อาณาจักร ฮาร์ดี้ 1945 ตอนที่ 184 ฮาร์ดี้กรุ๊ป
*เนื่องจากจะสิ้นปี แจกตอนฟรีถึง 190 จ้า*
ตอนที่ 184 ฮาร์ดี้กรุป
เหตุการณ์อื้อฉาวนี้ทำให้สถานะของบริษัทเอนบีซีในสายตาของผู้ชมถูกลดทอนลงไปแล้ว และมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะกลับมาโด่งดังอีกครั้งโดยการโปรโมท
ในเวลาเดียวกัน
การประท้วงก็ยังไม่หายไปจนกระทั่งผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ถึงจะเบาบางลง แต่ชื่อเสียงของพวกเขาก็ยังไม่ดีขึ้นและสถานีโทรทัศน์โคลัมเบียก็ยังโดนผลกระทบนี้ไปด้วยจากเหตุการณ์คุกคามเอบีซี
ทำให้เอบีซีถือโอกาสนี้ยืนเหนือกว่าสถานีโทรทัศน์อีกสามแห่ง
ซึ่งมันก็คือการแก้แค้นของฮาร์ดี้
ส่วนการโจมตีฝ่ายตรงข้ามเพื่อเอาดีเข้าตัวเอง ยังไงในแต่ละฝ่ายมันก็ต้องมีการสูญเสียกันอยู่แล้ว
แน่นอนว่าเรื่องนี้มันยังไม่จบ
ในเวลานี้เฮนรี่กำลังเฝ้ามองอะไรบางอย่างอยู่...โดยที่สถานีเอนบีซีเขาได้ซื้อนักวางแผนและนักตัดต่อมา ส่วนสถานีโคลัมเบียเขาได้ซื้อนักเขียนข่าวกับพิธีกรข่าวมา
คนจากทั้งสองสถานีนั้นสามารถให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับหน่วยข่าวกรองกับเขามากมาย เช่น รายการที่ทั้งสองสถานีกำลังผลิตอยู่ พร้อมกับข่าวภายในของสถานีทั้งสองด้วย
ต้องบอกว่าแค่ความผิดพลาดเล็กๆ ก็อาจทำให้บริษัทได้รับผลกระทบใหญ่หลวง
ซึ่งขณะนี้หน่วยข่าวกรองของเอชดีนั้นกำลังขยับขยายตามคำสั่งของฮาร์ดี้ โดยเขาได้ขอให้พัฒนาเป็นแผนกข่าวกรองที่สามารถรวบรวมข่าวได้หลากหลาย เช่น สอดแนบความลับ สืบสวน ติดตามและปิดกั้นข้อมูล พร้อมกับสร้างเครือข่ายข่าวของตัวเอง
เพราะยังไงพวกเขาก็เป็นหน่วยข่าวกรองลับๆ อยู่แล้ว
และการซื้อคนจากสถานีโทรทัศน์ก็ดีกว่าการที่เราจะไปหามาเอง ซึ่งฮาร์ดี้จะรู้เป็นคนแรกเสมอที่รู้ว่าศัตรูกำลังทำอะไรและหาทางตอบโต้พวกเขา
ตัวอย่างเช่นในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาสถานีโทรทัศน์โคลัมเบียกำลังเตรียมเปิดรายการใหม่ๆ และเข้าไปคุยกับโรงละครบอร์ดเวย์ในนิวยอร์กเพื่อที่จะเอามาถ่ายทอดสด
ซึ่งในตอนแรกโรงละครบรอดเวย์ก็ดูสนใจเล็กน้อย แต่พวกเขาก็ไม่ได้เซ็นสัญญาความร่วมมือในทันที
ในวันต่อมาสถานีโทรทัศน์เอบีซีก็ได้เซ็นสัญญากับโรงละครบรอดเวย์ไปเรียบร้อย โดยในอนาคตที่นี่จะมีการถ่ายทอดสดรายการเช่น บัลเล่ต์ โอเปร่า และการแสดงดนตรีในอนาคต
เมื่อผู้บริหารระดับสูงของโคลัมเบียได้รับข่าว พวกเขาต่างก็โกรธมาก
แต่พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะเอบีซีได้เซ็นสัญญาไปแล้ว
แล้วเหตุที่ฮาร์ดี้นั้นเซ็นสัญญาได้รวดเร็วมันก็เป็นเพราะเขาได้ไปคุยกับเจ้าพ่อมาเฟีย และใช้เส้นสายของเจ้าพ่อมาเฟียสำหรับการติดต่อผู้บริหารระดับสูงของโรงละครบรอดเวย์
