บทที่ 29: 200 ปีที่ผ่านมา เหิงเซียผู้สมบูรณ์แบบ
บทที่ 29: 200 ปีที่ผ่านมา เหิงเซียผู้สมบูรณ์แบบ
เห็นได้ชัดว่าท่าทีของชายชราไม่ได้เป็นกันเองเหมือนกับเมื่อก่อนอีกต่อไป
เขาเช็ดใบหน้าที่สกปรกของเขาและพูดอย่างจริงจังว่า “หากเราจะพูดถึงสำนักเซียนอรุณ เราก็จะต้องเริ่มต้นจากเหิงเซียผู้สมบูรณ์แบบที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นเมื่อ 200 ปีก่อนอย่างกะทันหัน…”
“เจ้าหนู เจ้ากำลังพยายามจะแหกคุกหรอ!”
“ข้าว่าเจ้าคงจะเบื่อที่จะมีชีวิตอยู่แล้วสินะ เจ้ารู้ไหมว่าที่นี่คือที่ไหน!”
ในขณะนี้ ผู้คุมกลุ่มหนึ่งก็ได้รีบวิ่งเข้ามาขัดจังหวะชายชรา
“หนวกหู!”
ซุยเฮ็งขมวดคิ้วเล็กน้อย ด้วยการโบกมือเบาๆ ของเขา ผู้คุมมากกว่าสิบคนก็กระเด็นไปซัดเข้ากับฝากำแพงและสลบไปในทันที
ในเวลาเดียวกัน เขาก็ยังปล่อยพลังปราณออกมาเพื่อทำลายทางเข้าออก
เนื่องจากทางเข้าได้ถูกปิดเอาไว้แล้ว ดังนั้นมันจึงไม่มีใครสามารถมารบกวนพวกเขาได้อีก
และในเวลาเดียวกัน เสียงดังก็ได้ปลุกนักโทษทุกคนให้ตื่นขึ้น
พวกเขามองไปที่อุโมงค์ที่ถล่มลงมาจากคลื่นกระแทก จากนั้นพวกเขาก็มองไปที่ซุยเฮ็ง พวกเขาตะลึงงันและทุกคนก็มองไปที่เขาราวกับว่าพวกเขากำลังเห็นผี
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!
จอมยุทธ์ระดับนี้ถูกจับมาได้อย่างไร?
“นรกช่วยลูกด้วย!”
ชายชราตกใจมากจนร้องอุทานออกมาอย่างตื่นตระหนก เขาย่อตัวลงและมองไปที่ซุยเฮ็งอย่างเหลือเชื่อ เสียงของเขาสั่นเทาในขณะที่เขาพูดว่า “ทะ… ท่านปรมาจารย์?! ไม่สิ แม้แต่ปรมาจารย์ก็ยังไม่สามารถทำลายกำแพงที่ทำมาจากหินปูนซึ่งอยู่ห่างออกไปห้าสิบฟุตได้ นี่จะต้องเป็นยอดปรมาจารย์อย่างแน่นอน!”
