Chapter 35 : ประลอง
“เอาล่ะๆ...อย่ากระโตกกระตากขนาดนั้น พักผ่อนดีๆดีกว่า”
โจวเฉินพูดไม่ออกขึ้นมาอีกครั้งเมื่อได้ยินคำกล่าวของเถ้าแก่หลิวที่บอกว่าตัวเขาต่างหากคือผู้ชนะ
เมื่อครู่นี้ก็เห็นอยู่ว่าเถ้าแก่หลิวถูกทุบตีอยู่ฝ่ายเดียวไม่แม้แต่จะสัมผัสเส้นผมของอีกฝ่ายได้เลยด้วยซ้ำ มาตอนนี้เถ้าแก่หลิวกลับคิดเองเออเองไปอีก
โจวเฉินหมุนตัวกลับและคิดว่าจะเดินออกไปซักทีหลังจากที่เห็นว่ามีหน่วยแพทย์สนามเข้ามาทำการรักษาเถ้าแก่หลิวแล้ว
ยังไงก็ตามในตอนที่เขาหมุนตัวกลับไปนั้นเขากลับถูกชายชราในสุดฝึกซ้อมขวางทางเอาไว้
“หนุ่มน้อยนายสินะที่เป็นคนเชียร์เจ้าแก่หลิวคนนี้เมื่อครู่?”
ชายชราคนนี้ไม่ได้ตัวสูงนักแต่กลับมีร่างกายที่บึกบึนสมส่วนและดวงตาแววประกายเจิดจ้า เขาก็คือปรมาจารย์หวังที่ทุบตีเถ้าแก่หลิวจนเละนั่นเอง
โจวเฉินมองไปที่ชายชราเบื้องหน้าด้วยสายตาสับสน
“ก็ใช่แล้วทำไมล่ะครับ?”
เขาคิดขึ้นมาว่าหรือว่าชายคนนี้จะเป็นพวกใจแคบกันนะ? เขาแค่เชียร์ฝ่ายที่ดูยังไงก็แพ้แน่ๆแต่อีกฝ่ายกลับมาหาเรื่องเขางั้นหรอ?
“หนุ่มน้อยฉันไม่สนหรอกนะว่านายจะเชียร์ใครแต่ต้องไม่ใช่เจ้าแก่หลิวนี่ หมอนี่เป็นพวกลวงโลกที่ทำลายชื่อเสียงของวงการศิลปะการต่อสู้เชียวนะ! ไม่เข้าใจรึไง?”
ปรมาจารย์หวังกล่าวด้วยวาจาหนักแน่น
“เรื่อนี้...ถึงเรื่องศิลปะการต่อสู้ของเถ้าแก่หลิวแกจะค่อนข้างพิเศษไปซักหน่อย แต่ก็ได้ยินมาว่าเขายังไม่เคยไปหลอกเอาเงินใครเลยนี่ แบบนี้นับว่าลวงโลกคงไม่ได้มั้ง”
เมื่อคิดได้ว่าเถ้าแก่หลิวที่กำลังถูกปฐมพยาบาลอยู่บนเปลที่อยู่ห่างออกไปแค่ไม่กี่เมตรน่าจะได้ยินโจวเฉินจึงเลือกยืนข้างเขาอย่างหนักแน่น ยังไงซะเขาก็ยังจำเป็นต้องมาฝึกที่โรงฝึกนี้อีกบ่อยครั้งในอนาคตนี่น่า
“ไร้สาระ!”
ยังไงก็ตามเมื่อเขากล่าวประโยคนั้นออกไปแววตาของปรมาจารย์หวังกลับเริ่มเกิดประกายกรุ่นโกรธขึ้นมา
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเจ้าแก่หลิวนี้จะหลอกเงินคนอื่นไปรึเปล่าแต่เรื่องที่มันทำลายชื่อเสียงของวงการศิลปะการต่อสู้ประจำจักรวรรดิมังกรนั่นคือเรื่องจริง! ทักษะด้านศิลปะการต่อสู้ของมันเองก็ไร้สาระสิ้นดีแต่กลับกล้าเรียกตัวเองว่าปรมาจารย์! ถ้าเจ้าหมอนี่ไม่ใช่พวกลวงโลกแล้วจะเป็นอะไร? พวกลวงโลกแบบนี้เลวร้ายยิ่งกว่าพวกหลอกเงินคนอื่นด้วยซ้ำ!”
‘สมองมีปัญหารึไงเนี่ย? ทำไมจู่ๆถึงได้โกรธขึ้นมาล่ะ?’
