ตอนที่ 13-13 วัฏจักรพันปี
ต้นไม้ใหญ่โตมหึมาสูงเสียดฟ้าและไม้พุ่มไม้เถาสามารถพบเห็นได้ทุกที่บางทีก็มีเถาขนาดใหญ่แขวนอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่และอสูรเวทที่ดุร้ายซ่อนตัวอยู่ทุกที่ภายในป่าดิบนี้ ไพรทมิฬคงอยู่มายาวนาน พื้นที่ปกคลุมไปด้วยชั้นใบไม้ทับถม
บุรุษคนหนึ่งผมสีทองเป็นประกายกำลังเดินอยู่บนใบไม้ทับถมเกิดเสียงแครกในทุกย่างก้าว
“เฮ้อ!”
บุรุษผมทองรู้สึกหนักใจขณะที่เขาระบายลมหายใจยาว
“ภารกิจนี้มัน.. โธ่เว้ย..” บุรุษผมทองรู้สึกจนใจ เขารับคำสั่งของฮันบริทให้มาที่ไพรทมิฬนี้ เพื่อเยี่ยมเยือนลอร์ดเบรุต
จากที่ฮันบริท เขายังได้รู้ว่า...
เบรุตนี้เป็นเทพชั้นสูง!
“ข้าเป็นระดับเทียมเทพ ลอร์ดเบรุตสามารถฆ่าข้าได้แค่เพียงพลิกฝ่ามือ” บุรุษผมทองรู้สึกค่อนข้างกังวลใจ “ข้าไม่รู้ว่าลอร์ดเบรุตมีความเป็นปฏิปักษ์ใดๆกับลอร์ดแอดกินส์ไหม ต่อให้เป็นข้าขอภาวนาว่าขออย่าให้เขาระบายความขุ่นเคืองลงกับผู้น้อยอย่างข้าเลย”
เขาออกจากป่าทึบมาถึงที่โล่งกว้างเป็นทุ่งหญ้าว่างเปล่า
ในใจกลางพื้นที่ทุ่งหญ้ามีปราสาทโลหะหลังหนึ่ง
“ข้าคุชชี่ขอคารวะลอร์ดเบรุต!บุรุษผมทองพูดเสียงดัง เมื่อยืนอยู่ต่อหน้าปราสาทโลหะขณะคารวะด้วยความเคารพ
“เจ้าต้องการอะไร?” เสียงแหบห้าวดังขึ้นในใจของบุรุษหนุ่มผมทองโดยตรง
คุชชี่เงยหน้าทันที แต่เขาไม่เห็นใครอยู่ใกล้ๆมีแต่ปราสาทโลหะเยือกเย็นอยู่ต่อหน้าเขา คุชชี่เข้าใจว่าลอร์ดเบรุตรังเกียจจะพบกับเขาดังนั้นได้แต่ส่งสัมผัสเทพออกไป คุชชี่รีบคารวะและตอบ “ลอร์ดเบรุต ข้าโชคดีพอที่หลบหนีออกมาจากพิภพจองจำเกบาโดสได้ และข้าได้ยินเรื่องสุสานเทพเจ้า ข้าไม่ทราบว่าข้าจะเข้าสุสานเทพเจ้าได้บ้างหรือไม่?”
