชาวทวีปมังกรทะยาน และเป็นช่วงเวลาที่ต้องบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ ไม่ว่าอนาคตของทวีปมังกรทะยานจะเป็นเช่นไร ข้าหวังว่าต้าเซี่ยของพวกเราและชาวเอลฟ์ทอง, ชาวทอเรนและชาวคิวบัวร์จะผูกพันเป็นพี่น้องกันตลอดไป คอยเกื้อกูลกันและกัน วันนี้ พวกท่านทุกคนเดินทางมาไกลเพื่อต่อสู้กับศัตรูผู้รุกรานต้าเซี่ยของเรา ในอนาคตนักรบและลูกหลานต้าเซี่ยจะขอตอบแทนบุญคุณครั้งนี้เป็นร้อยเท่า” สุนทรพจน์ที่น่าประทับใจของจุนอู๋โหย่วดังก้องทั่วท้องฟ้า
พระองค์รู้สึกซาบซึ้งใจ ขณะที่นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ชาวต่างเผ่าจะเข้ามาช่วยรบ
การมาถึงของลีน, แอนนาและพวกที่เหลือสร้างขวัญและกำลังใจให้นักรบต้าเซี่ยอย่างมาก
ยิ่งกว่านั้น เป็นไปได้ว่าเมื่อมองจากจุดนี้ เย่ว์หยาง, เย่คงและเจ้าอ้วนไห่มีความพิเศษมากขนาดไหน เพียงใช้เวลาช่วงสั้นๆ ด้วยกันเดือนเดียว เอลฟ์ทองซึ่งปกติจะไม่คบหากับนักรบมนุษย์กลับยินดีก้าวเข้ามาช่วยเหลือ ความสำเร็จเช่นนี้สร้างความประทับใจให้เหล่าผู้อาวุโสนับไม่ถ้วนที่ยังไม่ประสบความสำเร็จเหมือนอย่างที่รุ่นผู้เยาว์มีเย่ว์หยางเป็นต้นที่ทำได้
แม้ว่าอาณาจักรต้าเซี่ยจะพลาดท่าไม่สามารถต้านทานการจู่โจมของกองกำลังนรกดำได้ แต่ด้วยพรสวรรค์ของพวกรุ่นผู้เยาว์กับสหายต่างเผ่าพันธุ์อีกเป็นจำนวนมากที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ การฟื้นฟูอาณาจักรต้าเซี่ยขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งยังจะมีอะไรยากอีก?
“ถวายบังคมจักรพรรดิชาวมนุษย์! เรามีความยินดีที่ได้มาอยู่ที่ทวีปมังกรทะยานแห่งนี้ สำหรับพวกเราแล้ว ทวีปมังกรทะยานเป็นสถานที่ไม่คุ้นเคยและอาณาจักรต้าเซี่ยก็เป็นอาณาจักรต่างแดนแห่งหนึ่งในหลายดินแดนในหอทงเทียน แต่แผ่นดินที่น่าอัศจรรย์นี้ เราหลงใหลมานานแล้ว เรามักสงสัยว่าแผ่นดินแบบไหนที่สร้างนักรบชาวมนุษย์ที่โดดเด่นได้มากมายนัก ไม่ต้องพูดถึงคุณชายสามของตระกูลเย่ว์ผู้ยังคงลึกลับเกินกว่าเราจะจินตนาการได้ แค่เพียงไห่ต้าฟู่, เย่คงและพี่น้องตระกูลหลี่ ทุกคนแน่วแน่และเต็มไปด้วยจิตวิญญาณนักสู้ทำให้เราทึ่ง ในการผจญภัยของพวกเรา เราตระหนักได้ว่านักรบผู้โดดเด่นของต้าเซี่ยแตกต่างจากคนอื่น พวกเขาทุกคนเป็นนักสู้รุ่นเยาว์ที่ดีที่สุด