ทำให้สงครามระหว่างสถานีโทรทัศน์ทั้งสามแห่งจบลงด้วยชัยชนะครั้งใหญ่ของเอบีซี...และในช่วงนี้สถานีโทรทัศน์ทั้งสองก็พยายามจะไล่ตามเอบีซีให้ทัน
แต่พวกเขาก็ดันตกเข้าไปในบ่อโคลนตั้งแต่เริ่มออกตัว มันเลยเป็นการยากที่พวกเขาจะลุกขึ้นกลับมาเติบโตได้อีก
ในช่วงเวลานี้สถานีโทรทัศน์เอบีซีก็พัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด ซึ่งผู้ชมก็ชอบรายการต่างๆ ของเอบีซีเป็นอย่างดี
ทีวีช้อปปิ้งในตอนนี้ยิ่งเติบโตมากกว่าเดิม
แอนดี้จึงมารายการสิ่งต่างๆ ให้ฮาร์ดี้ฟัง
"รถมอเตอร์ไซค์ทั้งหมด 5,000 คัน ที่เราซื้อมาก่อนหน้านี้ได้ขายหมดไปแล้ว แม้ว่าเราจะขายในราคาถูกแต่เราก็ซื้อมาในราคาที่ต่ำมากเหมือนกัน และเราก็ได้กำไรอยู่ที่ 126,000 ดอลลาร์"
"เนื่องจากมอเตอร์ไซค์คันนี้กลายเป็นที่นิยม โรงงานมอเตอร์ไซค์เลยได้รับการพูดถึงปากต่อปากจนมีชื่อเสียงมากขึ้น ผมเลยขอให้ใครบางคนลงบทความเล็กๆ ในหนังสือพิมพ์ โดยแนะนำว่าตอนนี้โรงงานมอเตอร์ไซค์กำลังมีอนาคตที่สดใสและราคาหุ้นของโรงงานมอเตอร์ไซค์ก็กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง"
"ซึ่งเดิมทีเราซื้อหุ้นของโรงงานผลิตรถมอเตอร์ไซค์ที่ 58.3 ดอลลาร์ และเราก็ลงทุนไปที่ 140,000 ดอลลาร์ แต่ในตอนนี้มูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 520,000 ดอลลาร์แล้ว ผมเลยอยากถามบอสว่าเราจะยังเก็บหุ้นของโรงงานมอเตอร์ไซค์ไว้ก่อนไหม?" แอนดี้ถาม
ฮาร์ดี้โบกมือไปมา "นายตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องลงทุนได้ด้วยตัวเองเลย ไม่ว่าตอนซื้อหรือขายก็ตาม"
แอนดี้รู้สึกประทับใจมากที่บอสให้ความไว้วางใจแก่เขา
"ครับบอส ผมเข้าใจแล้ว"
แอนดี้ยังพูดต่อไปว่าในตอนนี้หุ้นที่เราซื้อทุกตัวนั้นกำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เช่นโรงงานเสื้อผ้า โรงงานรองเท้า โรงงานไดร์เป่าผม และโรงงานช็อกโกแลต
แล้วทุกชิ้นที่แอนดี้พูดนั้นเคยผ่านมือทีวีช้อปปิ้งมาหมดแล้ว และการออกอากาศ 5 ชั่วโมงนั้นมันก็มีผลต่อการขายอย่างชัดเจน
มันจึงเป็นเรื่องปกติที่หุ้นของบริษัทเหล่านั้นจะเพิ่มขึ้น
แอนดี้คิดคำนวณมันอย่างระมัดระวัง ในตอนแรกเขาลงทุนไป 1 ล้านดอลลาร์ และตอนนี้เขาน่าจะได้ 3 ล้านดอลลาร์ถ้าเขาขายหุ้นออกไป
มันทำกำไรได้ถึง 300% ในเวลาสั้นๆ
ในหนังสือ 'Das Kapial' เคยบอกไว้ว่า 'ถ้าผลกำไรเกิน 50% นักธุรกิจหลายคนก็กล้าที่จะเสี่ยงลงทุน และถ้าผลกำไร 100% พวกเขาก็กล้าที่จะเหยียบย่ำกฎหมาย แล้วถ้าผลกำไร 300% ละ? พวกเขาคงกล้าที่จะทำทุกอย่างเลยละมั้ง เช่นการก่ออาชญากรรม
ซึ่งตอนนี้ฮาร์ดี้ได้ทำมันโดยไม่ต้องเสี่ยงกับการถูกแขวนคอ...