ถูกแล้ว
สิ่งที่แอดกิสน์สั่งให้เขาทำให้ คือ ให้เทียมเทพอย่างเขาไปตรวจสอบว่าเบรุตคิดเห็นยังไงต่อการเปิดสุสานเทพเจ้า
“จะเข้าสุสานเทพเจ้าหรือ? ได้ เจ้าสามารถเข้าได้!” เสียงแหบห้าวของเบรุตดังขึ้น
ตาของบุรุษหนุ่มผมทองเป็นประกายดีใจทันที
“เพียงแต่ สุสานเทพเจ้าเปิดเพียงพันปีต่อครั้ง ถ้าเจ้าต้องการเข้าไป ก็ให้มาใหม่หลังจากรออีกหนึ่งพันปี” คำตอบของเบรุตทำให้คุชชี่ค่อนข้างประหม่า
“พอเถอะ ตอนนี้เจ้าไปได้แล้ว” เบรุตพูดอย่างใจเย็น
“ลอร์ดเบรุต, ท่านเปิดให้เร็วกว่านั้นได้ไหม?” คุชชี่พูดด้วยความเคารพ
“ข้าบอกให้เจ้าไปได้แล้ว!” เสียงของเบรุตดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
หัวใจของคุชชี่สั่นสะท้าน เขารู้ว่าผลของการล่วงเกินเทพระดับสูงนั้นน่าอนาถ จึงไม่กล้าพูดอีกต่อไป เขาแสดงความเคารพทันที “ขอบคุณ ท่านลอร์ดเบรุต” และจากนั้นคุชชี่ออกห่างจากโลหะปราสาททันที
ภายในโลหะปราสาท
เบรุตลูบเคราดำ และแค่นเสียง “แอดกินส์ผู้นี้เขาส่งพวกเทียมเทพมาตรวจสอบ เป็นไปได้ว่าเขาคิดว่าการมาด้วยตนเองจะสร้างความลำบากมากนักหรือ? ฮึ่ม.. ก็ได้ อย่างนั้น แอดกินส์ข้าจะเล่นกับเจ้าสักเล็กน้อย” ตาของเบรุตมีแววเย้ยหยัน
และจากนั้น เบรุตส่งข้อความผ่านสำนึกเทพไปในทุกทิศเหมือนกับคลื่น
“เทพทั้งหลายที่ยังอยู่ในทวีปยูลานนี้ สุสานเทพเจ้าจะเปิดเพียงครั้งละทุกพันปี และนี่ก็เพิ่งเปิดมาไม่นานนี้เช่นกัน พวกเจ้าที่ปรารถนาจะเข้าสุสานเทพเจ้าต้องรอไปอีกพันปี นอกจากนี้ยังจำกัดจำนวนคนที่จะเข้าได้ มีแต่ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจะได้รับอนุญาตให้เข้า”
แววยิ้มเยาะหยันปรากฏบนใบหน้าของเขา เบรุตส่งข้อความของเขาไปให้เทพทุกตนในทวีปยูลาน
“ดูเหมือนว่าวันเวลาที่จะมาถึงคงสนุกแน่” เบรุตยิ้มกว้าง
ข้อความของเบรุตส่งไปถึงในใจของแอดกินส์พร้อมกับเทพอื่น แอดกินส์ผู้อยู่ในท้องพระโรงวังหลวงกำลังหยอกล้อกับสาวงามน่าลุ่มหลงถึงกับหยุดทันที “ยาหยี!เจ้ากลับไปก่อน คืนนี้ข้าค่อยตามหาเจ้าอีกครั้ง”
“เจ้าค่ะ, ใต้เท้า” หญิงงามผมทองยิ้ม จากนั้นถอยออกมา
แอดกินส์เริ่มไตร่ตรองข้อความที่ส่งผ่านสำนึกเทพของเบรุต
“ลอร์ดแอดกินส์” ชายชราผมเงินเข้ามาจากด้านข้างท้องพระโรงเช่นกัน
“บาร์นาส, เจ้าเข้ามา” แอดกินส์ยิ้มและพยักหน้า “เจ้าน่าจะได้ยินข้อความจากเบรุตเช่นกันสินะ”
เดิมทีแอดกินส์มีสามเทพแท้อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของเขา แต่ตอนนี้แน่นอนมีโอจวินอยู่ฝ่ายเขาเขามีเทพแท้ถึงสี่คน แต่คนที่แอดกินส์เชื่อใจก็คือบุรุษที่อยู่ข้างหน้าเขา บาร์นาส เหมือนกับว่าบุรุษหนุ่มผมเงินฮันบริทกังวลมากเมื่ออยู่ต่อหน้าแอดกินส์
แต่เมื่อบาร์นาสและแอดกินส์คุยกัน กลับเหมือนกับว่าพวกเขาเป็นสหายกัน
“ตามสิ่งที่เบรุตพูด และเรื่องที่เรารู้กฎหนึ่งพันปีต่อครั้งก็น่าจะจริง สำหรับพวกเราหนึ่งพันปีไม่มีอะไรมาก.. ลอร์ดแอดกินส์ ก็แค่รออีกพันปี หลังจากพันปีแล้วเราจะเข้าสุสานเทพเจ้ากัน” ชายชราผมหงอกกล่าว
แอดกินส์ไม่พอใจ เขาย่นจมูกที่เรียวบาง “พันปี...”
