ตอนที่ 415 ความทะเยอทะยานของทุกคน!
“ข้าขอยอมแพ้!” ยอดฝีมือดาบฟันเลื่อยโยนดาบฟันเลื่อยลงเขาเหนื่อยจัด จนต้องนั่งลงกับพื้นเบิกตากว้างจ้องมองถังเทียนเขาหมดแรงจนใบหน้าดูแข็งค้าง
ถังเทียนก็ยังหอบหายใจหลั่งเหงื่อท่วมตัวราวกับสายฝนมองดูเหมือนกับว่าเพิ่งขึ้นมาจากสระ ถังเทียนยังคงจ้องกลับและแสดงท่าทีเหนือกว่าเขาเพียงงอตัวและค้ำเข่ารักษาสมดุลในร่างกายเอาไว้
นี่ข้าก็คงเหมือนกับเขาหากว่าข้านั่งลงกับพื้นเหมือนกันไม่ใช่หรือ? แน่นอนว่าไม่! ผู้ชนะจะทำตัวเหมือนกับผู้แพ้ได้ยังไง?คนที่ยืนหยัดได้ย่อมดูยิ่งใหญ่กว่า...
ดังนั้นทั้งสองคนต่างหอบหายใจขณะจ้องหน้ามองกัน
ตวนมู่แทบจะพังทลายหลังจากรออย่างไร้ความหมายถึงหนึ่งชั่วโมง แต่ในที่สุดก็จบจนได้และเขารู้สึกโล่งอก...
เหลือคนรอบตัวเขาเพียงไม่กี่คน วิศวกรจักรกลที่เหลือกลับเข้าไปประจำโต๊ะและเริ่มทำงาน
“นี่ช่างน่าผิดหวัง!” เซรีนมองดูที่จอ นางส่ายศีรษะและถอนหายใจจากนั้นก้มหน้าทำงานของนางต่อไป
ผ่านไปครึ่งชั่วโมงตวนมู่ก็ฟื้นคืนจากอาการมึนชา และสงบจิตใจได้อีกครั้ง
ภารกิจที่ท่านดยุคมอบหมายมาล้มเหลวเป็นความพ่ายแพ้ยับเยิน นักสู้ระดับทองตายไปสามคนนักสู้ดาบเลื่อยยอมแพ้และเขาถูกจับ แต่หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งตวนมู่คิดว่านี่ไม่มีผลอะไรต่อท่านดยุค แม้ว่าเขาจะสูญเสียนักสู้ระดับทองไปสี่คน แต่ก็ไม่มีผลต่อรากฐาน ตรงกันข้ามเมืองสามวิญญาณกลับแสดงพลังออกมาก ดังนั้นท่านดยุคจะต้องให้ความสนใจมากขึ้น นอกจากนี้เมื่อถูกสนใจโดยแผนการร้ายของท่านดยุค เมืองสามวิญญาณก็จะยิ่งเป็นอันตรายมากขึ้น
ตวนมู่รับใช้ท่านดยุคมายาวนานและเขารู้จักนิสัยของดยุคดี เขาเป็นคนยึดติดและดื้อรั้น ความล้มเหลวมีแต่จะทำให้เขาทุ่มเทหนักและเตรียมตัวในอนาคตให้ดียิ่งขึ้นเขาจะต้องแน่ใจว่าการโจมตีครั้งต่อไปจะต้องหนักหน่วงรุนแรงและจะไม่มีอะไรต้านทานเขาได้
แต่พอเขาคิดถึงสถานการณ์ของกลุ่มดาวคนแบกงูแล้วเขาได้แต่ส่ายศีรษะ คนเหล่านี้โชคดีมาก เพราะถ้าดยุคลงมือ ก็จะต้องใช้เวลา
ตวนมู่แล้วเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วยเล่า?
เขายิ้มเยาะให้ตัวเองและรอคอยชะตากรรมอยู่เงียบๆ
ผ่านไปวันแล้ววันเล่า
และแล้วตวนมู่ก็พบได้ทันทีว่าเขาถูกลืมไปจริงๆ
ถูกละเลยไปอย่างสิ้นเชิง...