"บอส ตอนนี้แบรนด์ใหญ่ๆ บางแบรนด์ได้เข้ามาติดต่อกับพวกเราเพื่อที่จะขอเอารายการทีวีช้อปปิ้งไปเปิดเป็นของพวกเขาเอง ซึ่งเงื่อนไขที่เราขอไปก็มีสองอย่างคือค่าโฆษณากับค่าคอมมิชชั่น ค่าโฆษณาที่เราจะได้คือ 30,000 ดอลลาร์และค่าคอมมิชชั่นจะอยู่ที่ 30%"
ฮาร์ดี้คิดในใจว่า ‘นี่ไม่ใช่รูปแบบการขายถ่ายทอดสดโดยดาราดังๆ ทางอินเทอร์เน็ตหรอกเหรอ?’
"ตอนนี้เราคงไม่สามารถรับสินค้าทั้งหมดได้หรอก เหตุผลหลักๆ ก็คือการขนส่ง มันคงจะดีกว่าถ้าพวกเขามีเคาน์เตอร์พิเศษในห้างสรรพสินค้าในเมืองต่างๆ หรือมีร้านค้าขายของในที่ต่างๆ โดยที่ลูกค้าสามารถไปรับสินค้าที่ร้านได้ทันที่ เพราะยังไงเราก็ไม่สามารถทำความร่วมมือได้ถ้าหากไม่มีจุดรับสินค้า"
ฮาร์ดี้รู้ว่าในอนาคตการขายของออนไลน์จะสามารถจัดส่งได้อย่างรวดเร็ว เพราะเวลานั้นการขนส่งได้พัฒนาไปไกลแล้ว แต่ตอนนี้เวลานี้มันยังไม่ได้เติบโตถึงระดับที่สามารถส่งของให้เร็วๆ ได้
เมื่อคิดสิ่งนี้ฮาร์ดี้ก็นึกถึงแนวคิดที่จะสร้างซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่สำหรับการขนส่งสินค้า
เพราะหากมีซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ในทุกเมืองก็เท่ากับมีศูนย์รับส่งของนับไม่ถ้วน
โดยลูกค้าสามารถไปที่ซูเปอร์มาร์เก็ตเพื่อรับสินค้าจากการซื้อผ่านทีวีช้อปปิ้งได้
และเมื่อถึงตอนนั้นกำไรที่เขาได้ก็จะมากมายอย่างแน่นอน
สุดท้ายแอนดี้พูดถึงการลงทุนในหุ้น และมันต้องบอกเลยว่าเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านหุ้น
โดยจากการลงทุนในตลาดหุ้นที่ 1 ล้านดอลลาร์ เวลานี้มันได้กลายเป็น 1.6 ล้านดอลลาร์แล้ว
และอัตรากำไรนี้ก็สูงมากแล้วในตลาดหุ้น
เมื่อได้ยินอย่างนี้
ทั้งสองคนก็ผ่อนคลายกันมากและฮาร์ดี้ก็ยื่นซีการ์ให้แอนดี้พร้อมกับนั่งสูบกันอยู่สองคน
แอนดี้พ่นควันอยู่สองสามครั้งก่อนที่เขาจะพูดว่า
"บอสครับ ผมอยากจะเสนออะไรบางอย่าง"
"พูดมาเลย"
"ผมคิดว่าคุณควรจัดตั้งกลุ่มบริษัท" แอนดี้กล่าว
ฮาร์ดี้หยุดสูบบุหรี่
"คิดอะไรออกเหรอ?" ฮาร์ดี้พูด
"ตอนนี้บอสมีธุรกิจอยู่ในมือเยอะมาก และการจัดการก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ อาจกล่าวได้ว่าแต่ละคนกำลังทำในแบบของตัวเอง และแต่ละบริษัทก็แค่มีหน้าที่มารายงานให้คุณทราบ ถึงตอนนี้คุณจะจัดการกับมันได้ แต่ธุรกิจในมือของคุณจะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอนในอนาคต และเมื่อการดูแลไม่ทั่วถึงมันก็จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะจัดตั้งกลุ่มบริษัทเพื่อให้ธุรกิจทั้งหมดอยู่ภายใต้ชื่อของคุณ" แอนดี้กล่าว
ตั้งแต่ฮาร์ดี้เกิดใหม่ในโลกนี้ เขาก็รู้ได้ว่าพละกำลังของเขานั้นแตกต่างจากคนทั่วไป
เขาไม่ค่อยรู้สึกเหนื่อยและความจำของเขาก็ดีมาก
ถึงแม้ว่าจะจำไม่ได้ทุกอย่างแต่มันก็เกือบๆ จะทำได้ทุกอย่าง
ส่วนเขาที่มีธุรกิจในมือเยอะขนาดนี้…
เขาก็ไม่รู้สึกเหนื่อยเลยสักนิด ดังนั้นเขาจึงไม่ได้คิดถึงการก่อตั้งกลุ่มบริษัทสักเท่าไหร่
แต่ถ้าเขาต้องการเติบโตขึ้นไปอีกในอนาคต มันก็คงจะหลีกเลี่ยงไม่ได้...