“ถ้าข้าต้องรอ ข้าก็จะรอ ข้ากำลังเพลิดเพลินกับการอยู่ในโลกมนุษย์อยู่แล้ว” แอดกินส์พูดด้วยรอยยิ้มสงบ “เพียงแต่ เจ้าเบรุตนั่นกวนโมโหจริงๆ เขาอาศัยพลังหนุนหลังของมหาเทพและพูดเกินไปว่ามีการจำกัดจำนวนคนที่จะเข้าสุสานเทพเจ้าด้วย ฮึ่ม...”
แอดกินส์แค่นเสียงเหยียดหยามเย็นชา
เขามีมุมมองที่ไม่ดีต่อเบรุตแต่แอดกินส์ไม่มั่นใจเต็มที่ว่าเขามีความสามารถฆ่าเบรุตได้ที่สำคัญเบรุตอาจมีสมบัติมหาเทพ
“ฮ่าฮ่า...”ชายชราผมขาวหัวเราะ “ท่านลอร์ดแอดกินส์ มีความปรารถนาจะเข้าไปใช่ไหม? ตราบใดที่เขายอมให้มีคนเข้าไป ใครในทั่วทวีปยูลานคนไหนเล่าจะมีคุณสมบัติมากไปกว่าท่านเล่า,ใต้เท้า? การจำกัดรายชื่อไม่มีผลต่อท่านอยู่แล้วใต้เท้า”
แอดกินส์หัวเราะและพยักหน้า
เขาเป็นเทพชั้นสูง
เบรุตเป็นผู้ดูแลสุสานเทพเจ้าและปกติจะไม่เข้าไปในนั้นเอง นอกจากเบรุตแล้วใครทั่วทั้งทวีปยูลานจะทรงพลังเท่าแอดกินส์เล่า?
ภายในวังหลวงของจักรวรรดิยูลานภายในอ่างน้ำร้อนขนาดมหึมายาวหลายสิบเมตร
บุรุษหนุ่มผมน้ำตาลร่างสูงโปร่งกำลังนอนเปลือยกายอยู่ในอ่างน้ำร้อน น้ำร้อนแบบนี้เป็นสิ่งที่มีแต่ขุนนางระดับสูงสามารถเพลิดเพลินได้ ในอีกด้านหนึ่งของอ่างน้ำร้อนมีคนหลายคนสุมเชื้อเพลิงจากข้างล่างเพิ่มอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาอุณหภูมิไว้
อากาศร้อนอบอ้าว
บุรุษหนุ่มผมน้ำตาลเหมือนกับวิญญาณในหมอกควัน
“พันปีเชียวหรือ? งั้นข้าจะรอ สภาพแวดล้อมของทวีปยูลานนับว่าไม่เลว ดีกว่าพิภพจองจำเกบาโดสมากมายนัก อย่างน้อยก็ไม่ถึงขั้นที่ไม่มีทางรู้ว่าอันตรายคุกคามชีวิตจะเกิดขึ้นเมื่อใด” บุรุษหนุ่มผมน้ำตาลถอนหายใจ
ภายในทวีปยูลลาน เทพชั้นสูงอย่างแอดกินส์เทพแท้ที่ยึดพันธมิตรต่างๆ และจักรวรรดิต่างๆ เทพแท้ซ่อนตนเองอยู่ที่อื่นทั่วไปและพวกระดับเทียมเทพที่รับใช้พวกเทพแท้ยังยินดีจะรั้งอยู่ในทวีปยูลานต่อไป เนื่องจากพวกเขาปรารถนาสมบัติที่เก็บไว้ภายในทวีปยูลานนั้น
ภายในปราสาทเลือดมังกร
ลินลี่ย์ยังคงใช้ชีวิตฝึกฝนอย่างเงียบงัน โดยทั่วไปลินลี่ย์จะพักหนึ่งวันต่อเจ็ดวันและให้เวลากับอาร์โนลด์น้อยหรือไม่ก็ไปพูดคุยกับเรย์โนลด์ ไดลินและคนอื่นๆ แต่แน่นอนว่าเวลาที่เหลือลินลี่ย์จะฝึกฝนอย่างหนัก
