Chapter 36 : ความแตกต่าง
โจวเฉินยืนอยู่บนเวทีอย่างผ่อนคลายไม่มีท่าทีกังวลหรือเคร่งเครียดเลยแม้แต่น้อย
ด้านหนึ่งนั้นเพราะเขาเป็นคนที่มีนิสัยใจเย็นอยู่ก่อนแล้ว อีกด้านนั้นก็เป็นเพราะเขาผ่านภารกิจเซอร์ไววัลที่ไม่ต่างอะไรจากการไปเผชิญหน้ากับสถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมาหลายต่อหลายครั้ง กระทั่งเซอร์ไวเวอร์คนอื่นเขาก็ยังฆ่ามาแล้วดังนั้นสภาวะจิตใจของเขาจึงเปลี่ยนแปลงไปแบบพลิกฟ้าคว่ำดิน การจะทำให้เขารู้สึกกดดันบนเวทีประลองแบบนี้ได้นับว่าเป็นเรื่องยากมาก
ชายหนุ่มชุดลำลองที่เห็นสีหน้าท่าทางผ่อนคลายของโจวเฉินในใจของเขาก็เริ่มระมัดระวังตัวขึ้นมา ที่เคยปรามาสเอาไว้ตอนแรกก็ลดน้อยลงและท่าทีของเขาก็ดูจริงจังขึ้นด้วย
เพียงแค่มองเขาก็บอกได้เลยว่าโจวเฉินไม่ใช่มือสมัครเล่น ถ้าเป็นมือสมัครเล่นเวลาขึ้นมาบนเวทีแบบนี้พวกเขามักจะมีท่าทีกังวลไม่เหมือนกับโจวเฉินในตอนนี้ที่ทั้งผ่อนคลายและเปี่ยมไปด้วยสมาธิ
คนทั้งสองวนรอบเวทีไปมาเพื่อสังเกตท่าทีของกันและกันอยู่หลายครั้งและในที่สุดชายหนุ่มในชุดลำลองก็เป็นฝ่ายเปิดฉากลงมือ เขาย่างเท้าออกไปขณะที่มือข้างซ้ายยกขึ้นมาบังปลายคางเอาไว้ มือข้างขวาก็ปล่อยหมัดออกไปราวกับสายฟ้าฟาดโจมตีไปที่ใบหน้าของโจวเฉิน
การโจมตีของเขาไม่ธรรมดาเลย แม้จะเป็นเพียงการโจมตีตรงๆแบบเรียบง่ายแต่จุดประสงค์ก็เพื่อทดสอบปฏิกิริยาของโจวเฉินเพื่อดูว่าถ้าเขาต่อยใส่อีกฝ่ายจะโจมตีกลับ ป้องกันหรือหลบหลีก
หมัดตรงของชายหนุ่มคนนี้เด็ดขาดเป็นอย่างยิ่ง ในสายตาของคนด้านล่างเวทีหมัดนี้ว่องไวเป็นอย่างมากและยากนักที่ตอบโต้ได้ทันท่วงที
แต่ในสายตาของโจวเฉิน ไม่ว่าจะแง่ความเร็วหรือภัยคุกคามหมัดนี้นับว่าธรรมดายิ่งและไม่มีอะไรพิเศษแม้แต่น้อย
ทั้งหมดนี้หลักๆก็มีสาเหตุมาจากค่าจิตวิญญาณและความว่องไวที่สูงลิบลิ่วของโจวเฉินนั่นแหละ
ในบรรดาค่าสถานะทั้งสามอย่างของโจวเฉิน ค่าสถานะจิตวิญญาณของเขาสูงที่สุดโดยสูงถึง1.8 สิ่งนี้ทำให้ความสามารถในการรับรู้ของเขาแทบจะใกล้เคียงกับคำว่าซุปเปอร์พาวเวอร์ไปแล้ว
ต่อให้เขาหลับตาเขาก็ยังสามารถสัมผัสการเคลื่อนไหวของสิ่งต่างๆรอบตัวในระยะหลายเมตรได้อย่างชัดเจน ไม่ต้องกล่าวถึงคนเป็นๆที่ยืนอยู่ต่อหน้าเขาเลยแม้แต่น้อย
ยิ่งไปกว่านั้นค่าความว่องไวของเขายังสูงถึง1.6ทำให้ความเร็วในการตอบสนองของเขาว่องไวกว่าคนทั่วไป การโจมตีส่วนใหญ่ที่ในสายตาของคนทั่วไปมองว่าไม่อาจหลบได้นั้นเขาสามารถหลบได้อย่างไม่ยากเย็น
โจวเฉินเลือกที่จะหลบหมัดตรงของชายหนุ่ม เขาขยับเท้าเล้กน้อยและเอียงศีรษะไปด้านหลังนิดหน่อยทำให้หมัดของชายหนุ่มจั่วได้เพียงอากาศเปล่า
เหล่าฝูงชนที่ยืนดูกันอยู่ด้านล่างเวทีพลันแตกตื่นกันยกใหญ่
“ไอ้หนูนี่ไม่ธรรมดาแล้ว ความสามารถในการหลบหลีกของมันนี่มันระดับมืออาชีพแล้วนะเนี่ย”
“ใช่ไหม? ทีแรกฉันคิดว่าจะโดนหมัดของศิษย์ปรมาจารย์หวังหมัดเดียวจอดซะอีก”
“จะเป็นแบบนั้นได้ยังไงก็ปรมาจารย์หวังแกบอกเองไม่ใช่หรอว่าไอ้หนูนี่ก็มีดี? ฉันคิดว่าคงต้องสู้กันอีกซักพักนั่นแหละถึงจะตัดสินได้”
“หืม...การประเมินของปรมาจารย์หวังนี่เที่ยงตรงทุกครั้งเลยนะ”
...