แล้ววันนี้แอนดี้ก็ผลักดันมันขึ้นมา
ฮาร์ดี้ก็คิดแล้วว่าคงถึงเวลาที่จะต้องทำมันแล้ว เพราะยังไงมันก็จะเป็นประโยชน์ต่อตัวเขาเอง
ส่วนประโยชน์อื่นๆ ก็คงเป็นการบริหารงานที่มีมาตรฐานมากขึ้นโดยที่หัวหน้าไม่อยู่ก็ยังสามารถทำงานได้ตามปกติ
เขาจะได้ปล่อยเรื่องราวต่างๆ และทำอย่างอื่นได้มากขึ้น
ตัวอย่างเช่นบริษัทบางแห่งมีบริษัทสี่ถึงห้าร้อยแห่งภายใต้ชื่อบริษัท และภายในบริษัทก็มีกลุ่มคน ผู้ใต้บังคับบัญชา มันจึงเป็นเรื่องง่ายที่จะบริหารงานต่างๆ
"ข้อเสนอแนะของนายดีมาก งั้นแอนดี้นายจะเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดตั้งกลุ่มบริษัท ถ้าหากมีคำถามก็ติดต่อมาหาฉันได้เลย" ฮาร์ดี้กล่าว
"ไม่มีปัญหา บอส" แอนดี้รับหน้าที่อย่างโดยดี
"แต่ตอนนี้ผมมีหนึ่งคำถามครับบอส เราจะเรียกกลุ่มบริษัทของเราว่าอะไรเหรอครับ? เพราะมันจะง่ายกว่าถ้าเรามีชื่อเรียกง่ายๆ" แอนดี้กล่าว
ฮาร์ดี้ก็ไม่ได้คิดอะไรมากและพูดว่า
"งั้นเรียกมันว่าฮาร์ดี้กรุปกันเถอะ"
เมเยอร์นำข่าวไปบอกกับคณะกรรมการเกี่ยวกับเรื่องที่จะซื้อหุ้นของสถานีโทรทัศน์เอบีซีของฮาร์ดี้
และคณะกรรมการของเอ็มจีเอ็มก็มีความสนใจเป็นอย่างมากที่จะเข้าร่วม
เพราะนอกเหนือจากความนิยม มันก็มีเรื่องกำไรของเอบีซีที่จะได้รับเยอะมาก
แต่เมื่อเมเยอร์พูดถึงคำขอของฮาร์ดี้ คณะกรรมการทุกคนก็คิดตรงกันว่าข้อเสนอของฮาร์ดี้นั้นสูงเกินไป
"การที่เราร่วมมือกับเอบีซี สำหรับการเปิดให้ซื้อภาพยนตร์ที่เรามีอยู่นั้นก็ถือว่าเป็นข้อได้เปรียบของเอบีซีอยู่แล้ว ส่วนข้อเสนอหุ้น 20% ที่ 15 ล้านดอลลาร์นั้น ฉันไม่คิดว่าเอบีซีจะมีมูลค่าสูงขนาดนั้น" คณะบริหารคนหนึ่งกล่าว
"ส่วนหุ้นของลอสแอนเจลิสไทม์ยังมีค่ามากสำหรับเรา ถ้าเราขายมันในตอนนี้ผมคิดว่าราคามันยังต่ำเกินไป" ผู้ถือหุ้นรายอื่นกล่าว
เมเยอร์คิดในใจว่า ‘ถ้าทั้งหมดเป็นของตัวเอง เขาคงไม่รีรอที่จะตกลงรับเงื่อนไขของฮาร์ดี้ไปแล้ว’
ซึ่งคนเหล่านี้คิดแค่ซื้อราคาถูกและขายออกราคาแพงเท่านั้น
ยังไงผู้ถือหุ้นทั่วโลกก็ต้องการทำแต่เงิน และไม่มีใครคำนึงถึงความยากลำบากของผู้ประกอบการหรอก
ถ้าให้พูดง่ายๆ ก็คือพวกนายถูกล่อลวงด้วยการได้เปิดคาสิโนด้วยหุ้นของเอบีซี แต่กลับไม่อยากจะจ่ายเงินซะงั้น
แล้วใครมันจะไปยอมกันละ?
หลังจากจบการประชุมจากคณะกรรมการ เมเยอร์ก็โทรหาฮาร์ดี้อีกครั้ง
หลังจากที่ได้ฟังฮาร์ดี้ก็แค่ยิ้มออกมาแล้วพูดว่า "โรงแรมฮาร์ดี้โฮเทลของผมจะเปิดตัวในอีกไม่นาน คุณรอให้มันเปิดก่อนก็ได้ แล้วเรียกประชุมคณะกรรมการของเอ็มจีเอ็มอีกครั้ง ผมเชื่อว่าพวกเขาจะต้องถูกล่อลวงจากผลกำไรของผมอย่างแน่นอน"
"ได้! ฉันจะสนับสนุนนายต่อไปอย่างแน่นอน" เมเยอร์ตอบ
ฮาร์ดี้โฮเทลในลาสเวกัสจะเปิดตัวเร็วๆ นี้
และขณะนี้สิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหมดกำลังถูกสร้างขึ้น ซึ่งมันก็ถูกออกแบบมาอย่างดี
ฮาร์ดี้ก็เลยเพิ่มโฆษณาสำหรับคาสิโนให้ออกฉายที่สถานีโทรทัศน์เอบีซีเกือบทุกวัน พร้อมกับให้โชว์เวลานับถอยหลังด้วย
และเพื่อที่จะสามารถพาลูกค้าไปยังลาสเวกัสได้สะดวกสบาย ฮาร์ดี้ก็ยังให้คนของเขาไปจดทะเบียนบริษัทขนส่งผู้โดยสารเพิ่ม เพื่อที่จะได้เปิดเส้นทางจากลอสแอนเจลิสมายังลาสเวกัสได้
พร้อมกับซื้อรถบัสเตรียมไว้ราวๆ 20 คัน เพื่อที่จะมีรถวิ่งทุกๆ ครึ่งชั่วโมง
ซึ่งฮาร์ดี้ก็ส่งคำเชิญชวนไปยังเพื่อนๆ ของเขาแล้ว
มีทั้งดาราฮอลลีวูด และเจ้าหน้าที่ตำรวจบางคนของลอสแอนเจลิส กับผู้ประกรอบการบางคนที่ร่วมมือกับฮาร์ดี้
ถ้าลองนับคร่าวๆ ก็จะมีคนเข้ามาถึง 500 คน
แน่นอนว่ายังมีครอบครัวคอร์เลโอเนด้วย เพราะพวกเขานั้นมีหุ้นอยู่ในฮาร์ดี้โฮเทล
ซึ่งไมค์จะมาถึงตอนนั้นพร้อมกับคนจากลาสเวกัส และมันจะต้องมีชีวิตชีวามากแน่ๆ เมื่อถึงตอนนั้น
ลาสเวกัสในเดือนตุลาคม
อุณหภูมิในช่วงกลางวันอยู่ที่ประมาณ 28 หรือ 29 องศา มันก็เรียกได้ว่าเป็นอากาศที่ชิลๆ
ส่วนในเวลากลางคืนจะอยู่ที่ 15 หรือ 16 องศา ซึ่งมันก็จะเป็นอากาศที่เย็นมากและในเดือนนี้ก็มีฝนตกเล็กน้อย แต่มันก็ถือว่าเป็นฤดูกาลที่ดีที่สุดของปีแล้ว
ก่อนถึงวันงานในอีกสองวัน เขาก็ส่งเจ้าหน้าที่ของเอชดีซีเคียวรีตี้ชุดใหญ่มาดูแลเรื่องความปลอดภัยและความเป็นระเบียบเรียบร้อยในวันเปิดตัว
ในที่สุด
วันเปิดทำการก็มาถึงแล้ว
วันนี้อากาศปลอดโปร่ง แดดส่องออกมาเต็มที่
ตอนเช้า
เครื่องบินของเอชดีแอร์ไลน์ก็บินตรงไปยังลาสเวกัสโดยเฉพาะ และจุดรับส่งผู้โดยสารที่อยู่ในใจกลางเมืองลอสแอนเจลิสก็เต็มไปด้วยผู้คนอย่างหนาแน่น
ซึ่งฮาร์ดี้โฮเทลได้โฆษณาจนกินใจเข้าไปในใจของผู้คนแล้วในตอนนี้
พวกเขาจึงเลือกที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวและใช้เวลาอยู่กับมัน
เมื่อเวลาบ่าย
ฮาร์ดี้โฮเทลก็มีคนเข้าร่วมถึง 3,000 คน ซึ่งทั้งหมดนี้รวมเจ้าหน้าที่ คนดังและนักพนันทั่วไปแล้ว
มันเป็นโชคดีที่คาสิโนมีพื้นที่ขนาดใหญ่และไม่มีปัญหาในการรองรับคนเหล่านี้
สำหรับแขกที่มาในวันนี้ มันก็ยังมีบางคนที่ทนรอแทบไม่ไหวที่จะเดินไปนั่งโต๊ะเล่นเกมแล้ว
เวลาสองทุ่ม
แขกทุกคนค่อยๆ เดินเข้าไปในลานกว้าง
พิธีตัดริบบิ้นก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ ฮาร์ดี้กับไมค์ชวนผู้มีฐานะหลายคนมาตัดริบบิ้นด้วยกัน
เมื่อพวกเขาตัดริบบิ้นเสร็จ เบื้องหลังก็มีพลุระเบิดลอยขึ้นสู้ท้องฟ้าในวินาทีต่อมา
ปัง!
ดอกไม้ไฟขนาดใหญ่เบ่งบานทันที ซึ่งมันก็ลอยสว่างไสวอยู่บนท้องฟ้าของลาสเวกัส
จากนั้นดอกไม้ไฟนับไม่ถ้วนก็ถูกปล่อยออกมา
กลายเป็นภาพที่สะท้อนให้เห็นถึงความงดงามของลาสเวกัส
ผู้คนต่างชมดอกไม้ไฟและโห่ร้องไม่หยุด หลังจากงานแสดงดอกไม้ไฟจบลงแล้ว ฮาร์ดี้ตะโกนว่า "เพื่อนๆ และแขกทุกๆ ท่าน ผมหวังว่าวันนี้พวกคุณจะมีช่วงเวลาที่ดีและมีโชคลาภติดตัวไปตลอดวัน!"
เมื่อฮาร์ดี้พูดจบนักพนันต่างก็รีบเข้าไปในคาสิโนทันที และงานรื่นเริงที่แท้จริงก็เริ่มต้นขึ้น
ซึ่งคืนนี้ผู้หญิงทุกคนของเขาก็มาด้วย
แต่ฮาร์ดี้ก็ยังไม่ได้ไปทักทายกับพวกเธอ เพราะเขานั้นต้องไปทักทายกับเพื่อนคนสำคัญอีกมากมายที่มางาน
…
ห้องโถงมีชีวิตชีวามาก
นอกจากตู้สล็อตแม็ตชีนแล้ว โต๊ะเกมต่างๆ ก็เต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังเดิมพันอยู่
โดยจะมีหนึ่งเกมที่เดิมพันแค่ 2 เหรียญ ซึ่งการลงเงินแต่ละครั้งจะได้รับหมายเลขมา
แน่นอนว่าคุณสามารถเดิมพันเท่าไหร่ก็ได้ มันไม่มีปัญหาถ้าคุณอยากจะเดิมพันสัก 10,000 ดอลลาร์
ส่วนรางวัลก็จะถูกจับทุกๆ 2 ชั่วโมง แล้วใครก็ตามที่ชนะก็จะได้รับรางวัลทั้งหมดไป
แน่นอนว่าคาสิโนยังต้องหักภาษีจากรางวัลด้วยเหมือนกัน...