เราสร้างมิตรภาพต่อกันและร่วมต่อสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายในสนามรบร่วมกัน กล่าวโดยสรุปก็คือ พวกเขาไม่ใช่เอลฟ์ทอง, ไม่ใช่ทอเรน, ไม่ใช่เผ่าคิวบัวร์ ในใจของเรานั้น พวกเขาคือพี่น้องของเรา เป็นเหมือนครอบครัวของเรา พวกเรายินดีมาต่อสู้เพื่อสหายเหล่านี้และครอบครัว และเรายินดีแม้ว่าเราจะต้องตายในการศึกก็ตาม เราจะไม่มีทางเสียใจ” ลีนคล้อยตามคำพูดของจุนอู๋โหย่ว ทั้งเอลฟ์ทอง ทอเรนและคิวบัวร์ต่างก็แสดงความรู้สึกของตนเอง
“เฮ.. ฝ่าบาท ทรงพระเจริญ, ทรงพระเจริญ”
พฤติกรรมนี้ทำให้ประชาชนชาวต้าเซี่ยปลาบปลื้ม
คำพูดที่น่าซาบซึ้งใจอย่างคำว่าพี่น้องนับว่าดีพอๆ กับคำว่าครอบครัว สามารถชนะใจคนรุ่นอาวุโส ทุกต่างปลาบปลื้มน้ำตาคลอเบ้า
เย่ว์หยาง, เย่คงและเจ้าอ้วนไห่เป็นรุ่นผู้เยาว์ที่มากความสามารถกันทุกคน ตั้งแต่ครั้งโบราณกาล จะมีอยู่กี่เผ่าพันธุ์ที่เดินทางไกลมาสนับสนุนให้ความช่วยเหลือถึงต่างแดน? อย่าว่านักรบชาวมนุษย์มักถูกมองว่าสร้างปัญหาและไม่เป็นที่ต้อนรับของชาวต่างเผ่าพันธุ์ ตอนนี้ เอลฟ์ทองคนหนึ่งประกาศตัวว่าพวกเขาเป็นคนของต้าเซี่ยในฐานะเป็นเหมือนครอบครัวและยินดีสู้ตายเพื่อพวกเขา การประกาศครั้งนี้สร้างความประทับใจอย่างมากและจะมีวิธีอื่นใดสร้างความซาบซึ้งใจได้เท่า
พวกรุ่นผู้เยาว์ก็ยิ่งตื่นเต้นและกระตือรือร้นมากยิ่งขึ้น เอลฟ์ทองยังอุตส่าห์มาช่วยรบที่นี่ พวกเขาไม่มีอะไรต้องกลัวกองกำลังนรกดำ ก็แค่ต้องสู้จนสุดกำลังเท่านั้น
พวกทหารทั่วไปปรารถนาจะออกไปรบและสังหารข้าศึกให้ได้ทันที แรงปรารถนาจะออกไปต่อสู้ทำให้พวกเขาตัวสั่นแทบบ้า
พวกเขาใช้กำปั้นทุบที่เกราะด้านบนแรงๆ
เริ่มจากทหารไม่กี่ร้อยคน เพิ่มขึ้นเป็นพันจากนั้นก็เป็นล้านขณะที่พวกเขาใช้กำปั้นทุบเกราะ ทั่วทั้งท้องถนนมีเสียงทุบเกราะดังสนั่น ขณะที่ประชาชนก็เริ่มทุบตามเป็นจังหวะมากขึ้นเรื่อยๆ สร้างขวัญกำลังใจให้กับทหารก่อเกิดเป็นคลื่นเสียงโห่ร้องให้กำลังใจจากประชาชน
ตึง ตึง ตึง ตึง ตึง ตึง
อารมณ์พลุกพล่านภายในของพวกเขาไม่สามารถข่มลงได้ เพราะเสียงโห่ร้องให้กำลังใจเช่นนั้น พวกเขาข่มความตื่นเต้นในใจได้เพียงเล็กน้อย
จุนอู๋โหย่วฮ่องเต้มองเย่ว์หยางด้วยความซาบซึ้งใจ