“พูดต่อได้แล้ว” ซุยเฮ็งยังคงมีสีหน้าเฉยเมยราวกับว่าเมื่อกี้นี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เข้าใจแล้ว! ข้าจะพูดเดี๋ยวนี้แหละ!” ชายชรารีบพยักหน้า ทัศนคติของเขาเปลี่ยนกลายเป็นความเคารพอย่างมาก “เมื่อ 200 ปีก่อน ต้าจินก็เพิ่งจะก่อตั้งขึ้นได้ไม่นาน…”
หลังจากคำอธิบายของชายชราผู้นี้ ซุยเฮ็งก็มีความเข้าใจคร่าวๆเกี่ยวกับสำนักเซียนอรุณ
เมื่อประมาณ 200 ปีที่แล้ว หลังจากที่ต้าจินถูกก่อตั้งขึ้นได้ไม่นาน โลกก็ได้ตกอยู่ในความโกลาหลวุ่นวาย มันเป็นช่วงเวลาที่วีรบุรุษถือกำเนิดขึ้นมาเป็นจำนวนมากและมีการจัดตั้งสำนักใหม่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง
หากไม่นับรวมสำนักชั้นนำที่สืบทอดต่อกันมานานกว่าพันปีแล้ว มันก็มีสำนักน้องใหม่ทั้งหมด 17,000 สำนักในเวลานั้น พวกเขากระจัดกระจายกันไปตามมณฑลและหัวเมืองต่างๆ ในต้าจิน
ในช่วงเริ่มต้นของการก่อตั้ง มันก็มีทั้งหมด 241 มณฑลใน 13 รัฐและ 2,969 หัวเมือง
โดยเฉลี่ยแล้ว มณฑลหนึ่งก็จะมีสำนักมากกว่า 70 สำนัก
แน่นอนว่าสำนักเหล่านี้ล้วนต้องต่อสู้กันเองเพื่อแย่งชิงดินแดน ด้วยเหตุนี้เอง ระดับความโกลาหลจึงแผ่ขยายออกไปจนยากเกินจะจินตนาการ
ราชสำนักเฝ้ามองดูความโกลาหลเหล่านี้จากข้างสนามในขณะที่สำนักใหญ่ต่างๆ เองก็ไม่มีความตั้งใจที่จะเข้าไปแทรกแซงเช่นกัน สิ่งนี้ทำให้สามัญชนจำนวนนับไม่ถ้วนต้องทนทุกข์อย่างเงียบๆ และไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากใครได้
จนกระทั่งมีคนจากไหนก็ไม่รู้โผล่มา
ชื่อจริงของเธอไม่เป็นที่แน่ชัด แต่เธอก็ขนานนามตัวเองว่าเหิงเซีย เธอเป็นเด็กสาวที่มีอายุเพียง 18 ถึง 19 ปีเท่านั้น รูปร่างหน้าตาของเธอสวยงามมาก แต่ความแข็งแกร่งของเธอนั้นก็สูงมากจนน่ากลัว
ในตอนที่เหิงเซียปรากฏตัวขึ้นเป็นครั้งแรกในโลกยุทธ์ เธอก็ได้เปิดเผยพลังที่แท้จริงของเธอแล้ว และในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งเดือน เธอก็ได้กวาดล้างสำนักในมณฑลเหอตงไปมากถึง 139 สำนักด้วยตัวคนเดียว
และตั้งแต่นั้นมา ชื่อของเธอก็ได้สั่นสะเทือนโลกทั้งใบ
ในเวลาเดียวกัน เหิงเซียก็ยังเริ่มออกผจญภัยในโลกยุทธ์ ใครก็ตามที่กระทำเรื่องชั่วช้าจะไม่สามารถหลบหนีไปได้หากได้พบเธอ ในทางกลับกัน สำหรับผู้ที่ถูกกดขี่ก็จะได้รับการช่วยเหลือหากได้พบเธอ
แน่นอนว่าการทำเช่นนี้ย่อมเป็นการกระทำที่ข้ามหน้าข้ามตาผู้คนในระดับสูง
สามปีหลังจากที่เธอปรากฎตัวขึ้น เธอก็ได้ลงมือฆ่าชายหนุ่มคนหนึ่งที่ทำการปล้นหญิงสาวธรรมดาๆ คนหนึ่ง และโดยไม่คาดคิด เขาคนนั้นก็คือบุตรชายของเจ้าสำนักคังซวน
สำนักคังซวนมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานนับพันปี พวกเขาเป็นที่รู้จักกันในด้านวิชาหอก วิชากระบี่ และวิชาฝ่ามือ ผู้ก่อตั้งสำนักเองก็ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นเทพปฐพี มรดกของเขานั้นลึกล้ำและรากฐานเบื้องหลังของเขาก็แข็งแกร่งมาก เขาคงอยู่มานานพอที่จะมองดูการเปลี่ยนถ่ายของหกราชวงศ์!
และแน่นอนว่าการตายของบุตรชายย่อมสร้างความโกรธให้กับเจ้าสำนักคังซวนอย่างมาก ศิษย์หลายคนได้ออกมาไล่ตามเหิงเซีย แต่ทุกคนก็ถูกฆ่าตายลงด้วยกระบี่ของเธอโดยไม่มีข้อยกเว้น
และในท้ายที่สุด แม้แต่ผู้อาวุโสระดับปรมาจารย์ก็ยังไม่สามารถต่อกรกับเธอได้
หลังจากถูกตามล่ามาเป็นเวลาสามเดือน เหิงเซียก็ได้บุกขึ้นภูเขาคังซวนเพียงลำพัง และด้วยตัวคนเดียวกับกระบี่เล่มเดียว เธอก็ได้ทำลายทั้งสำนักคังซวนลง!
แม้แต่จอมยุทธ์ระดับชั้นนำของโลกอย่างเจ้าสำนักคังซวนก็ยังไม่สามารถรอดพ้นจากคมกระบี่ของเหิงเซียได้
มันมีข่าวลือว่ากระบี่เซียนอรุณนั้นเป็นเหมือนกับแสงหลากสีที่เติมเต็มท้องฟ้าด้วยประกายสายรุ้ง มันงดงามราวกับไม่ใช่สิ่งที่มาจากโลกมนุษย์
และตั้งแต่นั้นมา สำนักคังซวนก็ได้ถูกยุบลงและในขณะเดียวกัน เหิงเซียก็ได้ใช้โอกาสนี้จัดตั้งสำนักของเธอขึ้นที่บนภูเขาคังซวน
ซึ่งมันก็ถูกขนานนามว่าสำนักเซียนอรุณ!
และเพราะออร่าเซียนบวกกับนิสัยใจคอที่ไม่เหมือนกับคนธรรมดาของเธอ ผู้คนทั้งโลกจึงเรียกเธอว่า “เหิงเซียผู้สมบูรณ์แบบ”
ภายใต้บารมีของเหิงเซียผู้สมบูรณ์แบบ สำนักเซียนอรุณจึงได้ขยายตัวออกไปอย่างรวดเร็วและได้ส่งศิษย์ออกไปกำจัดสำนักเล็กๆ ที่มักจะก่อให้เกิดความโกลาหลวุ่นวายขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในเวลาเพียงไม่กี่ทศวรรษ สำนักเซียนอรุณก็ได้กลายมาเป็นหนึ่งในสำนักที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก
แม้แต่สำนักอันดับต้นๆ ที่มีมรดกสืบทอดกันมายาวนานกว่าพันปีก็ยังต้องยอมเป็นรองให้กับสำนักเซียนอรุณ!
มันมีข่าวลือด้วยว่าวรยุทธ์ของเหิงเซียผู้สมบูรณ์แบบนั้นได้มาถึงขอบเขตเทพปฐพีแล้ว มันทั้งลึกล้ำและอยู่ยงคงกระพัน
แน่นอนว่ามีผู้คนจำนวนมากที่สร้างวัดขึ้นเพื่อกราบไหว้บูชาเธอในฐานะเทพเจ้า
พลังและชื่อเสียงดังกล่าวอาจกล่าวได้ว่ามาถึงจุดสูงสุดของความสมบูรณ์แบบแล้ว
มันนับเป็นประวัติการณ์อันยิ่งใหญ่ในรอบหลายพันปี!