ขณะที่คนด้านล่างกระซิบกระซาบพูดคุยกัน สีหน้าของชายหนุ่มที่กำลังสู้กับโจวเฉินอยู่นั้นกลับจริงจังเป็นอย่างมาก
เขายืนยันได้แล้วว่าโจวเฉินไม่ได้อ่อนแอเลย ความแข็งแกร่งของโจวเฉินอาจจะเทียบเท่ากับตัวเขาเลยด้วยซ้ำ
ยังไงก็ตามสถานการณ์แบบนี้กลับไม่ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวเลย กลับกันมันยิ่งทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นเข้าไปใหญ่ หนนี้เขาตามอาจารย์ของตัวเองมาเพื่อฉีกหน้ากากพวกลวงโลกแต่กลับได้เจอกับคู่ต่อสู้ดีๆไปเสียชิบ
ชายหนุ่มผู้นี้มีนิสัยชอบใช้การโจมตีที่ทรงพลังที่สุดของตัวเองจัดการกับคู่ต่อสู้ ดังนั้นหลังจากทำความเข้าใจความสามารถของอีกฝ่ายได้แล้วเขาก็เตรียมจะลงมือสุดกำลัง
เขาไม่จำเป็นต้องทดสอบอะไรอีก พริบตานั้นสเต็ปเท้าของเขาก็ว่องไวขึ้นไปอีกระดับ หลังจากเข้าประชิดตัวโจวเฉินได้เขาก็ยกขาขึ้นตวัดเข้าใส่โจวเฉิน
โจวเฉินไม่เลือกที่จะหลบการโจมตีนี้แต่ใช้ขาขวาของตัวเองปะทะกับอีกฝ่ายซึ่งๆหน้า
หนนี้ดูเหมือนผลจะออกมาเสมอ ทั้งสองฝ่ายถอยออกไปพร้อมๆกัน
ยังไงก็ตามใสความเป็นจริงนั้นความรู้สึกของพวกเขาต่างกันโดยสิ้นเชิง
ทางฝั่งของโจวเฉินเขาใช้แรงไปแค่ครึ่งเดียวเท่านั้นก็เสมอกับอีกฝ่ายได้แล้วแต่อีกฝ่ายอย่างน้อยก็ต้องใช้แรงไปถึง90% ทำให้เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าระดับร่างกายของเขากับอีกฝ่ายนั้นแตกต่างกันเพียงใด
ทางฝั่งของชายหนุ่มเขารู้สึกราวกับเตะแผ่นเหล็กก็ไม่ปาน การปะทะกันเมื่อครู่แม้จะดูเหมือนเสมอแต่คงมีเพียงเขาที่ขาปวดจนชาหนึบที่รู้ว่าผลลัพธ์มันเป็นยังไง คู่ต่อสู้ของเขากลับต่างออกไปโดยสิ้นเชิงเพราะท่าทีของอีกฝ่ายยังคงผ่อนคลายเช่นเดิมไม่แม้แต่จะขยับขาเพื่อคลายกล้ามเนื้อเลยซักนิด
เหตุผลที่ผลลัพธ์มันออกมาแตกต่างถึงเพียงนี้ก็เป็นเพราะค่าสถานะร่างกายของโจวเฉินนั่นเอง ค่าสถานะร่างกายของเขาในปัจจุบันอยู่ที่1.7แต้ม ร่างกายของเขาจึงทรงพลังกว่าและความแข็งแกร่งเองก็สูงกว่าคนทั่วไปหลายเท่า แน่นอนว่านอกจากค่าสถานะร่างกายที่ค่อนข้างสูงแล้วส่วนหนึ่งยังเป็นเพราะเขามีสกิลติดตัวอย่าง ‘พลังช้างสาร’ ที่ทำให้เขาได้รับความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นอีกด้วย
หลังปะทะกันหนนี้ชายหนุ่มชุดลำลองก็รู้แล้วว่าในด้านพลังนั้นตัวเขาไม่ได้เปรียบเลยซักนิดจึงเลือกจะใช้วิธีโจมตีสายฟ้าแลบแทน เขาคิดจะใช้ทักษะการต่อสู้ของเขานี่แหละจัดการกับคู่ต่อสู้
ชายหนุ่มตั้งท่าและปล่อยลูกเตะใส่โจวเฉินไปหลายครั้งรวมไปถึงกวาดขาและถีบตรงๆอีกด้วย เขาคิดจะใช้การโจมตีต่อเนื่องนี้เพื่อทำให้โจวเฉินแสดงจุดอ่อนออกมาเพื่อที่เขาจะได้โจมตีจุดนั้นและจัดการอีกฝ่ายลงให้ได้
ยังไงก็ตามหลังจากที่พยายามอยู่หลายครั้งเขาก็พบว่าความตั้งใจนี้คงไม่อาจสำเร็จได้ ชายหนุ่มที่เป็นคู่ต่อสู้ของเขาแม้จะดูเด็กกว่าแต่สามารถรับมือกับการโจมตีของเขาได้อย่างง่ายดาย ท่าทีของเขาราวกับกำแพงเหล็กไม่มีอาการตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย
ในความเป็นจริงแล้วจะโทษว่าศิษย์ของปรมาจารย์หวังไร้ทักษะก็คงไม่ได้ ในด้านทักษะการต่อสู้แล้วบางทีระดับของเขาอาจจะอยู่ในระดับเดียวกับโจวเฉินหรือกระทั่งสูงกว่าก็เป็นได้
ยังไงซะโจวเฉินก็ไม่เคยเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้มาก่อน เขามีเพียงแค่สกิลติดตัวระดับทองแดงขั้นต่ำอย่าง ‘ศาสตร์การต่อสู้’ เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
สกิลศาสตร์การต่อสู้นี้ไม่ได้ทำให้โจวเฉินกลายเป็นปรมาจารย์การต่อสู้แต่อย่างใด มันเพียงแค่มอบประสบการณ์การต่อสู้และทักษะระดับเบื้องต้นในระดับที่ทำให้เขาไม่ทำผิดพลาดในจุดง่ายๆบวกกับวิธีการใช้พลังที่มีอย่างถูกต้องในระดับเบื้องต้นก็เท่านั้น
สิ่งที่ทำให้โจวเฉินมั่งคงดุจกำแพงเมืองแท้จริงแล้วกลับเป็นค่าสถานะที่ได้เปรียบอีกฝ่ายอย่างไม่เห็นฝุ่นต่างหาก แม้ว่ารูปร่างของเขาจะดูเด็กกว่าชายหนุ่มชุดลำลองและมีน้ำหนักใกล้เคียงกันแต่ค่าสถานะที่เพิ่มขึ้นมาบวกกับสกิลติดตัวที่ได้มาจากภารกิจเซอร์ไววัลทำให้ความสามารถด้านกายภาพของเขาสูงกว่าลักษณะทางกายภาพของตัวเองไปไกลโข ตัวเขาตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรไปจากชายรูปร่างผอมบางแต่กลับมีความสามารถทางกายเท่าผู้ชายกล้ามโต ดูๆไปแล้วลวงโลกยิ่งนัก
เมื่อการประลองดำเนินมาถึงจุดนี้เหล่าผู้ชมด้านล่างก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าความแข็งแกร่งของโจวเฉินซึ่งควรจะธรรมดาแท้จริงแล้วกลับน่าทึ่งนัก การโจมตีของลูกศิษย์ปรมาจารย์หวังแทบจะทำอะไรเขาไม่ได้เลยแถมยังเป็นฝ่ายเหนื่อยเองด้วยซ้ำ
บางครั้งโจวเฉินก็จะใช้ปฏิกิริยาตอบโต้อันฉับไวของตัวเองหลบการโจมตีของคู่ต่อสู้และบางครั้งก็จะรับการโจมตีของอีกฝ่ายตรงๆและถอยออกไปทั้งคู่ เขาควบคุมกระแสการต่อสู้เอาไว้ในกำมืออย่างชัดเจน เรื่องนี้ทำให้ศิษย์ของปรมาจารย์หวังสับสนและห่อเหี่ยวยิ่งราวกับเขากำลังถูกโจวเฉินจูงจมูก
‘พลังกายของอีกฝ่ายไม่ค่อยคงที่นัก พลังกับความเร็วเองก็เริ่มตกแล้วด้วย’
เมื่อการต่อสู้ดำเนินมาถึงจุดนี้สภาพของโจวเฉินกลับยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์แต่คู่ต่อสู้ของเขานั้นแทบจะฝืนทนต่อไปไม่ไหวแล้ว พลังกายของอีกฝ่ายเห็นได้ชัดเลยว่าเริ่มตกลงแล้ว
จริงๆแล้วเรื่องนี้นับว่าธรรมดามากเพราะว่าการต่อสู้นั้นเปลืองแรงอยู่แล้ว มิฉะนั้นพวกการแข่งขันการต่อสู้ประเภทต่างๆคงไม่ตั้งกฏให้มีการพักหายใจหรอก
‘ได้เวลาจบแล้วมั้ง งั้นขอชนะด้วยวิธีการธรรมดาๆเลยแล้วกัน’
โจวเฉินคิดอยู่ซักพักและตัดสินใจไม่โชว์ความแข็งแกร่งออกไปมากนัก เขาจะจบการแข่งขันนี้ด้วยวิธีปกติและธรรมดาที่สุด