โจวเฉินรู้สึกว่านิสัยของคนๆนี้ค่อนข้างประหลาดนัก เขาไม่มีเหตุผลให้ต้องเถียงกับอีกฝ่ายอีกต่อไปดังนั้นเขาจึงเตรียมจะจากไปทันที
ยังไงก็ตามอีกฝ่ายก็ดูเหมือนว่าจะสังเกตเห็นว่าเขาไม่สนใจตนอีกจึงยิ่งโกรธเข้าไปใหญ่แต่ไม่นานนักรอยยิ้มก็เริ่มปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเขา จากนั้นเขาก็เหยียดแขนออกไปจับไหล่ของโจวเฉินเอาไว้
“หึๆ หนุ่มน้อยฉันสัมผัสได้ว่านายเองก็ผ่านการฝึกศิลปะการต่อสู้มาเหมือนกัน น่าจะพอรู้จักวิชาการต่อสู้ใช่ไหมล่ะ? ทำไมไม่ไปเจอกันบนเวทีซักหน่อยล่ะ! ใครชนะก็ถือว่าคำพูดของคนๆนั้นถูกต้องเป็นไง!”
“ไม่จำเป็น!”
โจวเฉินหมุนตัวเตรียมจะจากไปทันที
“ผมเป็นแค่คนที่ชอบศิลปะการต่อสู้เท่านั้นจะไปเป็นคู่ต่อสู้ให้คุณได้ยังไง? ไม่มีความจำเป็นต้องแข่งด้วย ผมยอมแพ้เลยก็ได้”
โจวเฉินไม่อยากจะวุ่นวายกับตาแก่นี่อีก ถ้าเขาตอบตกลงสู้กับอีกฝ่ายก็คงโง่เต็มที ถ้าเขาชนะอีกฝ่ายก็พูดได้ว่าเขารังแกคนแก่แต่ถ้าเขาแพ้อีกฝ่ายก็คงบอกว่ากระทั่งคนแก่เขาก็ยังเอาชนะไม่ได้ จะทางไหนก็ไม่คุ้มทั้งนั้น
ความเป็นไปได้ที่อีกฝ่ายจะแกล้งเจ็บเพื่อเรียกค่าสินไหมเองก็ไม่ใช่ศูนย์ ดังนั้นเขาจึงไม่คิดจะสู้อย่างเด็ดขาด
“อะไรกัน? ชายหนุ่มอย่างนายไม่มีความกล้าแม้แต่จะสู้กับคนแก่อย่างฉันเลยรึไง?”
ชายชราแซ่หวังขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเห็นว่าโจวเฉินปฏิเสธ
“เอาแบบนี้เป็นไง ในฐานะที่ฉันเป็นผู้อาวุโสในวงการศิลปะการต่อสู้ฉันจะไม่รังแกนาย ตราบใดที่นายชนะลูกศิษย์ของฉันได้ฉันก็จะทำตามที่นายต้องการและไม่คิดว่าหลิวเว่ยเจียงคนนั้นเป็นพวกลวงโลกอีก คิดว่าไง?”
“พูดจริง?”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงกวนไม่เลิกโจวเฉินก็เริ่มโกรธขึ้นมาบ้างแล้ว เขาสัมผัสได้ว่าคนอื่นๆในโถงเองก็กำลังให้ความสนใจกับบทสนทนาของพวกเขาและคิดว่าถ้ายังทำตัวขี้ขลาดต่อไปคงไม่ใช่เรื่องดีนักเพราะจะทำให้เขายิ่งอารมณ์เสียเข้าไปใหญ่ ดังนั้นเขาจึงคิดจะรับคำท้าไร้สาระนี่ซักครั้ง
ก็แค่สู้เองไม่นับว่าเป็นอะไรสำหรับเขาทั้งนั้นนั่นแหละ ขนาดมอนสเตอร์ดุร้ายยังตายคามือเขามานักต่อนักแล้วแถมกระทั่งมนุษย์ด้วยกันเขาก็ยังลงมือสังหารไปแล้วหลายคน กะอีแค่ประลองเล่นๆแบบนี้เขาจะต้องกลัวด้วยรึ?
“แน่นอน ฉันหวังเทียนเฉินไม่เคยกลับคำพูด!”