เขารู้มาตลอดว่าเรื่องเหล่านี้เย่ว์หยางวางแผนล่วงหน้าไว้ มิฉะนั้นเย่ว์หยางคงไม่พาทีมเอลฟ์ทองกลับมายังทวีปมังกรทะยานด้วยการประชาสัมพันธ์อย่างเอิกเกริกขนาดนั้น ไม่ว่าเย่ว์หยางจะแจ้งให้เขาทราบล่วงหน้าหรือไม่ก็ตาม… จุนอู๋โหย่วทราบแน่ชัดว่าเย่ว์หยางต้องการสร้างกำลังใจให้เขา เนื่องจากกองกำลังนรกดำประกาศสงครามกับอาณาจักรต้าเซี่ย และใช้สายลับคอยก่อกวนบั่นทอนกำลังใจของมวลชนให้ตกต่ำ ประชาชนนั้นรู้สึกดีว่ามีโอกาสพ่ายแพ้สูง และส่งผลเสียต่อขวัญกำลังใจทหารโดยอ้อม ขุนทหารบางคนหวั่นไหวกำลังใจตกต่ำก็มี
ตอนนี้ หลังจากเอลฟ์ทองถวายความเคารพพระราชาต้าเซี่ยและประกาศความตั้งใจแน่วแน่เพื่อสู้ตาย ทำให้ขวัญกำลังใจของประชาชนและทหารเพิ่มสูงขึ้นมาก
ยังไม่ต้องพูดถึงคนอื่น แม้แต่จุนอู๋โหย่วเองก็รู้สึกมีกำลังใจเพิ่มพูน
กลับกลายเป็นว่าจุนอู๋โหย่วเตรียมตัวรับความพ่ายแพ้อย่างลับๆ แม้ว่าเขายอมตายดีกว่ายอมรับความพ่ายแพ้ แต่เขาไม่เคยคิดว่าเขาจะสามารถเอาชนะกองกำลังนรกดำได้เลย ดังนั้นทั้งหมดที่เขาคิดได้คือยอมรับความพ่ายแพ้ ตอนนี้ ตอนนี้ด้วยการหยั่งจิตใจของเย่ว์หยาง จุนอู๋โหย่วกลับมามีความหวังอีกครั้งและตัดสินใจต่อสู้จนถึงที่สุด เขามีแม่ทัพใหญ่เย่ว์ไห่เป็นผู้นำกองทัพและมีเย่ว์หยางคอยต่อสู้กับนักสู้ปราณก่อกำเนิด ต่อให้ราชาเฮยอวี้น่ากลัว พวกเขาก็จะเอาชนะโดยไม่ต่อสู้ไม่ได้
“เราจะต่อสู้จนถึงที่สุด” จุนอู๋โหย่วพยักหน้าให้เย่ว์หยาง หลังจากที่เย่ว์หยางลงมือทำทุกอย่างแล้ว ในฐานะฮ่องเต้เขาต้องไม่ยอมน้อยหน้าเย่ว์หยาง
“หึหึ” เย่ว์หยางมีความตั้งใจจะสนับสนุนจุนอู๋โหย่วด้วย
เขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องขวัญกำลังใจของประชาชนธรรมดา เนื่องจากไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการศึกสงคราม อย่างไรก็ตาม จุนอู๋โหย่วต้องหลงเหลือพลังในฐานะที่เป็นจักรพรรดิ ถ้าเขายอมรับความพ่ายแพ้และประกาศยอมแพ้ ไม่ว่าประชาชนของเขาจะมีความสามารถเช่นไร พวกเขาก็ไม่สามารถแสดงออกได้
หรือควรให้พวกเขาหลบหนีการรบกับกษัตริย์เฮยอวี้และกองกำลังนรกดำอย่างนั้นหรือ?
เย่ว์หยางไม่เคยยอมแพ้เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด เขากล้าเข้าต่อกรกับสามผู้ยิ่งใหญ่แดนสวรรค์ พอๆ กับกล้าเข้าต่อสู้กับจักรพรรดิชื่อตี้ แล้วทำไมเขาถึงต้องกลัวราชาเฮยอวี้ด้วยเล่า?
ท่ามกลางเสียงโห่ร้องของประชาชน จุนอู๋โหย่วทรงต้อนรับแอนนา, เป่าเอ๋อและพวกพ้องเข้าวัง เจ้าอ้วนไห่และเย่คงกำลังยืนยิ้มรออยู่ในท้องพระโรงใหญ่ทำหน้าทะเล้น เย่ว์หยางชูมือข้างหนึ่ง “นั่นไง, ลงมือทุบตีได้เลย, ไม่ต้องเกรงใจ แต่ถ้าจะให้ดี อย่าใช้เวลาเกินชั่วโมง เพราะจักรพรรดิทรงเตรียมจัดงานเลี้ยงอยู่ อาจจะเริ่มชั่วโมงใดชั่วโมงหนึ่งก็ได้”
“เจ้ามันเหลือเกินจริงๆ แทนที่เจ้าจะห้ามไม่ให้เกิดการต่อสู้ แต่เจ้ากลับยุส่งพวกเขาเสียได้…” เจ้าอ้วนไห่เริ่มส่งเสียงโวยวายลั่น ขณะที่สาวทอเรนฟ่านหลุนเถี่ยเริ่มทุบเขาก่อนทันได้พูดจบ
“นี่เรียกว่า เราไม่ลงนรกแล้วใครจะลง..” เย่ว์หยางย้อนคำพูดเจ้าอ้วนไห่ง่ายๆ
ในห้องเรียนหลวงของจุนอู๋โหย่ว จุนอู๋โหย่วขอบคุณว่าที่ราชบุตรเขยของเขา พลางยกถ้วยชาจิบชาอย่างสบายใจและถามว่า “ถ้าเจ้ามีข่าวดีมากสำหรับข้า ก็พูดออกมาตอนนี้เลย ในขณะที่หัวใจของข้ายังพอรับได้” เขารู้ว่าเย่ว์หยางมีข่าวดีที่เขายังไม่บอก
เย่ว์หยางใช้ความพยายามอย่างมาก ขณะที่เขาเชื่อว่าความเสียสละเพียงเล็กน้อยนี้ไม่เท่าใดนักเมื่อเทียบกับตามขอพระธิดาคนโปรดของเขาเล่า ใครให้จุนอู๋โหย่วมีธิดาแสนสวยอย่างแม่เสือสาวเล่า? เย่ว์หยางกระแอมในลำคอ “คืออย่างนี้ เฉินเซียนเซิงจากทวีปฉีหลานจะให้ความช่วยเหลือแก่ฝ่าบาท เขาจะมอบอสูรสายฟ้าให้เรา 500 ตัว และเกราะสายฟ้าอีก 100 ชุด”
จุนอู๋โหย่วสะอึกเมื่อได้ยินเรื่องที่เย่ว์หยางพูด
ชื่อเสียงของอสูรสายฟ้าและเกราะสายฟ้ามิได้น้อยกว่าเหล้าฉีหลานเลย จึงเป็นธรรมดาที่จุนอู๋โหย่วเคยได้ยินเรื่องเหล่านี้มาก่อน เขาเองยังต้องการได้ไว้สักชุด เมื่อคราวเขายังเป็นองค์ชาย แต่มีปัญหามากมายทำให้เขาไม่ได้รับอสูรและอาวุธสายฟ้าพร้อมกับแหวนเก็บของ เรื่องนั้นกลายเป็นความเสียใจมากที่สุดของเขา เขาคาดไม่ถึงเลยว่าว่าที่ราชบุตรเขยของเขาจะมอบเกราะสายฟ้าให้ครั้งเดียวร้อยชุด
โดยไม่สนใจอาการสะอึกค้างของจุนอู๋โหย่วต่อไป เย่ว์หยางพูดต่อไปตามปกติ “และเรื่องต่อไปนี้เป็นข้อตกลงลับที่ข้าลงนามกับราชันย์จ้าวปีศาจบารุธและจ้าวปีศาจฮาซิน พวกเขาจะส่งกองทัพโจมตีกระหนาบจากด้านข้าง ถ้าต้าเซี่ยต่อสู้ติดพันกับกองกำลังนรกดำ ก็คงต้องปล่อยให้กองกำลังนรกดำต้องประสบกับการเจ็บตัวเสียบ้าง….”
“พรวดดดด!” จุนอู๋โหย่วต้องพ่นน้ำชาออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ถึงกับไอสำลักน้ำ คำพูดของเย่ว์หยางแทบทำให้พระองค์แทบสำลักน้ำชาตาย
***************