อย่างไรก็ตาม ย้อนกลับไปเมื่อร้อยปีที่แล้ว ด้วยเหตุผลบางอย่างที่ไม่มีใครทราบ จู่ๆ สำนักเซียนอรุณก็ได้ประกาศว่าพวกเขาจะปิดผนึกภูเขาของตน ในบางครั้ง ศิษย์บางคนก็จะลงมาจากภูเขา อย่างไรก็ตาม พวกเขาทั้งหมดก็จะยังคงเก็บตัวและไม่เคยปรากฏตัวออกมาต่อหน้าสาธารณชนเลย นอกจากนี้ พวกเขาก็ยังกลับขึ้นไปบนภูเขาอย่างรวดเร็วหลังจากนั้น
และในท้ายที่สุด มันก็ไม่มีข่าวเกี่ยวกับเหิงเซียผู้สมบูรณ์แบบอีกต่อไป
“เหิงเซียผู้สมบูรณ์แบบไม่ได้ออกมาให้เห็นหน้าตั้งแต่สำนักเซียนอรุณประกาศปิดผนึกภูเขาเมื่อร้อยปีก่อน?” ซุยเฮ็งขมวดคิ้วเล็กน้อย ในตอนนี้ เขาก็สามารถยืนยันได้เล็กน้อยแล้วว่าคนที่เรียกตนเองว่าเหิงเซียผู้สมบูรณ์แบบนี้น่าจะเป็นเจียงฉีฉี
ไม่ว่าจะเป็นลักษณะเฉพาะของทักษะวรยุทธ์หรือเป้าหมายของเธอ ทุกอย่างล้วยสอดคล้องกันไปหมด
“นอกเหนือจากนี้แล้ว ข้าก็ไม่เคยได้ข่าวอะไรอีกเลย” ชายชราส่ายหัวและพูดว่า “มันมีข่าวลือว่าเมื่อร้อยปีก่อน เหิงเซียผู้สมบูรณ์แบบก็ดูเหมือนจะหายตัวไปในอากาศและไม่เคยปรากฏหน้ามาให้เห็นอีกเลย บางคนก็กล่าวว่าเหิงเซียผู้สมบูรณ์แบบได้ล่วงลับไปตามอายุขัยแล้ว”
เธอถึงแก่กรรมด้วยโรคชรา?
ซุยเฮ็งส่ายหัวเบาๆ และถามอีกฝายว่า “มีข่าวลือเกี่ยวกับสาเหตุที่สำนักเซียนอรุณปิดผนึกภูเขาบ้างไหม?”
ในตอนที่เขาสร้าง [ศาสตร์กระบี่เซียนอรุณ] ขึ้นมา เขาก็ได้ผสมผสานแนวคิดการฝึกตนเซียนเอาไว้มากมาย ดังนั้นแล้ว ฟังก์ชั่นการยืดอายุขัยจึงถูกแฝงเอาไว้อยู่ในนั้นด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นแล้ว แม้ว่าเธอจะฝึกตนมาจนมาถึงเพียงขอบเขตสกัดปราณขั้นเก้า แต่เธอก็น่าจะยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้อีกนานกว่า 200 ปี
แค่เพียงหนึ่งร้อยปีนั้นยังไม่เพียงพอที่จะทำให้เธอแก่ตาย
“มันมีข่าวลือมากมายเกี่ยวกับเรื่องนี้” ชายชราคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “บางคนบอกว่าเป็นเพราะเหิงเซียผู้สมบูรณ์แบบได้เสียชีวิตลงในระหว่างการทำสมาธิและสำนักเซียนอรุณก็กังวลเกี่ยวกับการถูกปิดล้อมโดยสำนักขนาดใหญ่และตระกูลขุนนางต่างๆ ดังนั้นพวกเขาจึงปิดข่าวเอาไว้”