เขากำลังจะถูกลืมแน่นอน
เป็นความโกลาหลในเมืองสามวิญญาณ ทุกคนวุ่นวายอยู่กับการประเมินผลการต่อสู้ แม้ว่าจะจบลงไปแล้วก็ตาม แต่ไม่มีแผนกใดพอใจกับการต่อสู้
เซรีนหงุดหงิดที่อาวุธจักรกลที่พวกเขาสร้างขึ้นไม่สามารถทนต่อการโจมตีได้แม้แต่ครั้งเดียว เมื่อการต่อสู้จบลง เซรีนรีบเรียกประชุมวิศวจักรกลทุกคนซึ่งถูกล้อเลียนเยาะเย้ยอย่างเคร่งเครียดเป็นเวลาสองชั่วโมง
“รู้ไหมว่าตอนนี้เมืองสามวิญญาณเรามีอีกชื่อว่าอะไร?เมืองจักรกล! แต่ในที่สุดคู่ต่อสู้ก็ทำลายจักรกลของเราพังเป็นชิ้นๆโดยแทบไม่ต้องใช้ความพยายาม ข้าไม่เคยรู้สึกอับอายขายหน้าอย่างนี้ในชีวิตมาก่อน”
“พวกเจ้าคิดว่านักสู้ระดับทองไม่มีทางเอาชนะได้หรือ? อย่างนั้นก็สมเหตุผลแล้วสินะที่เราไม่สามารถทนต่อพลังโจมตีของพวกเขาได้? แย่จริงๆ นี่พวกเจ้ายังคิดว่าตัวเองเป็นลูกผู้ชายอยู่หรือเปล่า?”
“ข้าเคยบอกไว้ก่อนแล้ว เป้าหมายของข้าก็คือเป็นวิศวกรจักรกลที่แข็งแกร่งที่สุดกว่าที่เคยมี! นักสู้ระดับทองกล้าดียังไงถึงได้มาหาเรื่องข้า?”
“ตอนนี้เรามีเพียงเป้าหมายเดียวนั่นก็คือออกแบบอาวุธจักรกลที่ทรงพลังพอจะโค่นล้มนักสู้ระดับทองให้ได้!”
“ใช่แล้ว ไม่เคยมีใครทำแบบนั้นมาก่อน! ดังนั้นเราต้องทำให้ได้! เราต้องทำให้ดีที่สุด! เราจำเป็นต้องพิสูจน์ว่าอาวุธจักรกลที่เหลือแข็งแกร่งทรงพลังที่สุดในโลก เราถูกลืมเลือนมานานแล้วและเราก็มีความสามารถเพียงพอ! ดังนั้นข้าจำเป็นต้องประกาศให้พวกเขารู้ว่ายุคของอาวุธจักรกลจะต้องกลับมา และตอนนี้ถึงเวลาเปล่งประกายของเราแล้ว! เราคือวิศวกรจักรกลที่ดีที่สุด!”
“ไม่ใช่ไม่กี่คน! ข้าต้องการให้เป็นเพียงหนึ่งเดียว! พวกท่านทุกคนเข้าใจไหม?”
เซรีนยืนขึ้นบนโต๊ะมองดูเหมือนคนบ้า ไม่มีท่าทียั่วยวนใจหรือหลอกล่อปรากฏให้เห็นในตัวนาง
วิศวกรจักรกลทุกคนรู้สึกว่าเลือดลมพลุกพล่านทุกคนหัวใจสูบฉีดเต้นแรงราวกับว่ามีลาวาไหลอยู่ในร่างกายของพวกเขา
พวกเขาคุ้นเคยกับการถูกล้อเลียนเสียแล้ว ตั้งแต่พวกเขาเริ่มงานนี้มักจะมีการตักเตือนและหยอกล้อกันอยู่เสมอ
เปล่าประโยชน์ที่จะสิ้นหวังต้องปฏิบัติหน้าที่ให้หนักยิ่งขึ้น...
พวกเขายอมรับทุกคนโดยไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ แต่พวกเขามีความฝันถึงยุคเฟื่องฟูของจักรกลมาหลายครั้งอยู่ก่อนแล้ว
ในช่วงเวลานี้พวกเขาเป็นพวกที่แข็งแกร่งที่สุด พวกเขามีศักดิ์ศรีและเกียรติ
การทุ่มเทชีวิตทะเยอทะยานมีอยู่ลึกในหัวใจของวิศวกรจักรกลทุกคนถูกกระตุ้นด้วยเสียงปลุกระดมของเซรีน
ยุคจักรกล! ยุคของเรา!
ถูกแล้วจะมีอะไรดึงดูดมากไปกว่าเป้าหมายนี้? ยังมีความเย้ายวนอะไรอื่นที่วิศวกรจักรกลไม่อาจต้านทานได้?
แม้แต่วิศวกรจักรกลที่จิตใจมั่นคงที่สุดก็ยังสั่นมิอาจระงับได้
ในห้องวิจัยพลังสายเลือด พวกเขาไม่พอใจกับการต่อสู้ หยาหยาเป็นคนจบการต่อสู้ พวกเขาประสบความสำเร็จเฉพาะกลยุทธกระต่ายพิษเท่านั้น แต่พวกเขาไม่สามารถหาวิธีใช้พิษอย่างมีประสิทธิภาพได้
ที่สำคัญยิ่งกว่ามีข้อติดขัดมากมายในการใช้กลยุทธ
อสูรตรีบุปผาเห็นได้ชัดว่าไม่มีประโยชน์ หยาหยาจับพวกมันมัดอย่างง่ายดายและลากเล่นไปทั่ว
“นักสู้ระดับทอง เป้าหมายของเราต่อไปนี้จะต้องเป็นนักสู้ระดับทอง ถ้าเราสามารถโค่นล้มนักสู้ระดับทองได้ เราก็จะของบประมาณสนับสนุนได้มากเท่าที่เราต้องการ ถึงจะเพิ่มขึ้นสองสามเท่าก็ไม่มีปัญหา...”
เหล่าผู้ชราทั้งบุรุษและสตรีเริ่มมองดูตื่นตัวมากขึ้นเมื่อพวกเขาได้ยินคำว่างบประมาณสนับสนุน จากผู้เฒ่าเฟ่ย
“จะต้องไปกลัวอะไรกับนักสู้ระดับทองเราสามารถฆ่าพวกมันได้ง่ายๆ อยู่แล้ว”
“ฆ่าพวกมัน!”
“ฆ่าพวกมัน!”
ในห้องเต็มไปด้วยบรรยากาศที่โกรธเกรี้ยวและรังสีอำมหิต
ถังโฉ่วจ้องมองดูนักเรียนข้างหน้าเขาอย่างว่างเปล่า พวกเขาเงียบและรู้สึกละอาย พวกเขาสร้างผลงานในการต่อสู้ครั้งนี้ไม่ดี
ถังโฉ่วไม่ได้ถูกท่านปิงดุด่าว่ากล่าวอะไร เพราะเขารู้ว่าใต้เท้าปิงมองดูทหารของเขาเป็นแค่หน่วยประจัญบานกล้าตาย แต่ถังโฉ่วรู้สึกโกรธในใจของเขารู้สึกโกรธตัวเอง
ถังโฉ่วไม่รู้ว่าก่อนนี้เคยมีขุนพลวิญญาณนามว่าฟงโฉ่วซึ่งมักมีอารมณ์ร่วมกับการต่อสู้อยู่เสมอ
อีกทั้งถังโฉ่วก็ไม่รู้ว่าอารมณ์หลงใหลการต่อสู้เช่นนั้นและความผิดหวังในชัยชนะของเขาก็เหมือนกับฟงโฉ่ว แม้แต่ลักษณะการถือดีก็เหมือนกับเขา
เขาคำนับทันที
“โดยหลักแล้วข้าต้องเป็นคนรับผิดชอบในความพ่ายแพ้ครั้งนี้ ข้าเกี่ยวข้องโดยตรงกับการออกแบบกลยุทธนี้ แน่นอนว่าข้าต้องขอโทษอย่างเป็นทางการ ข้าขอโทษด้วย”
ทุกคนมองดูเขาและตกตะลึง
หน้าของม่อจื่อหวีแดง เขารู้สึกว่าเลือดสูบฉีดขึ้นไปไหลเวียนอยู่บนศีรษะเขาโดยตรง ความรู้สึกอัปยศที่รุนแรงท่วมท้นจากก้นบึ้งหัวใจของเขาและเขาต้องการจะหาที่หลบซ่อน หน้าของม่ออู๋เว่ยมีสีสันชัดเจนแต่ไม่แสดงอารมณ์อะไร แต่เขากำหมัดแน่นแน่นมากจนตัวสั่นแสดงให้เห็นว่าภายในจิตใจของเขาไม่สงบเลย
ถังโฉ่วเงยหน้าจ้องมองทุกคนและกล่าวเสียงเคร่งเครียด “ข้าจะออกแบบกลยุทธใหม่และจะทำการปรับปรุงกลยุทธที่สำคัญครั้งนี้ และหวังว่าทุกคนจะร่วมมือกระทำด้วยกัน”
ม่อจื่อหวีและม่ออู๋เว่ยยืนตัวตรงตะเบ็งเสียงพร้อมกัน “ขอรับ!”
บุรุษทั้งสองร้อยคนร่วมประสานเสียง“ขอรับ!”
หยาหยารู้สึกกดดันมันขมวดคิ้วขยับเล่นนิ้วไปมา เจ้านายจะรู้สึกยังไงกับปัญหานี้? เขาจะปล่อยผ่านไปหรือว่าเขา...
ปิงเข้ามาหา“หยาหยา เจ้ากลัวว่าเจ้านายจะตามเรียกเจ้ามาต่อว่าใช่ไหม?”
หยาหยาเงยหน้ามอง ตาของมันเป็นประกายและพยักหน้ารัวๆ
“ความจริงข้ามีวิธีแก้ปัญหาให้นะ” ปิงพยายามหลอกล่อหยาหยา “เจ้าก็เห็นถ้าเจ้าไม่มาปรากฏตัวต่อหน้าเจ้านาย เขาเป็นพวกสมาธิสั้น จะมาจดจำเรื่องอย่างนั้นได้ยังไง?”
หยาหยามีนัยน์ตาเป็นประกาย
“แน่นอนว่า การแก้ปัญหาที่ดีที่สุดตอนนี้ก็คือกลับไปทำงานขุดต่อ และทำเป็นเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
หยาหยาสะดุ้งและรีบวิ่งออกไปอย่างมีความสุข
ปิงพอใจกับวิธีที่เขาใช้หลอกล่อแรงงานเด็กมีการตัดงบประมาณอย่างมาก ไม่มีอะไรดีกว่าแรงงานฟรีๆ อย่างหยาหยา
ในพื้นที่ฝึกฝน
ปังปัง ปัง!
“เอาอีก!” ถังเทียนโยนดาบให้ชี่กวง
ชี่กวงคือยอดฝีมือผู้เชี่ยวชาญดาบใบเลื่อยมีแววโกรธอยู่บนใบหน้า “ก็ข้ายอมแพ้ไปแล้ว เจ้าจะเอาอะไรอีก? ข้ายอมตายดีกว่ายอมถูกหยามหยัน! นักสู้ระดับทองมีศักดิ์ศรีกันทั้งนั้น!”
“รู้แล้ว รู้แล้ว!” ถังเทียนพยักหน้า และพูดต่อ “งั้นขออีกสิบครั้งสิบครั้งแล้วเป็นอันว่าเลิกกัน”
“สิบครั้งจริงๆ นะ?” ชี่กวงมองดูถังเทียนอย่างเหลือเชื่อแต่ก็รีบปั้นหน้าเคร่งเครียด“ลูกผู้ชายต้องรักษาคำพูดนะ”
“เออน่ะ เออน่ะ!”ถังเทียนพยักหน้ารัว
“เจอดาบข้าซะก่อน!
ปัง!
“เอาอีก”
……
“ครบสิบครั้งแล้ว!”
“เจ้าต้องนับผิดแน่ๆ เลยเห็นได้ชัดว่าแค่สามครั้งเอง!”
