Chapter 39 : พรสวรรค์ – รับตำแหน่ง
โจวเฉินอ่านโพสต์ต่างๆบนฟอรั่มอย่างสบายใจและกดคลิ๊กเข้าไปดูในหัวข้อที่พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องของพรสวรรค์
ในโพสต์นี้ผู้ที่โพสต์ได้สรุปเกี่ยวกับข้อมูลของพรสวรรค์เอาไว้หลากหลายรูปแบบ บ้างก็เป็นเซอร์ไวเวอร์ที่เผยออกมาเองขณะที่บางพรสวรรค์ก็เป็นคนอื่นที่คาดเดากันเอาเอง
ตามที่เขาบอก พรสวรรค์กว่า90%ของเหล่าเซอร์ไวเวอร์จะเป็นพรสวรรค์ประเภทเพิ่มค่าสถานะและส่วนใหญ่จะมีผลเพียงทั่วๆไปเท่านั้น
ยกตัวอย่างเช่นพรสวรรค์ ‘ปราดเปรียว’ ที่เพิ่มค่าความเร็วให้0.2หน่วย พรสวรรค์ ‘ฉลาดเฉลียว’ ที่เพิ่มค่าจิตวิญญาณ0.2หน่วยหรือพรสวรรค์ ‘กำยำ’ ที่เพิ่มค่ากายา0.2หน่วย
นอกจากนี้ในบรรดาพรสวรรค์ประเภทค่าสถานะเหล่านี้ก็ยังมีพรสวรรค์ที่ระดับสูงขึ้นไปอีก เช่น ‘ผู้ทรงพลัง’ ที่เพิ่มค่ากายา0.4หน่วย หรือพรสวรรค์ ‘ป่าเถื่อน’ ที่เพิ่มค่ากายาถึง1.0หน่วย ในด้านของค่าสถานะอย่างจิตวิญญาณเองก็มีพรสวรรค์อย่าง ‘ปรีชาญาณ’ ซึ่งเพิ่มค่าจิตวิญญาณสูงถึง1.0หน่วย
นอกจากพรสวรรค์ประเภทเพิ่มค่าสถานะเหล่านี้แล้วก็ยังมีพรสวรรค์ประเภทความสามารถพิเศษชนิดอื่นอยู่อีกไม่น้อย
ยกตัวอย่างเช่นเซอร์ไวเวอร์ชั้นนำคนหนึ่งจากจักรวรรดิเหยี่ยวที่มีชื่อว่า ‘จอมเวทย์พินิจดารา’ ที่ดูเหมือรว่าจะมีพรสวรรค์ประเภททำนายทำให้เขาหลบเลี่ยงอันตรายได้อยู่เสมอ
หรือเซอร์ไวเวอร์ที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เผยเปิดของจักรวรรดิมังกรอย่างผู้อำนวยการขององค์กรเซอร์ไวเวอร์ประจำจักรวรรดิมังกรที่ชื่อหลี่กัวเหลียงเองก็มีพสวรรค์ ‘เก็บเกี่ยว’ ที่ความสามารถของมันก็คือรางวัลที่ได้จะเป็นสองเท่า
นอกจากนี้ก็ยังมีผู้เล่นชั้นนำจากจักรวรรดิหมีที่มีพรสวรรค์ไม่ทราบชื่ออยู่อีก ความสามารถของคนผู้นั้นกล่าวกันว่าทำให้เขาสามารถฟื้นคืนชีพได้
โจวเฉินอ่านโพสต์ๆนี้เสร็จสิ้นในเวลาไม่นานและอดถอนหายใจออกมาไม่ได้
“พรสวรรค์ของคนพวกนี้ไร้เหตุไร้ผลจริงๆกระทั่งฟื้นคืนชีพก็มี ยังไงก็ตามต่อให้ฟื้นคืนชีพได้แต่ก็ต้องมีขีดจำกัดเหมือนกันนั่นแหละ พรสวรรค์ช่วงชิงสกิลของเราเองก็ไม่เลว ตราบใดที่เรายังพัฒนาต่อไปเรื่อยๆซักวันก็คงตามคนพวกนั้นทัน”
โจวเฉินทราบดีว่าตัวเขาจัดว่าอยู่ในระดับทั่วๆไปเท่านั้น ไม่ได้มีจิตใจหรือความสามารถอันโดดเด่นแต่เขาแค่โชคดีกว่าคนอื่นที่ได้พรสวรรค์อันทรงพลังมาครอบครองก็เท่านั้น อนาคตของเขายังไงก็ไม่มีทางด้อยกว่าผู้เล่นระดับสูงเหล่านี้
หลังจากเปิดอ่านข้อมูลในฟอรั่มอยู่อีกพักนึงโจวเฉินก็ผล็อยหลับไป
แม้พึ่งจะตื่นขึ้นมาไม่นานนักแต่เขาก็จำเป็นต้องปรับเวลานอน
หลายชั่วโมงให้หลังโจวเฉินก็ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
