บทที่ 28: มันก็แค่จอมยุทธ์จากชนบท
บทที่ 28: มันก็แค่จอมยุทธ์จากชนบท
“ไม่” พระหนุ่มส่ายหัวและพูดว่า “ตระกูลหลี่น่าจะทำเคล็ดวิชาหายไปแล้ว”
“ไม่เป็นอะไร” ผู้ว่าการมณฑลพยักหน้าและกล่าวว่า “เมื่อร้อยกว่าปีก่อน เจ้าสำนักกระบี่โผนอรุณก็ได้เคยครองโลกยุทธ์ของประเทศลู่เอาไว้ในกำมือ แต่เพราะลูกหลานของเขาที่มันอ่อนแอและไร้ประโยชน์เกินไป ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายจริงๆ”
“ดูเหมือนว่าการส่งคนไปสวมรอยเป็นเจ้าสาวเพื่อสืบหาความจริงจะเป็นเรื่องที่เสียแรงเปล่าซะแล้วสินะ เอาเถอะ เมื่อท่านอาจารย์หวังมาถึง เราก็จะทำลายตระกูลหลี่ลงซะ”
“ท่านผู้ว่าการมณฑล มันเป็นเรื่องจริงไหมที่เจ้าสำนักกระบี่โผนอรุณเคยได้รับคำแนะนำมาจากยอดฝีมือสำนักเซียนอรุณ?” พระหนุ่มถาม
“ข่าวลือในโลกยุทธ์นั้นมีทั้งจริงและเท็จ ใครเล่าจะบอกได้?” ผู้ว่าการมณฑลยิ้มและกล่าวว่า “มรดกของอารามดอกปทุมของเจ้าถูกสืบทอดต่อกันมานานนับพันปี ดังนั้นเจ้าก็น่าจะรู้อะไรหลายๆ อย่างมากกว่าข้านะ”
“ท่านอาจารย์ไม่เคยอนุญาตให้ข้าถามเกี่ยวกับสำนักเซียนอรุณเลย” นัยน์ตาที่หม่นหมองส่องผ่านแววตาของพระหนุ่ม “อย่างไรก็ตาม มันก็มียอดฝีมือระดับแนวหน้าจากเมืองอื่นที่ต้องการจะช่วยเหลือตระกูลหลี่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ดังนั้นแล้วข้าจึงได้ส่งเขาไปคุมขังเอาไว้ก่อน ท่านผู้ว่าการมณฑลต้องการจะทำอะไรกับเขาหรือไม่?”
“โลกใบนี้จะไปมีการช่วยเหลือที่บริสุทธิ์ใจได้อย่างไร? ชายคนนี้จะต้องมีแรงจูงใจซ่อนเร้นหรือทำเพื่อตอบแทนบุญคุณอะไรบางอย่างอย่างแน่นอน” ผู้ว่าการมณฑลเย้ยหยันและกล่าวว่า “อย่างไรก็ตาม บางทีเขาอาจจะมีเงื่อนงำบางอย่างเกี่ยวกับเคล็ดวิชาลับกระบี่โผนอรุณก็ได้ เอาล่ะ งั้นไปทรมานเขาซะ!”
“รับทราบ!” พระหนุ่มพยักหน้าล
ซึ่บ!
ในขณะนี้ เบ็ดตกปลาในมือของผู้ว่าการมณฑลก็ได้ขยับ ใบหน้าของเขาสว่างขึ้น และเขาก็รีบดึงเบ็ดกลับเข้ามา
“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าปลาโง่” ผู้ว่าการมณฑลหัวเราะเสียงดังและโยนปลาลงไปในถังข้างๆ เขา จากนั้นเขาก็ถามว่า “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ท่านหวังกำลังจะมาถึงที่นี่และต้องการให้สถานที่แห่งนี้เป็นฐานเติมเสบียงของพวกเรา ข้าได้สั่งให้เจ้าไปตรวจสอบมาแล้วว่าใครคือบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในมณฑล แล้วเจ้าได้เบาะแสอะไรมาบ้าง?”
“เราได้ข้อมูลบางส่วนมาแล้ว มันเป็นคนที่ชื่อว่าจ้าวกวง” พระหนุ่มกล่าว “เดิมทีเขามาจากมณฑลภูผาไหล แต่เพราะเขาไม่เต็มใจที่จะเข้าร่วมกับท่านหวัง ดังนั้นเขาจึงมาลงเอยที่นี่ และเมื่อดูเผินๆ เขาก็กำลังทำธุรกิจอยู่ แต่ภายใต้หน้ากากนั้น เขาก็ได้ออกปล้นสุสานเพื่อหาเลี้ยงชีพ และนอกจากนี้ เขาก็ยังได้สะสมทรัพย์สมบัติเอาไว้เป็นจำนวนมาก”
“ดีมาก! ข้าไม่คิดเลยว่ามันจะมีคนแบบนี้อยู่ในเมืองเราด้วย” ผู้ว่าการมณฑลหัวเราะเสียงดังและกล่าวต่อว่า “นอกจากจะเป็นคนต่างถิ่นแล้ว เขาก็ยังเคยปฎิเสธท่านหวังอีกอย่างงั้นหรอ? ดูเหมือนว่าวันนี้จะมีโจรกลุ่มหนึ่งออกอาละวาดนะ และช่างน่าเสียดาย ที่เหยื่อในวันนี้น่าจะเป็นลูกเมียของจ้าวกวง!”
“ข้าเข้าใจแล้ว” พระหนุ่มพยักหน้า
“จุ๊จุ๊จุ๊” ผู้ว่าการมณฑลวางคันเบ็ดลงและยืนขึ้น เขามองไปที่พระหนุ่มและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “นายน้อยฮุ่ยฉี เจ้านั้นเป็นพระ แบบนั้นแล้วเจ้าจะยอมทำสิ่งที่ชั่วร้ายอย่างการฆาตกรรม, การปล้นและการทรมานได้อย่างไร?”
“อมิตาพุทธ” ฮุ่ยฉีพนมฝ่ามือเข้าหากันและท่องบทสวดด้วยสีหน้าที่สงบนิ่ง “พระพุทธเจ้าทรงเมตตาและยากจะทนดูชาวโลกทนทุกข์ทรมาน ด้วยเหตุนี้เอง ราชครูจึงยกธงธรรมขึ้นค้ำโลก สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่จักต้องทำเพื่อสร้างความชอบธรรมขึ้นมา เพราะฉะนั้นแล้ว สิ่งที่ข้าทำไป ข้าจึงทำไปเพื่อสนองพระประสงค์ของพระพุทธเจ้า”
“ฮ่าฮ่าฮ่า! ดี! ดี! ดี!” ผู้ว่าการมณฑลหัวเราะอย่างมีความสุขและตบไหล่ของฮุ่ยฉี “งั้นเจ้าไปหาเคล็ดวิชาลับกระบี่โผนอรุณมาก่อนเถอะ สิ่งนี่คือคัมภีร์ล้ำค่าที่มีความลึกล้ำของขอบเขตสัมผัสโลกาซ่อนเอาไว้อยู่ มันเป็นของที่จำเป็นสำหรับพระพุทธเจ้าที่จะใช้เพื่อแสดงพระกรุณาและฉายแสงแก่ชาวโลก!”