ฮาร์ดี้ยังคิดถึงเกี่ยวกับหวยที่มีในอนาคต แต่มันก็ยังไม่มีเหมาะสมที่จะทำในเวลานี้
เพราะยังไงนักพนันก็ไม่ได้มีความอดทนมากนัก
พวกเขาชอบที่จะได้เงินโดยตรง และจุดประสงค์หลักของคาสิโนก็คือการรักษาลูกค้าให้กลับมาเล่นซ้ำๆ
…
เวลานี้บนป้ายมีเงินรางวัลรวมมากกว่า 11,300 ดอลลาร์ แต่ท้ายที่สุดแล้วผู้คนที่มางานในวันนี้ต่างก็เป็นคนรวยอยู่แล้วเลยไม่ค่อยมีคนสนใจมันเท่าไหร่
2 ชั่วโมงผ่านไป คาสิโนก็เปิดเพลงและการสุ่มลอตเตอรี่ก็เริ่มขึ้น
โดยเพื่อความสมจริงกับความเป็นธรรม ฮาร์ดี้ก็สั่งให้คนของเขาทำที่จับลอตเตอรี่แบบโถแก้วมา โดยนักพนันทุกคนจะมีลอตเตอรี่เล็กๆ ใบหนึ่งอยู่กับตัว
และลอตเตอรี่ก็เริ่มถูกเป่าด้วยเครื่องเป่าลม
แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าสลากมันถูกจับออกมาได้ 5 ใบ?
มันก็จะเอามาเป่าอีกครั้งจนกว่าจะเหลือใบเดียวนั้นเอง…
ในเวลานี้มันก็คือรางวัลใหญ่หลายคนจึงให้ความสนใจกับกิจกรรมนี้ และผู้จัดการก็ขึ้นมาบนเวทีด้วยตัวเองเพื่อหยิบสลากออกมาเพียงใบเดียว พร้อมกับพูดหมายเลขที่หยิบได้ออกมา
"กรีดดดดด!"
ผู้หญิงคนหนึ่งกรีดร้อง
เพราะเธอถูกลอตเตอรี่นั้นเอง
ซึ่งเธอก็ไม่ใช่ดาราดัง ไม่ใช่นักการเมือง แต่เป็นนักพนันธรรมดาที่มาเล่นที่นี่กับเพื่อนๆ เท่านั้น
ในตอนแรกเธอเดิมพันเพียง 2 ดอลลาร์ และเธอก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะกลายเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดด้วย
แถมมันยังเป็นเงินมากกว่า 10,000 ดอลลาร์
โดยมันก็เพียงพอแล้วสำหรับเงินเดือนของคนธรรมดามากกว่า 5 ปี จึงต้องบอกเลยว่าเธอกลายเป็นคนรวยชั่วข้ามคืนไปแล้ว
หญิงสาวขึ้นมาที่เวทีอย่างตื่นเต้นเพื่อที่จะรับรางวัลเป็นกองธนบัตรถึง 2-3 กอง
แน่นอนว่าเพื่อที่จะทำให้ดูว่าได้รับรางวัลเยอะๆ ฮาร์ดี้ก็ให้คนของเขาใช้เงิน 10 ดอลลาร์สำหรับการจ่ายรางวัล
และฮาร์ดี้ก็หันไปบอกกับเอเลนว่า "ให้ใครบางคนไปถ่ายรูปของเธอสักสองสามรูปสิ และถามเกี่ยวกับสถานการณ์ของหญิงสาวคนนั้นมาด้วยว่าเธอกินอยู่อาศัยยังไง บอกให้คนของเราเขียนข่าวให้สวยงาม และในวันพรุ่งนี้ก็ให้นำลงหนังสือพิมพ์ พร้อมกับให้สถานีโทรทัศน์เอบีซีของเราออกข่าวด้วย"
เขาเชื่อว่าข่าวนี้จะทำให้ผู้คนสนใจมากแน่ๆ เพราะผู้หญิงคนนี้ใช้เงินแค่ 2 ดอลลาร์ แต่กลับได้เงินคืนมาเกิน 10,000 ดอลลาร์เสียอีก