“สาม?.... เจ้า เจ้า เจ้า.... เจ้าขี้โกง!”
“โฮ่ย...ฝีมือนับเลขเจ้าห่วยยิ่งกว่าข้าเสียอีก! สิบลบสาม ก็เหลืออีกเก้า!”
“จะบ้าเรอะ! เหลือเจ็ดสิเฮ้ย!”
“ก็ได้ๆ! เจ็ดก็เจ็ด!”
“…..”
ถังเทียนพอใจกับการทำให้ชี่กวงเหน็ดเหนื่อยจนเขาแทบจะพังทลาย การต่อสู้จากวันอื่นๆทำให้เขาได้แรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่ถ้าได้ซ้อมมือกับนักสู้ระดับทองก็คงเป็นเรื่องดี
หลังจากชี่กวงยอมแพ้ ถังเทียนไม่ได้ฆ่าเขาแต่ไว้ชีวิตเขาเพื่อใช้ฝึกวิชามือปีศาจพันแปลง
ชี่กวงไม่ได้ขัดขืนตั้งแต่แรกเนื่องจากเป็นเชลยศึก เขาจึงให้ความร่วมมืออย่างดี แต่ใครจะคิดกันเล่าว่าถังเทียนมีพลังไม่รู้จักหมดสิ้นและไม่รู้ว่าความเหน็ดเหนื่อยคืออะไร
ในไม่ช้าชี่กวงก็ไม่สามารถทนได้อีกต่อไป เขาเหนื่อยสายตัวแทบขาดในแต่ละวัน
ถังเทียนก้าวหน้าอย่างมากมายนี่ทำให้เขามีความสุขมากเช่นกัน เนื่องจากเขาไม่ได้ก้าวหน้าเร็วๆ อย่างนี้มานานแล้ว แต่เขารู้สึกว่า ยังขาดอะไรบางอย่าง...
เขาไม่พอใจแค่ชี่กวงเพียงคนเดียวเท่านั้น
จริงสิเซรีนอาจมีเชลยศึกอีกคน..
ถังเทียนนัยน์ตาเป็นประกาย
ตวนมู่ถูกแก้มัด ดูเหมือนเขารู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่น่าสงสัยทำให้เขารู้สึกเสียวสันหลัง
ถังเทียนมัวแต่สนุกอยู่ทางด้านนี้ เขาไม่รู้ว่ายังมีกลุ่มคนที่รอเขาอยู่ที่เมืองเทพสตรี พวกเขาเป็นเหมือนแมวที่เหยียบหลังคาร้อนๆ
เยี่ยนถูพูดด้วยสีหน้าไม่พอใจ “เจ้าถังเทียนมันหายหัวไปไหน?”
อูเซี่ยรู้สึกเหมือนถูกเข็มทิ่มแทง “ช่วงนี้ไม่แน่ใจเหมือนกัน”
ความสงสัยแฝงอยู่ในน้ำเสียงของเยี่ยนถู“เป็นไปได้ยังไงที่เขาหายไปได้ทั้งที่เราจับตาดูอย่างนี้? และนี่ก็หลายวันแล้ว”
“ข้าน้อยว่า...” อูเซี่ยไม่แน่ใจว่าจะตอบยังไงดี
“เขาไปไหน? เขาไปทำอะไร?” เยี่ยนถูพูดเย็นชา “เราไม่รู้เลย! เฮ้อ..ข้าคิดว่าเราตรวจสอบไปทั่วคฤหาสน์แล้วและไม่มีใครเห็นอะไร ดังนั้นเขาคงเหาะไปกระมัง? ถ้าเราจับถังเทียนไม่ได้ อย่างนั้นแผนของเราก็เป็นแค่เรื่องตลก ข้าอยู่ที่นี่เพื่อเป็นตัวตลกงั้นหรือ?”
มีแววโกรธแฝงอยู่ในคำพูดของเยี่ยนถู
ทันใดนั้นคนที่จับตาดูโพล่งเสียงออกมาอย่างตื่นเต้น
“ถัง... ถังเทียนกลับมาแล้ว”