เมื่อเขาตื่นขึ้นมาเขาก็เปิดหน้าต่างระบบขึ้นมาทันทีและพบว่าในหน้าช่องเก็บของของเขานั้นมีธนบัตรใบสีแดงจำนวนมากปรากฏขึ้นมา
“ไอเทมที่วางขายขายออกแล้วงั้นหรอ? ไหนดูสิว่าอันไหน”
เนื่องจากเขาตั้งราคาเอาไว้แล้วจึงไม่จำเป็นต้องติดต่อกับผู้ซื้อเวลาขายไอเทมหล่านั้นแต่อย่างใด อีกฝ่ายสามารถซื้อได้เลยตราบใดที่มีเงินเพียงพอ
ดูจากจำนวนเงินที่เพิ่มขึ้นมาในช่องเก็บของแล้วเขาบอกได้เลยว่าไอเทมยังไม่ถูกขายจนหมด นี่นับว่าเป็นเรื่องปกติแต่เขาก็ยังอยากรู้อยู่ดีว่าไอเทมอันไหนที่คนต้องการมากที่สุด
“แท่งเหล็กกับมีดถูกขายออกไปสินะ ไม่คิดเลยว่าของที่แพงที่สุดสองชิ้นจะถูกขายออกไปก่อนแต่ไอ้พวกของถูกๆดันถูกเมินซะอย่างนั้น”
ท่อนเหล็กกับมีดสั้นหายไปจากพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียบร้อยแล้วขณะที่ค้อน แส้ ตะบองกระบองเพรชและขวดยังคงอยู่เหมือนเดิม
“ดูเหมือนอาวุธดั้งเดิมที่ทำจากโลหะจะเป็นที่นิยมกว่าสินะ ถ้าด้ามจับของค้อนไม่มีรอยบาดลึกนั่นก็น่าจะถูกขายออกไปในราคาดีไม่น้อยเหมือนกัน”
หลังจากปิดหน้าต่างระบบลงโจวเฉินกลับยังมิได้นำธนบัตรออกมาจากช่องเก็บของ นั่นก็เพราะว่าเขาตั้งใจจะเก็บให้ได้เกิน200,000เสียก่อนแล้วค่อยนำไปจ่ายค่าภาษีเด็กกำพร้าในคราเดียว
“ด้วยความเร็วขนาดนี้อาทิตย์นี้ก็คงรวบรวมเงินได้จนครบแล้ว”
โจวเฉินชอบความรู้สึกเวลามีเงินยิ่งนัก จากนั้นเขาก็เริ่มคิดแล้วว่าจะใช้เงินพวกนี้ยังไงดี
“เปลี่ยนห้องเป็นห้องที่ดีกว่านี้ดีกว่า ห้องนี้มันเล็กเกินไปหน่อย”
หลังจากคิดอยู่ซักพักโจวเฉินก็ตัดสินใจหาห้องที่ถูกแต่ดีกว่าห้องที่อยู่ ณ ปัจจุบัน
เขาล้างหน้าล้างตาสวมเสื้อผ้าก่อนจะเดินออกจากห้องเช่าและมุ่งหน้าไปยังร้านก๋วยเตี๋ยวที่อยู่ใกล้ๆ หลังจากสั่งก๋วยเตี๋ยวเนื้อชามใหญ่มาชามหนึ่งเขาก็นั่งลงแล้วเริ่มจัดการกับมื้อเช้าของตัวเอง
เอาจริงๆเขาจะกินเยอะกว่านี้ก็ได้แต่มันจะดูผิดปกติไปหน่อยดังนั้นเขาจึงห้ามตัวเองเอาไว้
หลังจากกินก๋วยเตี๋ยวเสร็จเขาก็ออกเดินถอดน่องไปทั่วบริเวณเพื่อหาห้องเช่า หลังจากใช้เวลาไปซักพักเขาก็พบเข้ากับห้องที่เหมาะสม เมื่อเสร็จสิ้นตรงนี้แล้วเขาก็มุ่งหน้าไปยังโรงฝึกเว่ยเหลียงเพราะตอนนี้ถึงเวลาต้องฝึกฝนแล้ว
เมื่อมาถึงทางเข้าโรงฝึกเขาก็พบว่าประตูของโรงฝึกเปิดอยู่ก่อนแล้ว เถ้าแก่หลิวที่ใบหน้าปูดเขียวบวมช้ำกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ภายในโถงฝึก เมื่ออีกฝ่ายสังเกตุเห็นโจวเฉินเขาก็ลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ทันที
“เสี่ยวโจวทำไมวันนี้ถึงไม่มาให้เร็วหน่อยเล่า? ฉันกำลังรอเธออยู่เลยเนี่ย”
“ขอโทษที่มาช้าไปหน่อยนะครับแต่ผมมีเรื่องต้องทำนิดหน่อย ดูจากท่าทีแล้วดูเหมือนว่าคุณจะยังไม่เปลี่ยนใจและอยากให้ผมเป็นหัวหน้าผู้ช่วยประจำโรงฝึกสินะครับ”