“และมันก็ยังมีผู้ที่กล่าวว่าราชวงศ์ต้าจินไม่สามารถปล่อยให้มีสำนักที่ทรงพลังเช่นนี้อยู่รอบกายได้ ดังนั้นพวกเขาจึงเข้าร่วมกับกองกำลังของเหล่าสำนักชั้นนำเพื่อบีบบังคับให้สำนักเซียนอรุณต้องปิดผนึกภูเขา นอกจากนี้ มันก็ยังมีผู้ที่กล่าวว่าสำนักเซียนอรุณต้องการจะเดินบนเส้นทางสู่สวรรค์ ดังนั้นพวกเขาจึงปิดผนึกภูเขาเพื่อตั้งใจฝึกฝน”
“โดยสรุปแล้ว มันก็มีความคิดเห็นที่แตกต่างกันทุกประเภท มันไม่มีคำอธิบายใดที่ถูกต้องซะทีเดียว”
“ท่านเคยบอกว่าท่านมีเคล็ดวิชาลับที่ถูกขโมยมาจากสำนักเซียนอรุณเมื่อ 50 ปีที่แล้วใช่ไหม?” ซุยเฮ็งถามอีกครั้ง
“นั่น… ข้าแค่โม้น่ะ” ชายชราจะยังกล้าโกหกในเวลาแบบนี้ได้อย่างไร? เขารีบอธิบาย “หลังจากที่สำนักเซียนอรุณปิดผนึกภูเขาของพวกเขาแล้ว บางครั้งมันจะมีศิษย์ออกมาจากภูเขาก็จริง แต่พวกเขาก็จะรีบกลับเข้าไปอย่างรวดเร็ว”
“และก่อนจะกลับขึ้นไปบนภูเขา ศิษย์บางคนก็จะรวบรวมวิชากระบี่ของตนเป็นเคล็ดวิชาลับและทิ้งไว้ที่เชิงเขา และนี่ก็คือเคล็ดวิชาลับที่ข้าได้รับมา มันสามารถฝึกฝนจนไปถึงขอบเขตเซียนเทียนได้”
“เพื่อที่จะขโมยเอาเคล็ดวิชาลับนี้ไป อาจารย์และเพื่อนศิษย์ของข้าจึงได้ฆ่าพ่อแม่ของข้า ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อทักษะวรยุทธ์ของข้าแข็งแกร่งพอ ข้าจึงกลับมากำจัดครอบครัวของพวกเขาจนหมดสิ้น!”
เมื่อเขาพูดจบ ใบหน้าของชายชราก็เต็มไปด้วยเจตนาฆ่า
อย่างไรก็ตาม เขาก็สามารถดึงสติกลับมาได้อย่างรวดเร็ว เขารีบระงับอารมณ์โกรธและลดศีรษะของเขาลงพร้อมกับหัวเราะอย่างเคอะเขิน
“แล้วทำไมท่านถึงเลือกมาขายเคล็ดวิชาลับแบบนี้ในคุกล่ะ?” ซุยเฮ็งหัวเราะเบาๆ
“ข้าก็แค่อยากจะหลอกคนอื่น… ข้าจะไปสอนคนอื่นจริงๆ ได้ยังไงกันล่ะ…” ชายชรารีบปิดปากแล้วอธิบายว่า “ตะ.. แต่ข้าไม่ได้อยากจะหลอกท่านนะ!”
“ไม่เป็นไร” ซุยเฮ็งยิ้มขณะที่เขายืนขึ้น “ถ้าไม่ใช่เพราะคำพูดของท่าน ข้าก็คงจะไม่ได้รู้เรื่องราวของสำนักเซียนอรุณ… หืม? ดูท่าแขกจะมาแล้วสินะ”
“ใครกันที่โง่พอจะทำลายคุกใต้ดิน!”
ในขณะนี้ เสียงอันเยือกเย็นก็ดังมาจากส่วนลึกของคุก มันคือพระหนุ่มก่อนหน้านี้
เขามาถึงที่นี่โดยใช้เวลาไม่นาน และเขาก็ไม่ได้สนใจทางเดินที่พังทลายเลย เขาจ้องมองไปที่ซุยเฮ็งพร้อมทั้งกล่าวอย่างเย็นชา “บอกมา เจ้าอยากจะตายยังไง!”