เมื่อชายชราแซ่หวังเห็นว่าโจวเฉินรับคำท้าเขาก็ปลดมือจากไหล่ของโจวเฉินและหันไปเรียกชายหนุ่มคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังออกมา
“นี่คือลูกศิษย์คนที่17ของฉัน ด้านทักษะศิลปะการต่อสู้อาจจะถือว่าอยู่ในระดับกลางเท่านั้น ตราบใดที่นายชนะเขาได้ฉันก็จะไม่มายุ่งกับโรงฝึกเว่ยเจียงนี่อีกต่อไป”
ชายชราแซ่หวังชี้ไปชายหนุ่มร่างสูงโปร่งในชุดลำลองคนหนึ่งที่ดูแล้วน่าจะมีอายุราวๆยี่สิบปี
ชายหนุ่มคนนี้เมื่อถูกเรียกออกมาก็ดูจะสับสนเล็กน้อย เขากล่าวกับชายชราแซ่หวังออกมาด้วยความไม่สบายใจเท่าไหร่นัก “อาจารย์ครับแบบนี้ไม่ค่อยดีรึเปล่า? หมอนี่เป็นแค่พวกชอบในศิลปะการต่อสู้เองนะ”
“ทำไมจะไม่ดี? อาจารย์ของแกประเมินไม่ผิดหรอก คนๆนี้น่าจะไม่อ่อนแอไปกว่าแกแน่นอน! สู้ซะ!”
ชายชราแซ่หวังกล่าวกับชายหนุ่มร่างสูง
“เข้าใจแล้วครับ...”
ชายหนุ่มเกาศีรษะ
“เสร็จยัง? ถ้ายังไม่เริ่มซักทีจะไปแล้วนะ”
โจวเฉินที่ยืนอยู่อีกด้านโพล่งออกมา เขาตัดสินใจแล้วว่าจะรีบๆขึ้นไปสู้ให้จบๆเพราะไม่อยากเสียเวลาอีก เขาไม่อยากจะมาเสียเวลาทั้งคืนที่นี่หรอกนะ
“เอาล่ะถ้าพร้อมแล้วก็ไปที่เวทีได้เลย กฎก็คือนอกจากจุดสำคัญอย่างดวงตาและหลังหัวกับลำคอแล้วทุกๆส่วนสามารถโจมตีได้หมด ถ้าล้มเกินสามวินาทีถือว่าแพ้”
ก่อนการแข่งขันจะเริ่มต้นปรมาจารย์หวังก็เริ่มอธิบายกติกา กติกาเหล่านี้ก็พอเข้าใจได้และก็เพื่อเป็นการป้องกันด้วย
“เข้าใจแล้ว เริ่มได้เลย”
โจวเฉินตอบกลับทันควันและเดินไปยังด้านข้างเวทีเป็นคนแรก จากนั้นเขาก็ตวัดขาข้ามเชือกขึ้นไปยืนบนเวที
ชายหนุ่มในชุดลำลองที่เห็นว่าโจวเฉินขึ้นไปบนเวทีแล้วก็รีบปีนเชือกตามขึ้นไป
ด้านหลังของคนทั้งสองอย่างชายวัยกลางคนที่ห้อยนกหวีดเอาไว้บริเวณลำคอเองก็ตามขึ้นมาบนเวทีเช่นเดียวกัน ชายวัยกลางคนผู้นี้รับหน้าทีเป็นกรรมการนั่นเอง
“ใส่นี่ซะ”
กรรมการยื่นนวมให้กับโจวเฉินและชายหนุ่ม
หลังจากทุกๆอย่างพร้อมสรรพ โจวเฉินและชายหนุ่มร่างสูงในชุดลำลองก็เดินไปยืนคนละด้านของเวที จากนั้นชายวัยกลางคนที่รับหน้าที่เป็นกรรมการก็เป่านกหวีดเพื่อเป็นการประกาศเริ่มการประลอง
ในตอนที่การประลองเริ่มขึ้นชายหนุ่มก็ยกแขนขึ้นมาบังส่วนใบหน้าเอาไว้ ส่วนเท้าก็ขยับไปมาเพื่อหาจังหวะโจมตีใส่โจวเฉิน
โจวเฉินเองก็ทำแบบเดียวกัน เขายกแขนขึ้นมาบังบริเวณใบหน้าเอาไว้และขยับเท้าไปมาอย่างลื่นไหลเพื่อมองหาจุดอ่อนของอีกฝ่าย
‘คิดซะว่าเป็นการฝึกต่อสู้แล้วกัน ถึงจะไม่ได้เกี่ยวกับภารกิจเซอร์ไววัลซักเท่าไหร่แต่ก็ยังดีกว่าฝึกคนเดียวล่ะนะ’
เหตุผลอีกข้อที่โจวเฉินตอบรับคำท้านั้นไม่ใช่แค่เพราะความโกรธอย่างเดียวแต่ยังเป็นเพราะเขาอยากจะฝึกซ้อมด้านการต่อสู้ด้วย การหาคู่ซ้อมมือแบบฟรีๆให้ได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ...