Chapter 37 : จองเวรจองกรรม
ทันใดนั้นเองโจวเฉินก็เพิ่มความดุดันขึ้นไปอีก เขาไม่หลบหรือต้านรับการโจมตีอีกฝ่ายด้วยแรงเท่ากันอีกต่อไป กลับกันเขาเข้าจู่โจมอีกฝ่ายอย่างต่อเนื่องราวกับต้องการน็อกชายหนุ่มคนนี้ให้เร็วที่สุด
พริบตานั้นชายหนุ่มชุดลำลองก็พลันสัมผัสได้อย่างชัดเจนเลยว่าแรงกดดันที่เขาต้องเผชิญนั้นจู่ๆก็เพิ่มขึ้นไปอีกขั้น เดิมทีเขายังสู้กับโจวเฉินได้อย่างสูสีแต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่าตัวเองสามารถล้มลงได้ทุกเมื่อ
ไม่เหมือนกับอีกฝ่ายที่แรงหมดก๊อกไปแล้ว ความเร็วและความรุนแรงในการโจมตีของโจวเฉินแทนที่จะลดลงกลับเพิ่มขึ้น หลังจากอีกฝ่ายใช้แขนป้องกันหมัดของโจวเฉินไปซักพักเขาก็แทบจะยืนทรงตัวไม่อยู่แล้ว
เขาใช้จังหวะที่โจวเฉินโจมตีเข้ามาหมายจะจู่โจมสวนกลับแต่เมื่อโจวเฉินฟาดขาเข้าใส่น่องเขาอีกหนขาของชายหนุ่มก็ด้านชา ความเจ็บปวดแล่นขึ้นมาถึงสมองจนเขาแทบจะหมดสติ
“ไม่ดีแล้ว...เราเริ่มทนไม่ไหวแล้ว...”
ชายหนุ่มชุดลำลองที่รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าร่างกายของเขาทั้งหนาและชาหนึบไปทั้งตัวแถมยังรู้สึกหนักใจอีกด้วย เขาย่อตัวลงเพื่อลดจุดศูนย์ถ่วงลงเล็กน้อยจากนั้นก็ยกแขนขึ้นมาป้องกันการโจมตีของโจวเฉินสุดกำลังโดยหวังว่าอีกฝ่ายจะหมดแรงหลังจากกระหน่ำโจมตีเขาชุดนี้และเปิดโอกาสให้เขาได้โจมตีสวนกลับบ้าง
หากแต่โจวเฉินกลับไม่มีทีท่าว่าจะเหนื่อยอ่อนจากการโจมตีต่อเนื่องเลยแม้แต่น้อย กลับกันยิ่งผ่านไปการโจมตีของเขาก็ยิ่งเร็วขึ้นและเร็วขึ้น หลังจากหมัดอันหนักหน่วงของเขาถูกอีกฝ่ายกันเอาไว้ได้โจวเฉินก็พลันยกขาขวาขึ้นมาเตะไปที่เอวของอีกฝ่ายอย่างแรง
การโจมตีนี้เปรียบดั่งฟางเส้นสุดท้ายก็ว่าได้ ชายหนุ่มที่แทบจะไม่อาจประคองตัวได้อยู่แล้วพริบตาต่อมาก็พลันล้มลงแน่นิ่งบนเวที
กรรมการเดินเข้ามาทันทีและย่อตัวลงนับเลขข้างหูของชายหนุ่มและพยายามพูดกรอกว่าให้รีบลุกถ้าไม่อยากแพ้
“หนึ่ง...”
“สอง...”