ร่างแยกศักดิ์สิทธิ์ของเขาอยู่ในปราสาทเลือดมังกร ขณะที่ร่างหลักของลินลี่ย์ยังคงอยู่ในห้องมิติและเพ่งกับการฝึกพลังชีพจรโลก
ความจริง ไม่มีความแตกต่างกันเลยไม่ว่าร่างไหนจะอยู่ที่ใด ที่สำคัญวิญญาณทั้งสองเป็นวิญญาณดวงเดียวกัน
ภายในห้องมิติ
“สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเสริมวิญญาณของร่างหลัก เนื่องจากร่างแยกศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดที่ต้องการจริงๆ ก็คือกลั่นมุกวิญญาณทองนั้น” มุกวิญญาณทองซึ่งลินลี่ย์ได้รับมาจากพ่อมดผู้วิเศษสร้างขึ้นมาจากดวงวิญญาณยี่สิบล้านดวง
ลินลี่ย์ยอมให้ร่างแยกศักดิ์สิทธิ์ของเขาดูดซับแก่นวิญญาณยี่สิบล้านดวง
และ...
ภายในแหวนของโบมอนต์ มีแก่นวิญญาณที่กลั่นแล้วอยู่หลายล้านดวงขณะที่อีกเกือบร้อยล้านดวงไม่ได้กลั่น ลินลี่ย์ตั้งใจใช้แหวนมังกรขนดเพื่อซึมซับแก่นวิญญาณเหล่านั้นไว้ในร่างหลัก
โบมอนต์ก็มีความตั้งใจจะให้ชิกิต้าช่วยเขากลั่นดวงวิญญาณเหล่านั้น แม้ว่าชิกิต้าจะตั้งใจกลั่นดวงวิญญาณ แต่พลังของเขายังต่ำกว่าพ่อมดจอมเวทมากมายนัก ไม่ว่าเขาจะมีพรสวรรค์มากเพียงใด แต่ความเร็วในการกลั่นดวงวิญญาณเหล่านี้อย่างมากก็เทียบเท่าพ่อมดจอมเวท
ในช่วงเวลาสั้นๆ ไม่กี่เดือนชิกิต้าสามารถกลั่นดวงวิญญาณได้สองสามล้านดวง
ปกติโบมอนต์จะแบ่งวิญญาณให้ชิกิตาแค่เพียงส่วนหนึ่ง หลังจากชิกิต้ากลั่นวิญญาณเสร็จ เขาจึงจะให้วิญญาณส่วนอื่น ดวงวิญญาณส่วนใหญ่เก็บไว้ในแหวนมิติเก็บสมบัติของโบมอนต์
แหวนมังกรขนดกลืนวิญญาณทั้งหมดด้วยตัวเองเมื่อครั้งที่ผ่านมา รวมทั้งแก่นวิญญาณ ทันใดนั้น...
แก่นวิญญาณนับไม่ถ้วนในตอนนี้ลอยเข้าไปในแหวนมังกรขนดและสายใยสีทองนับไม่ถ้วนถูกซึมซับเข้าไปในวิญญาณของลินลี่ย์ วิญญาณของร่างหลักลินลี่ย์เติบโตแข็งแกร่งในระดับที่น่าประหลาด ยิ่งวิญญาณทรงพลังมากความเร็วในการซึมซับก็มากขึ้นเช่นกัน
ในลำดับต่อมาวิญญาณลินลี่ย์มีความก้าวหน้าได้เร็วอย่างน่าประหลาด
เพียงแต่แก่นวิญญาณปริมาณมหาศาลที่ซึมซับเข้าไว้ก็มากจนน่าประหลาดใจ
แก่นดวงวิญญาณเกือบร้อยล้านดวง!
“แก่นวิญญาณยี่สิบล้านดวงทำให้วิญญาณข้าเติบโตทรงพลังมากกว่าสิบเท่าเมื่อเทียบกับแต่ก่อน แก่นดวงวิญญาณร้อยดวง...” ลินลี่ย์อดถอนหายใจทึ่งมิได้ ความจริงลินลี่ย์สามารถบอกได้ว่าวิญญาณของเขาทรงพลังมากมายแค่ไหน จากแค่การมองเห็นความเร็วของชีพจรโลก
เดิมทีเมื่อเขากลายเป็นเทพ กฎธรรมชาติของจักรวาลก็ชะลอตัวลงมา
วิญญาณของลินลี่ย์ถูกอาบอยู่ภายในกฎธรรมชาติของโลก และมีการ...เปลี่ยนแปลงวิญญาณลินลี่ย์อย่างฉับพลันทันที นี่เป็นผลประโยชน์ที่คนผู้จะกลายเป็นเทพจะประสบด้วยตัวเอง
การเปลี่ยนแปลงทำให้ความสามารถในการมองภาพภายในของลินลี่ย์เพิ่มขึ้นกว่าเดิมสิบเท่า หลังจากย่อยดวงวิญญาณทั้งยี่สิบล้านความเร็วในการเห็นภาพของเขาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง การเปลี่ยนแปลงทั้งสองทำให้ความเร็วของเขาเพิ่มขึ้นเป็นร้อยเท่าและทำให้เขาใช้เวลาสั้นๆ สามเดือนก้าวหน้าจากผสานคลื่น 64 ชั้นกลายเป็นคลื่น 32ชั้น
จากการผสานคลื่น 32 ชั้นเป็นคลื่น 16 ชั้น เขาใช้เวลาหนึ่งปีกับสามเดือน
ในช่วงเวลาที่ลินลี่ย์ดูดซับวิญญาณร้อยล้านดวงเหล่านั้นความเร็วในการเห็นภาพของเขาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“ความสามารถในการเห็นภาพภายในของข้าเพิ่มขึ้นอย่างมากมายเวลาทั้งหมดที่ข้าจำเป็นต้องใช้เพื่อบรรลุผ่านการผสานคลื่น 8ชั้นก็คงไม่มากเช่นกัน”
วิญญาณในร่างเดิมของลินลี่ย์มีพลังมากกว่าวิญญาณของร่างแยกอย่างเห็นได้ชัดแม้ว่าหลังจากร่างแยกศักดิ์สิทธิ์จะดูดซับมุกวิญญาณทองไปแล้วก็ตาม ความจริง..เหตุผลที่เองทำให้ลินลี่ย์ต้องการสำเร็จรู้แจ้งวิชาชีพจรโลกเนื่องจากเป็นไปได้เร็ว และเหตุผลที่สองก็คือร่างหลักของเขา เมื่อเข้าถึงระดับเทพก็สามารถแบ่งวิญญาณออกเป็นสองได้อีกครั้ง
ดังนั้นวิญญาณของร่างหลังของเขาแข็งแกร่งกว่าย่อมเป็นเรื่องที่ดีกว่า
ภายในสวนของปราสาทเลือดมังกร
ลินลี่ย์ ไดลิน ทารอส เทพสงครามและคนอื่นๆรวมตัวกันหมด ไม่นานมานี้พวกเขาได้ยินคำสั่งของเบรุตเช่นกัน
“พันปี?” ทารอสถอนหายใจ “แม้ว่าแอดกินส์จะอยู่ในทวีปยูลาน แต่เห็นได้ชัดว่าเป้าหมายของเขาอยู่ที่สุสานเทพเจ้า มียอดฝีมืออีกหลายคนเช่นกันที่จะมีส่วนร่วมในการเปิดสุสานในอีกพันปีข้างหน้า ทุกคนวางแผนจะเข้าไปในอีกพันปีข้างหน้าด้วยหรือ?”
