Chapter 40 : ห้องใหม่
หลังจากคุยกับโจวเฉินอีกซักพักเถ้าแก่หลิวก็ให้กุญแจโรงฝึกเอาไว้กับเขาและเดินกลับไปที่บ้านเพื่อรักษาตัวต่อ
เขาบอกโจวเฉินว่าเขาจะเข้ามาที่โรงฝึกเป็นครั้งเป็นคราวเท่านั้นและฝากการจัดการทั้งหมดให้กับโจวเฉิน
“ไม่ต้องห่วงอีกไม่กี่วันหลังจากนี้ผมจะเริ่มวางแผนแล้ว เมื่อไหร่ที่แผนการเสร็จสมบูรณ์ผมจะเริ่มดำเนินการทันที”
ในฐานะที่เพิ่งได้งานมาหมาดๆโจวเฉินจึงมีเพลิงปรารถนาในใจไม่น้อย แม้ว่าตอนนี้จะเป็นเพียงแค่ประกายไฟเล็กจ้อยแต่ก็ทำให้เขาเต็มไปด้วยแรงกระตุ้น
หลังจากเถ้าแก่หลิวจากไปโจวเฉินก็ไม่ได้เริ่มวางแผนการพัฒนาโรงฝึกในทันทีแต่อย่างใด กลับกันเขาเริ่มฝึกฝนตัวเองก่อนยกตัวอย่างเช่นต่อยกระสอบทรายหรือฝึกฝนทักษะการใช้หอก
หลังจากฝึกเสร็จเขาก็รู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย เขาหยิบมือถือออกมาและหาข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจโรงฝึกเพื่อทำความเข้าใจว่าควรจะพัฒนาไปในทิศทางไหนดี
“อย่างแรกเลยก็คือโรงฝึกเว่ยเจียงแห่งนี้เป็นโรงฝึกเล็กๆที่ขึ้นทะเบียนกับเมืองหยางอย่างเป็นทางการแล้ว แม้จะไม่มีชื่อเสียง...ไม่สิเรียกว่าไม่มีใครรู้จักเลยดีกว่าแต่ก็ถือว่าเป็นโรงฝึกที่ถูกต้องตามกฏ ดังนั้นก็ไม่น่าจะมีปัญหาด้านกฏหมาย”
“เพื่อยกระดับโรงฝึกและดึงดูดลูกศิษย์ลูกหานอกจากอุปกรณ์พื้นฐานและการโฆษณาแล้วก็ยังจำเป็นต้องมีผลลัพธ์ด้วย หลักๆเลยก็คือผลลัพธ์ของพวกลูกศิษย์ในการแข่งขันหรือความสำเร็จของครูผู้สอน”
“ธุรกิจโรงฝึกดูเหมือนจะเป็นธุรกิจเล็กๆในจักรวรรดิมังกรแต่จากรายงานในช่วงที่ผ่านมาทิศทางการพัฒนาของธุรกิจโรงฝึกเหมือนว่าจะเป็นไปในทิศทางที่ดี ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นรายงานที่ออกมาเพื่อหลอกลวงผู้ลงทุนรึเปล่า...ไม่สิ ไม่นานมานี้เนื่องจากการเข้ามามีบทบาทในสังคมของระบบเซอร์ไววัลที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้เหล่าเซอร์ไวเวอร์ทั้งหลายต่างก็ต้องการยกระดับความแข็งแกร่งในการต่อสู้กันทั้งนั้น แนวโน้มที่ว่านี้ก็น่าจะเป็นเรื่องจริง...”
โจวเฉินศึกษาเกี่ยวกับด้านต่างๆของธุรกิจโรงฝึกบนอินเทอร์เน็ตและวางแผนการพัฒนาอย่างคร่าวๆ
เมื่อคิดมากจนเริ่มสับสนหรือร่างกายฟื้นตัวแล้วเขาก็จะกลับไปฝึกต่อ
วันเวลาผ่านไปอย่างสงบสุข โจวเฉินฝึกอยู่ในโรงฝึกเป็นเวลานานและศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจโรงฝึกบนอินเทอร์เน็ตไปได้มากมาย นอกจากนี้แล้วก็มีไปกินบุฟเฟ่ต์ที่ร้านบุฟเฟต์ชึร้ายแห่งนี้ในบริเวณใกล้เคียงตอนช่วงบ่าย พอเวลาดำเนินมาจนถึง5โมงเย็นเขาก็ปิดประตูโรงฝึกและเดินกลับไปยังห้องเช่า
เอาจริงๆเขาจะเลือกอาศัยอยู่ที่โรงฝึกก็ย่อมได้แต่ในระยะยาวมันจะเป็นการเผยพิรุธเสียเปล่าๆ ดังนั้นเขาจึงเลือกจะหาที่อยู่เอง
เขาเดินมาจนถึงตึกที่เช่าเอาไว้และกำลังจะเดินขึ้นบันได ในตอนนั้นเองก็มีหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งเดินสวนลงมา เธอคนนี้คือเจ้าของตึกแห่งนี้ – ป้าหวัง
ในตอนที่เขากำลังจะเอ่ยปากถามป้าหวังว่ามีห้องเช่าห้องอื่นว่างอยู่ไหมเขาก็พลันได้ยินเสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งดังมาจากทางด้านหลังของป้าหวังเสียก่อน
“ป้าหวัง ผม...ผมไม่อยากจะทำงานหนักอีกแล้ว!”