เมื่อกรรมการนับเลขสองชายหนุ่มก็ใช้แขนยันตัวลุกขึ้นนั่ง หากแต่ใจสู้แต่สังขารนั้นไม่อำนวยเพราะแค่ลุกขึ้นนั่งได้นั้นยังไม่พอเขายังต้องมีแรงพอจะสู้ต่อด้วย
“ผมขอยอมแพ้”
ชายหนุ่มเมื่อลุกขึ้นนั่งได้แล้วก็เงยหน้ากล่าวกับกรรมการโดยเอ่ยว่าตัวเองยอมรับความพ่ายแพ้และเป็นฝ่ายแพ้ในการประลองครั้งนี้
โจวเฉินที่ยืนอยู่อีกฝากของเวทีอดจ้องไปที่อีกฝ่ายไม่ได้ เขาคิดว่าเจ้าหมอนี่รู้ขีดจำกัดของตัวเองดีไม่น้อย อีกฝ่ายรู้ดีว่าไม่อาจเอาชนะได้จึงไม่มีเหตุผลต้องสู้ต่อให้ตัวเองถูกทุบตีโดยไร้เหตุผลและเลือกที่จะยอมเสียหน้ากล่าวยอมแพ้แทน
การต่อสู้จบสิ้นลงเช่นนี้ ในเมื่อไม่ใช่การแข่งขันอย่างเป็นทางการจึงไม่มีการประกาศผู้ชนะแต่อย่างใด โจวเฉินถอดนวมในมือออกและส่งให้กับกรรมการก่อนจะเดินลงจากเวทีไป ชายหนุ่มชุดลำลองที่พ่ายแพ้เองก็ยืนขึ้นเช่นกันหลังจากนั่งอยู่หลายวินาทีจากนั้นเขาก็ค่อยๆพยุงตัวเดินลงจากเวทีไปอย่างช้าๆ
“เจ้าหนูนายชนะแล้วถ้างั้นก็ตามที่ตกลงกันไว้ ฉันหวังเทียนเฉินจะไม่สนใจเรื่องเกี่ยวกับโรงฝึกเว่ยเจียงนี่อีก ตราบใดที่เว่ยเจียงไม่ได้หลอกลวงใครฉันก็จะไม่สนใจเขาอีก”
เมื่อเขาเดินลงมาจากเวทีชายชราแซ่หวังก็เดินเข้ามาแล้วกล่าวกับเขาด้วยท่าทีจริงจัง
“ขอบคุณคุณด้วยแล้วกัน สำหรับเถ้าแก่หลิวแล้วการเปิดโรงฝึกแห่งนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ในอนาคตรบกวนคุณอย่าได้พาคนมารบกวนเขามากมายขนาดนี้อีก”
โจวเฉินพูดแทนเถ้าแก่หลิว ยังไงซะเขาก็ให้ค่าโรงฝึกราคาถูกแห่งนี้พอสมควรและยังอยากให้มันเปิดต่อไป
“เฮอะๆ ไม่ต้องกังวลฉันจะไม่มารบกวนเจ้าหมอนั่นอีกแต่ไม่ใช่กับนายแน่นอน”
ชายชราแซ่หวังมองโจวเฉินด้วยแววตาเจิดจ้าและเอ่ยยิ้มๆ
“อย่าน่า! อย่ามาวุ่นวายกับผมด้วยเลยจะดีมาก! ถ้าคุณคิดจะมาท้าสู้จริงๆผมก็ขอยอมแพ้ตรงนี้เอาไว้ก่อนเลย!”
โจวเฉินสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าตาแก่นี่อยากจะสู้กับเขา ท่าทีของเขาจึงระมัดระวังตัวขึ้นมาทันใด
“อย่ากังวลนักสิ ฉันขอแนะนำคนที่นายจัดการไปเมื่อกี้ก่อนดีกว่า หมอนั่นเป็นลูกศิษย์คนที่17ของฉัน ส่วนทางด้านทักษะเองก็ด้อยกว่าคนอื่นอยู่นิดหน่อยดังนั้นการที่เจ้าเด็กนั่นแพ้ก็สมควรแล้ว แต่ฉันหวังเทียนเฉินผู้นี้ไม่มีทางยอมรับความพ่ายแพ้แบบนั้นแน่ ฉันยังมีลูกศิษย์อยู่อีกเป็นร้อยคน ในอนาคตฉันจะส่งลูกศิษย์ที่เก่งที่สุดของฉันมาท้าสู้กับนายที่โรงฝึกเว่ยเจียงแห่งนี้ ดังนั้นเตรียมตัวเอาไว้ให้ดี”
ชายชราแซ่หวังกล่าวอย่างมีความสุขด้วยสีหน้าพึงพอใจ
“นี่...”
โจวเฉินพูดไม่ออกขึ้นมาทันใด เขาไม่คิดเลยว่าตาแก่นี่คิดจะใช้เขาเป็นหินลับมีดเพื่อฝึกลูกศิษย์ของตัวเอง
“ทำไม? หรือว่ากลัว?”
ชายชราแซ่หวังยิ้มแต้เมื่อเห็นสีหน้าตกตะลึงของโจวเฉิน จากนั้นเขาก็เอ่ยยั่วโจวเฉินต่อ
“แล้วแต่คุณแล้วกันแต่นั่นก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าผมมีเวลารึเปล่าด้วย ถ้าคุณมาช่วงที่ผมอยู่ที่โรงฝึกพอดีก็ไม่มีปัญหา”
โจวเฉินคิดว่าเขาคงไม่อาจยอมแพ้ง่ายๆได้จึงกล่าวออกไปเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นการมีคนให้สู้ด้วยฟรีๆก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีไม่ต่างอะไรจากการได้วิธีฝึกการต่อสู้เพิ่มเติมเลย
“อืม...เตรียมตัวเอาไว้ให้ดีแล้วกัน อีกไม่กี่วันหลังจากนี้ฉันจะส่งลูกศิษย์คนต่อไปมา”
ชายชราแซ่หวังตบไหล่โจวเฉินและเดินออกไปจากโรงฝึก
พอเขาจากไปคนอื่นๆในโถงฝึกเองก็พากันเก็บข้างของและจากไปเช่นเดียวกัน พวกเขาทยอยกันขึ้นไปบนรถที่จอดอยู่หลายคนและขับหายออกไปจากโรงฝึกเว่ยเจียงในเวลาไม่นาน
นอกจากโจวเฉินแล้วก็เหลือเพียงเถ้าแก่หลิวที่นอนอยู่บนเปลบริเวณมุมโถงฝึกเพียงคนเดียวเท่านั้น
ในเวลานี้ใบหน้าของเถ้าแก่หลิวได้รับการปฐมพยาบาลโดยแพทย์สนามเรียบร้อยแล้วแต่ความเจ็บปวดบนร่างกายนั้นทุเลาลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น พอโจวเฉินเดินเข้ามาก็เห็นว่าใบหน้าปูดบวมนั้นกำลังแสยะยิ้มอยู่
“เถ้าแก่หลิวดีขึ้นรึยัง?”
โจวเฉินย่อตัวลงมองไปที่เถ้าแก่หลิวที่นอนอยู่บนเปล
“อึก...ดีขึ้นมากแล้วล่ะ ขอบใจนะเสี่ยวโจวที่ช่วยฉันแก้แค้น...โดยการจัดการลูกศิษย์ของเจ้าขี้ขลาดนั่น”
กล่าวจบประโยคก็ราวกับว่าการพูดเมื่อครู่จะทำให้กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขากระตุกทำให้เถ้าแก่หลิวกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
“ใจเย็นๆ”
โจวเฉินหมดคำจะพูดแล้วจริงๆ
“เถ้าแก่หลิวทำไมถึงได้ไปรับคำท้าของอีกฝ่ายล่ะ? เขามีคนตั้งเยอะไม่ใช่หรอ? ไม่ใช่ว่านี่เป็นการรังแกคุณฝ่ายเดียวชัดๆเลยรึไง?”
โจวเฉินรู้สึกว่าเถ้าแก่หลิวยิ่งมาก็ยิ่งทำตัวแปลกประหลาด ในฐานะของเจ้าของโรงฝึกเว่ยเจียงแล้วเขากลับปล่อยให้คนอื่นเข้ามาทุบตีเขาในโรงฝึกของตัวเองเสียอย่างนั้น
“นอกจากนี้ทำไมคุณถึงยังไม่หาผู้ช่วยเอาไว้ในโรงฝึกอีกล่ะ? เห็นไหมล่ะว่าไม่มีคนเชียร์คุณเลย”
โจวเฉินรู้สึกว่าเรื่องนี้ค่อนข้างเป็นเรื่องใหญ่ โรงฝึกแห่งนี้นอกจากเจ้าของแก่ๆที่ฝึกอย่างเลอะเทอะไปวันๆแล้วก็ไม่มีพนักงานคนอื่นอีกเลย เขาเดาว่าคงไม่มีที่ไหนในเมืองหยางอีกแล้วที่เป็นเหมือนกับโรงฝึกแห่งนี้
“เฮ้อ เสี่ยวโจวนายต้องรู้นะว่าฉันไม่มีทางเลือก...”
เถ้าแก่หลิวถอนหายใจออกมาด้วยสีหน้าโดดเดี่ยว
“ในฐานะของสุดยอดปรมาจารย์ผู้บัญญัติวิชาหมัดเพลิงนรกแล้วหลิวเว่ยเจียงคนนี้จะหวาดกลัวคำท้าทายจากคนอื่นได้ยังไง? แน่นอนว่าฉันเลยต้องตอบรับคำท้า แต่ไม่คิดเลยว่าคนพวกนั้นจะไม่สนเรื่องศีลธรรมและไม่สนใจจรรยาของผู้ฝึกยุทธ ฉันไม่ทันระวังตัวเรื่องมันเลยลงเอยเช่นนี้ไงล่ะ”
กล่าวถึงตรงนี้เถ้าแก่หลิวก็แสดงท่าทีโมโหออกมาราวกับเขาดูถูกคนเหล่านี้ที่ไม่สนใจเรื่องจรรยาบรรณของผู้ฝึกยุทธก็ไม่ปาน
‘แม่เจ้า ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้เขาเรียกตัวเองว่าปรมาจารย์รึไง? แล้วทำไมจู่ๆถึงเลื่อนขั้นกลายเป็นสุดยอดปรมาจารย์ไปแล้วล่ะ?’
หลังได้ยินคำกล่าวของเถ้าแก่หลิวสิ่งเดียวที่โจวเฉินสนใจกลับเป็นประโยคแรกเท่านั้น