“แน่นอน” เทพสงครามพูดเป็นคนแรก
การเดินทางไปสุสานเทพเจ้าของเขาในครั้งนี้ เทพสงครามไม่ได้รับประกายศักดิ์สิทธิ์ นี่ทำให้เทพสงครามรู้สึกผิดหวัง ที่สำคัญศัตรูเก่าของเขา มหาพรตแคทเธอรีนกลับประสบความสำเร็จได้รับประกายศักดิ์สิทธิ์เทพแท้
“ลินลี่ย์ โอลิเวอร์ แล้วเจ้าทั้งสองคนเล่า?” ทารอสมองดูโอลิเวอร์และลินลี่ย์
“อีกพันปีข้างหน้า?” ลินลี่ย์หัวเราะ แต่ไม่ตอบ
“อาจไป หรืออาจไม่ไปก็ได้” นี่คือคำตอบของโอลิเวอร์
ทารอสจ้อง “โอลิเวอร์! นี่เป็นคำตอบแบบไหนกัน? ‘อาจไปหรืออาจไม่ไปก็ได้’ นั่นเป็นเพียงเงื่อนไขเริ่มต้นหรือ เจ้าอาจยังไม่ให้คำตอบเช่นกัน”
“สิ่งที่ข้าหมายถึงก็คือ...” โอลิเวอร์พูดอย่างจริงจัง “ถ้าภายในพันปี ข้ายังคงอยู่ในพิภพยูลานข้าจะไปสุสานเทพเจ้า หรือไม่ก็ถ้าข้าไปพิภพดินแดนอื่นแล้ว อย่างนั้นก็เป็นธรรมดาที่ข้าคงไม่สามารถเข้าสุสานเทพเจ้าได้อีก”
“ไปพิภพอื่น?” เทพสงครามค่อนข้างงง “ในพิภพอื่นเจ้าจะไม่มีอะไรมากไปกว่าเทียมเทพที่ไม่มีคนหนุนหลัง เจ้าคิดหรือว่าเจ้าจะสามารถใช้ชีวิตดีๆด้วยตัวเองในพิภพจอมเทพ หรือพิภพมหาเทพได้?”
ดินแดนโลกธาตุนับไม่ถ้วนและดินแดนจอมเทพทั้งหมดนั้นคงอยู่มาช้านาน
พิภพจอมเทพมีกองทัพตระกูลและแม้แต่จักรวรรดิที่ทรงพลังอำนาจ เมื่อไม่มีการเชื่อมโยงติดต่อหรือคนหนุนหลังที่นั่นเจ้าอยู่ทวีปยูลานจะดีกว่า ตัวอย่างเช่นทวีปยูลานยังมีสุสานเทพเจ้า เป็นสิ่งที่ยอดฝีมือหลายคนปรารถนาจะเข้าไป
“ลินลี่ย์, ทำไมเจ้าไม่พูดอะไรว่าเจ้าจะเข้าไปหรือไม่?”ไดลินมองดูลินลี่ย์
“พูดไปตอนนี้จะมีประโยชน์อะไร? พันปียังเป็นเวลาที่ยาวนาน..” ลินลี่ย์ถอนหายใจ เขาฝึกมายังไม่ถึงร้อยปี? แล้วพันปีเล่านั่นยาวนานเกินไปหรือเปล่า
ไดลิน ทารอสและเทพสงครามพูดไม่ออกทันที
ถึงตอนนี้พวกเขาจำได้ว่าลินลี่ย์ใช้เวลาเพียงไม่กี่สิบปีก็เข้าถึงระดับเทียมเทพแล้วพูดโดยเปรียบเทียบ.. พันปีต่อไป.. ใครจะรู้ว่าลินลี่ย์จะอยู่ในระดับใด?