โจวเฉินยิ้มรับและเดินเข้ามาในโรงฝึกเว่ยเจียง
“แน่นอน”
เถ้าแก่หลิวพยักหน้า
“ฉันค่อนข้างถูกใจเธอ ถ้าได้เธอมาเป็นหัวหน้าผู้ช่วยประจำโรงฝึกฉันก็เบาใจ ดูสินี่ฉันกระทั่งเตรียมข้อตกลงการรับตำแหน่งเอาไว้ให้เธอเชียวนะ”
ชายชราหยิบเอกสารปึกหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา
“เตรียมเอาไว้พร้อมเชียวนะครับ”
โจวเฉินรับเอกสารไปดูและพบว่าเถ้าแก่หลิวค่อนข้างจริงจังกับเรื่องนี้ไม่น้อยเลย เอกสารนื้คือข้อตกลงการเข้ารับตำแหน่งหัวหน้าผู้ช่วยประจำโรงฝึกอย่างเป็นทางการ ตราประทับของโรงฝึกเว่ยเจียงและรายเซ็นของเถ้าแก่หลิวล้วนแล้วแต่ถูกตีตราลงไปแล้วทั้งสิ้น
“เถ้าแก่หลิวค่อนข้างให้ค่าผมไม่น้อยเลย เอาเป็นว่าจะพยายามไม่ทำให้ผิดหวังแล้วกัน ผมจะเป็นหัวหน้าผู้ช่วยประจำโรงฝึกของคุณให้ก็แล้วกันนะครับ”
โจวเฉินไม่ได้เล่นตัวแต่อย่างใด เขาหยิบปากกาที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาและเซ็นชื่อลงไป
“ลืมเอารูปมาเลย ค่อยแปะทีหลังแล้วกัน”
...
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว โจวเฉินใช้เวลาจัดการกับเรื่องการรับตำแหน่งกับเถ้าแก่หลิวอยู่ซักพักก่อนจะเอ่ยปากอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ต้องการอาหารและที่อยู่เพียงแค่เงินเดือนหนึ่งหมื่นเหรียญก็พอ
ด้วยการนี้โจวเฉินจึงได้กลายเป็นหัวหน้าผู้ช่วยประจำโรงฝึกเว่ยเจียงอย่างเป็นทางการ เขาจะรับหน้าที่ในการจัดการกับคนที่มาท้าทายโรงฝึกและค่อยพัฒนาโรงฝึกแห่งนี้ต่อไป
ขณะเดียวกันเถ้าแก่หลิวก็กล่าวเอาไว้ด้วยว่าเขาจะใช้โอกาสนี้พักฟื้นร่างกายและคิดค้นกระบวนท่าใหม่ของหมัดเพลิงนรกขึ้นมา
“เสี่ยวโจว ฉันเปิดโรงฝึกนี่มาก็หลายปีแล้วแต่ยังไม่เคยมีนักเรียนจริงๆจังๆซักคน ดังนั้นฉันขอใช้โอกาสนี้พักฟื้นและขัดเกลาวิชายุทธตัวเองก่อนก็แล้วกัน ฉันขอฝากโรงฝึกแห่งนี้เอาไว้กับเธอด้วย หวังว่าเธอจะรับสมัครนักเรียนให้ได้ซักยี่สิบคนนะ”
เถ้าแก่หลิวเอ่ยสิ่งที่เขาคาดหวังให้โจวเฉินทราบ
“นักเรียนยี่สิบคน...โรงฝึกนี่น่าจะใหญ่พอรับคนได้มากกว่ายี่สิบคนอยู่แล้ว ไม่มีปัญหาขอเวลาผมสามเดือนแล้วกัน”
โจวเฉินคิดอยู่ซักพักและรู้สึกว่าเรื่องนี้ค่อนข้างท้าทายเขาทีเดียวแต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
เถ้าแก่หลิวพยักหน้ารับ
จากนั้นทั้งสองคนก็คุยเกี่ยวกับรายละเอียดกันอีกเล็กน้อย เช่นว่าค่าธรรมเนียมการสมัครจะเก็บเท่าไหร่ จะสอนอะไรและจะโฆษณาโรงฝึกแบบไหน
หลังจากคุยกันซักพักโจวเฉินก็พบว่าความคิดของเถ้าแก่หลิวค่อนข้างเรียบง่ายมาก นอกจากอยากให้มีนักเรียนมาเรียนรู้หมัดเพลิงนรกของเขาแล้วความคิดอื่นก็ไม่มีอะไรประหลาดแต่อย่างใด