“พระภิกษุรูปนี้จะไปที่ห้องขังเพื่อสอบปากคำชายผู้นั้นเดี๋ยวนี้” ฮุ่ยฉีกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องกังวลไป ข้าจะทำให้ดีที่สุด”
“ไปเถอะ” ผู้ว่าการมณฑลโบกมือและยิ้มขึ้นอีกครั้ง “ว่าแต่เจ้าต้องการให้ข้าส่งผู้ช่วยไปด้วยไหม? ท้ายที่สุดแล้ว เขาก็เป็นถึงยอดฝีมือเลยนี่นะ”
“นั่นไม่จำเป็น” ฮุ่ยฉีส่ายหัวและกล่าวว่า “มันก็แค่จอมยุทธ์จากชนบท เขาคงจะไม่สามารถทำอะไรได้มากนักหรอก”
“เช่นนั้นแล้วข้าจะรอฟังข่าวดีจากเจ้า” ผู้ว่าการมณฑลพยักหน้าและยิ้ม จากนั้นเขาก็นั่งลงและเริ่มตกปลาอีกครั้ง
…
คุกประหารโบราณเป็นสถานที่ที่ทำให้ผู้คนรู้สึกสิ้นหวังเพียงแค่อยู่ภายในนั้น
ทั้งความมืดและความอับชื้น มันไม่มีแสงสว่างส่องให้เห็น และแม้แต่พื้นของห้องขังก็ยังโค้งเว้าและขรุขระ สิ่งนี้ทำให้เหล่านักโทษไม่สามารถนอนราบหรือยืนทรงตัวได้ มันเป็นการทรมานที่น่ากลัวมาก
นอกเหนือจากนี้ สภาพสุขอนามัยภายในนั้นก็ยังแย่มาก กลิ่นเหม็นมีอยู่ทั่วไป
หลังจากที่ซุยเฮ็งมาถึงที่นี่ ผู้คนที่เขาเห็นก็ล้วนแต่มีสีหน้ามึนงงและไร้ชีวิตชีวาเหมือนกับกำลังตกนรก
อย่างไรก็ดี สถานที่ดังกล่าวก็ยังทำให้เขาต้องประหลาดใจอยู่ดี
นั่นก็เพราะมันสามารถแปลงเป็นสกุลเงินได้!
“แปลง!”
ซุยเฮ็งสั่งระบบ
[ เงิน: +12 ]
มันไม่ได้เยอะ แต่มันก็ไม่ใช่จำนวนที่น้อยเช่นกัน ก่อนหน้านี้ เขาก็สามารถหาเงินในเมืองเซียงซีได้เพียง 5 คะแนนเท่านั้น
นอกจากนี้ ซุยเฮ็งก็ยังรู้สึกว่าจิตวิญญาณในแก่นแท้ทองคำของเขากำลังได้รับผลกระทบ มันแตกต่างไปจากความหวาดกลัวและความสุขที่เขารู้สึกก่อนหน้านี้
ในครั้งนี้ มันก็เป็นความสิ้นหวังและความเศร้าโศกที่ยากจะพรรณา
อารมณ์ทั้งเจ็ดของบุคคลนั้นประกอบไปด้วย ความสุข, ความโกรธ ความเศร้า, ความกลัว, ความรัก, ความรังเกียจและความโล�
และตามการคาดการณ์ของเขา หากเขาต้องการจะพัฒนาจิตวิญญาณในแก่นแท่ทองคำของเขา เขาก็จำเป็นจะต้องสัมผัสกับส่วนปลายที่อยู่ลึกสุดของอารมณ์ทั้งเจ็ดก่อน
ความกลัวและความสุขจากตอนก่อนหน้านี้นั้นเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบที่ไม่มีค่าพอจะกล่าวถึง และมันยังห่างไกลจากความเพียงพอ
อย่างไรก็ตาม ในคุกแห่งความตายนี้ ความเศร้าโศกของความสิ้นหวังก็หนาแน่นจนแทบจะก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง ซุยเฮ็งสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าจิตวิญญาณในแก่นแท้ทองคำของเขากำลังเติบโตขึ้น
ในแง่ของตัวเลข ระดับความกลัวก่อนหน้านี้ก็อาจเป็นเพียง 0.001 และความสุขก็อาจจะอยู่ที่ 0.005 แต่ความเศร้าในคุกแห่งความตายนี้ก็อยู่ที่ 0.1 เป็นอย่างน้อย
อย่างไรก็ตาม นี่ก็ยังถือได้ว่าห่างไกลจากความต้องการของเขามาก
“ความสุขอันยิ่งใหญ่ ความโกรธอันยิ่งใหญ่ ความเศร้าอันยิ่งใหญ่ ความกลัวอันยิ่งใหญ่ ความรักอันยิ่งใหญ่ ความรังเกียจอันยิ่งใหญ่ ความโลภอันยิ่งใหญ่ สิ่งเหล่านี้น่าจะเป็นรากฐานหลักสำหรับแก่นแท้ทองคำในการพัฒนาจิตวิญญาณ อย่างไรก็ตาม อารมณ์ที่รุนแรงเช่นนี้ก็คงจะหาได้ไม่ง่ายบนโลก”
ซุยเฮ็งคิดในใจ และเขาก็ได้รับความเข้าใจเพิ่มขึ้นมาอีกเล็กน้อยเกี่ยวกับเส้นทางการฝึกตนในอนาคตของเขา
“พ่อหนุ่ม ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ?” ในขณะนี้ ชายชราคนหนึ่งที่อยู่ในห้องขังข้างๆ ก็ถามขึ้น
ชายชราคนนี้ดูเหมือนจะมีอายุประมาณหกสิบถึงเจ็ดสิบแล้ว เสื้อผ้าของเขามอมแมม ผมกระเซอะกระเซิง และใบหน้าของเขาก็ดูสกปรก เห็นได้ชัดว่าเขาถูกขังอยู่ในที่แห่งนี้มานานแล้ว
“ข้ามอบตัวในข้อหาฆาตกรรม” ซุยเฮ็งยิ้มและมองไปที่ชายชรา “แล้วท่านผู้เฒ่าล่ะ?”
“ข้าฆ่าล้างครอบครัวของอาจารย์ของข้าและฆ่าคนไปทั้งหมด 31 คน” ชายชรายิ้มราวกับว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องราวในวันวาน ทันใดนั้นเอง เขาก็เปลี่ยนหัวข้อและพูดว่า “ข้ามีทักษะวรยุทธ์ที่จะรับประกันได้ว่าเจ้าจะเก่งที่สุดในโลกยุทธ์ เจ้าอยากจะเรียนรู้มันไหม?”
“เก่งที่สุดในโลกยุทธ์หมายถึงอะไร?” ซุยเฮ็งถามกลับด้วยรอยยิ้ม
“อยู่เหนือกว่าขอบเขตเซียนเทียนและขอบเขตสัมผัสโลกา การเติบโตขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และสัมผัสจุดสูงสุดของโลกยุทธ์!” ดวงตาของชายชราจ้องไปที่ซุยเฮ็งอย่างแน่วแน่ “ตอนนี้โลกกำลังตกอยู่ในความโกลาหลวุ่นวาย เหล่าวีรบุรุษต่างก็แสวงหาและแย่งชิงมาซึ่งความเป็นใหญ่!”
“หากเจ้าสามารถไปถึงจุดสูงสุดของโลกยุทธ์ได้ ลำพังเพียงการโบกมือของเจ้า เจ้าก็อาจจะสามารถพิชิตดินแดนต่างๆ และขึ้นเป็นราชาได้ หรือไม่บางที เจ้าก็อาจจะก่อตั้งสำนักขึ้นมาและกลายเป็นบรรพบุรุษที่น่าเคารพนับถือ!”
ทันใดนั้นเสียงเดินก็ดังขึ้นอย่างค่อยๆ และผู้คุมก็ปรากฎตัวขึ้นในที่สุด
ผู้คุมเรือนจำมองไปที่ชายชราอย่างดูถูกเหยียดหยามและพูดพร้อมกับรอยยิ้มอันเย็นชาว่า “ผู้เฒ่าจาง นี่เจ้าหลอกขายเคล็ดวิชาลับหมอกเซียนอันไร้สาระของเจ้าอีกแล้วหรอ? ถ้ามันสามารถทำให้เจ้ากลายเป็นผู้ที่เก่งที่สุดในโลกยุทธ์ได้จริง งั้นทำไมเจ้าถึงยังถูกขังอยู่ที่นี่กันล่ะ? ที่เจ้าพูดมันไร้สาระทั้งเพ!”
“ฮึ่ม! พวกเจ้าจะไปเข้าใจอะไร ข้าได้เสี่ยงชีวิตของข้าเพื่อขโมยทักษะวรยุทธ์นี้ออกมาจากสำนักเซียนอรุณเมื่อ 50 ปีที่แล้วเลยนะ!” ชายชราคนนี้ทำสีหน้าราวกับจะบอกว่า 'พวกเจ้ามันโง่'
“เจ้านี่มันใจแข็งจริงๆ! ถึงจะติดแหง็กอยู่ที่นี่มาเป็นเวลากว่า 20 ปีแล้ว แต่เจ้าก็ยังไม่ล้มเลิกคิดจะหลอกขายเคล็ดวิชาลับบ้าบอนี่อีก!” ผู้คุมเรือนจำเยาะเย้ยก่อนที่เขาจะเปิดประตูคุกของซุยเฮ็ง จากนั้นเขาก็ตะโกนด้วยเสียงที่น่ากลัว “เจ้าหนู ออกมาตรงนี้เดี๋ยวนี้ เจ้านายของเราต้องการที่จะพบเจ้า!”
อย่างไรก็ตาม ซุยเฮ็งก็ยังคงนิ่งเฉยราวกับว่าเขาไม่ได้ยินอะไรเลย เขาจ้องมองไปที่ชายชราในขณะที่เขาถามอย่างจริงจังว่า “สำนักเซียนอรุณที่ท่านพูดถึงก่อนหน้านี้มันเป็นสำนักแบบไหนกัน?”
“พ่อหนุ่ม คำพูดของเจ้านี่แปลกจริงๆ” ชายชราหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “ยังจำเป็นต้องถามกันอีกหรอ? แน่นอนว่ามันก็ต้องเป็นสำนักของเซียนที่แท้จริงน่ะสิ! แม้ว่าภูเขาลูกนั้นจะถูกปิดมาเป็นเวลาร้อยปีแล้ว แต่มันก็ยังคงเป็นสำนักอันดับหนึ่งในโลกยุทธ์ สำนักเซียนอรุณ!”
“เจ้าหนู เจ้าหูหนวกรึไง!?” เมื่อผู้คุมเห็นว่าเขาถูกเพิกเฉย เขาก็รู้สึกไม่สบอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง เขาพุ่งตรงไปโดยหมายจะยกมือขึ้นทุบตีซุยเฮ็ง
อย่างไรก็ตาม ซุยเฮ็งก็ทำเพียงแค่หันหลังกลับมาและมองไปที่ผู้คุมอย่างเย็นชา
ในวินาทีถัดมา ร่างของผู้คุมก็ถูกซัดกระเด็นถอยหลังและกระแทกเข้ากับผนังห้องขังจนเขาสลบไป
ผู้คุมคนอื่นๆ สังเกตเห็นความโกลาหลนี้อย่างรวดเร็วและรีบเข้ามาดู พวกเขาตะโกนทันทีว่า “มีคนต้องการจะแหกคุก เรียกรวมผู้คุมเร็วเข้า!”
ทั่วทั้งคุกตกอยู่ในความโกลาหล
ซุยเฮ็งเพิกเฉยต่อเสียงที่น่าหนวกหูนี้ทั้งหมด จากนั้นเขาก็หันกลับไปมองชายชราแล้วกล่าวว่า “บอกข้าเกี่ยวกับสำนักเซียนอรุณ”
“…” ชายชราตกตะลึง เขามองไปที่ผู้คุมด้านหลังซุยเฮ็งแล้วมองกลับไปที่ซุยเฮ็ง เขากลืนน้ำลายอึกใหญ่และฝืนยิ้มออกมา อย่างไรก็ตาม มันก็ดูน่าเกลียดยิ่งกว่าการร้องไห้เสียอีก “แน่นอน!”