น้ำเสียงนั้นฟังดูลังเลแต่ก็เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นราวกับกำลังเผชิญหน้ากับความตาย
โจวเฉินที่ยืนอยู่ห่างออกมาเล็กน้อยชะงักไป เขาสงสัยเหลือเกินว่าหูเขาเพี้ยนไปแล้วรึเปล่า
ยังไงก็ตามป้าหวังกลับหมุนร่างกายใหญ่โตของตัวเองกลับไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายจนทำให้โจวเฉินสังเกตุเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มผมสั้นคนหนึ่ง ป้าหวังจับจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเหย่อหยิ่ง
“ไม่อยากจะทำงานหนัก!? เหอะๆมันสายไปแล้วไอ้หนู! ฉันไม่สนใจความคิดของแกหรอก”
หลังกล่าวจบเธอก็หมุนตัวเดินลงบันไดต่อ
โจวเฉินที่ยืนอยู่ด้านล่างรู้สึกว่าบรรยากาศมันค่อนข้างผิดปกติ เขาเริ่มลังเลขึ้นมาเล็กน้อยแล้วว่าควรจะเอ่ยถามเรื่องห้องกับป้าหวังดีไหม
ป้าหวังก้าวเดินลงบันไดมาทีละก้าวๆ ไม่นานนักอีกฝ่ายก็สังเกตเห็นโจวเฉินที่ยืนอยู่ด้านล่าง
“มีอะไรรึเปล่าโจวเฉิน?”
เธอมองมาที่โจวเฉินและส่งยิ้มให้
“ดูจากหน้าตาแล้วนายเองก็คงไม่อยากจะทำงานหนักอีกต่อไปเหมือนกันใช่ไหมล่ะ?”
“ไม่ๆ!”
โจวเฉินหวาดหวั่นจนขนลุกตั้งเมื่อได้ยินคำกล่าวของป้าหวัง
“ผมแค่อยากจะย้ายออกหลังสิ้นเดือนนี้น่ะครับ”
เดิมทีโจวเฉินอยากจะเปลี่ยนเป็นห้องอื่นในตึกนี้แต่ตอนนี้เขาเริ่มกลัวขึ้นมาหน่อยๆแล้ว กลัวอีกฝ่ายจะมีความคิดไม่ดีกับเขา
“เข้าใจแล้ว ย้ายของออกไปก่อนสิ้นเดือนแล้วก็ทำความสะอาดด้วย หลังจากตรวจสอบห้องแล้วฉันจะคืนมัดจำให้”
ป้าหวังไม่ได้แปลกใจกับคำตอบของโจวเฉินนัก เจ้าของตึกอย่างเธอเจอคนที่จู่ๆก็อยากย้ายออกแบบนี้มานักต่อนักแล้ว
หลังจากเจ้าของตึกแซ่หวังร่างยักษ์เดินออกจากตึกไปโจวเฉินก็เดินสวนขึ้นบันไดผ่านร่างของชายหนุ่มผมสั้นไป
วัยรุ่นหนุ่มผู้นี้ดูไม่ได้โกรธที่ถูกปฏิเสธแต่อย่างใด เขาเพียงแค่ขมวดคิ้วละมีท่าทีกังวลเล็กน้อยเท่านั้น
เมื่อสายตาของโจวเฉินกวาดผ่านร่างของอีกฝ่ายสีหน้าของเขากลับสงบนิ่งราวกับว่าไม่ได้รู้สึกอับอายกับการกระทำก่อนหน้านี้เลยแม้แต่น้อย
‘เจ้าหมอนี่ค่อนข้างกล้าหาญนะเนี่ย...’
โจวเฉินรู้สึกว่าคนคนนี้ช่างโดดเด่นและไม่อาจประมาทได้เลยจริงๆ
หลังจากเรื่องราวพิกลๆผ่านพ้นโจวเฉินก็กลับมายังห้องเช่าของตัวเองที่ซึ่งเขาจากไปนานหลายวัน
“พรุ่งนี้ค่อยไปหาที่ดีๆแล้วกัน แพงหน่อยก็ไม่เป็นไรยังไงก็มีงานทำแล้ว”
โจวเฉินรู้สึกว่าความต้องการของห้องเช่าที่เขาต้องการในวันนี้นั้นสูงเกินไปหน่อย เขาอยากจะได้ห้องที่โอ่โถง สบายและราคาถูก นี่เป็นขีดจำกัดทางความคิดที่ถูกปลูกฝังมาจากชีวิตที่แล้ว แต่ในความเป็นจริงนั้นด้วยรายรับของเขาในตอนนี้เขาสามารถหาห้องดีๆได้ไม่ยากเลย
ราตรีผ่านพ้นไปอย่างเงียบเชียบและรวดเร็ว เช้าวันถัดมาร่างของโจวเฉินก็เดินออกมาจากห้อง
ด้วยประสบการณ์จากเมื่อวานเขาจึงทราบเกี่ยวกับห้องเช่าที่กระจายตัวอยู่รอบๆนี้แล้ว บวกกับงบที่เพิ่มขึ้นไม่นานนักเขาจึงหาห้องเช่าที่พึงพอใจได้อย่างไม่ยากเย็นซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากโรงฝึกเว่ยเจียงเท่าไหร่นัก
ห้องเช่าแห่งนี้ครบครันไปทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นห้องนอน ห้องนั่งเล่น ครัวและห้องอาบน้ำ มันมีขนาดราวๆ90ตารางเมตรและมีเฟอร์นิเจอร์พร้อมสรรพ นอกจากนี้ยังมีระเบียงอีกด้วย ตัวของห้องเช่าตั้งอยู่ในพื้นที่ค่อนข้างมีแสงส่องถึงและในบริเวณรอบๆเองก็ไม่ได้เสียงดังเหมือนกับหลายๆที่ในเมืองหยาง เป็นห้องที่เหมาะกับเขายิ่งนัก
ใช้เวลาไม่นานโจวเฉินก็เซ็นสัญญาเช่ากับชายวัยกลางคนซึ่งเป็นเจ้าของตึกคนใหม่จนแล้วเสร็จและทำการจ่ายค่ามัดจำไป
“เดือนละสองพันห้า แพงไปหน่อยแต่ก็ไม่มีที่ไหนที่เหมาะสมว่าที่นี่แล้ว”
หลังจากได้ห้องเขาก็มุ่งหน้ามายังโรงฝึกเว่ยเจียงในเวลาเกือบๆเก้าโมงเช้าและเริ่มการฝึกฝนกับการวางแผนพัฒนาโรงฝึกต่อ
...
ห้าโมงเย็นของวันเดียวกันเขาก็เดินออกมาจากโรงฝึกและมุ่งหน้ากลับไปยังห้องพักห้องเก่าหลังจากจัดการกับมื้ออาหารเย็นเสร็จเพื่อทำการย้ายของไปยังห้องเช่าห้องใหม่
เนื่องจากเจ้าของร่างคนเดิมนั้นจนแกรบจึงไม่มีของชิ้นใหญ่ๆเท่าไหร่นัก เขาเรียกคนขนของคันเล็กๆมาก็มากพอจะย้ายของทั้งหมดได้แล้ว
หลังย้ายเข้ามาอยู่ในห้องเช่าห้องใหม่ที่โอ่โถงกว่าเดิมโจวเฉินก็รู้สึกดีขึ้นมาก เขามองไปยังครัวและตู้เย็นขนาดใหญ่ก่อนจะรู้สึกว่าในอนาคตหลังจากนี้เขาน่าจะทำอาหารกินเอง
“กินข้างนอกไม่ค่อยอุ่นใจเท่าไหร่ ในอนาคตเราควรจะซื้อของจากร้านสะดวกซื้อเข้ามาทำอาหารกินเองคงดีกว่า”
เมื่อคิดถึงเรื่องต่างๆเหล่านี้โจวเฉินก็พลันนึกถึงเรื่องสำคัญขึ้นมาได้
“ภารกิจเซอร์ไววัลครั้งถัดไปคือพรุ่งนี้แล้ว สงสัยจริงๆว่าหนนี้จะได้อะไร...”