ตอนที่49 เขาปราณวิญญาณ (1)
32 1-2
ตอนที่49 เขาปราณวิญญาณ (1)
ระดมสมองครุ่นพินิจอยู่ครู่ใหญ่ ความคิดนับพันหลั่งไหลเข้ามาในหัว และนางก็ยิ่งรู้สึกชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ว่า ชายคนนี้มีจุดประสงค์เพื่อเข้าใกล้นางโดยนำเรื่องล่าสัตว์อสูรปราณวิญญาณเป็นข้ออ้างเท่านั้น ส่วนเป้าหมายที่แท้จริงก็น่าจะชัดเจน ก็คือคัมภีร์วรยุทธลับในมือนาง
หลังได้สติกลับคืนมา ชายคนนั้นก็ทิ้งทวนรอยแผลฟันฟาดไว้ทั่วร่างของสัตว์อสูรปราณวิญญาณตนนั้นนับไม่ถ้วน ระดับความรุนแรงของเปลวเพลิงสีทองที่ห่อหุ้มบนกายของมันลดลงฮวบ อุณหภูมิเย็นลงมาก ยามนี้ด้วยสติปัญญาของสัตว์อสูรปราณวิญญาณตนนั้นทราบดี หากยังฝืนสู้ต่อไปต้องพ่ายลงแน่นอน ดังนั้นมันจึงรีบเตรียมตัวที่จะหนีออกจากที่นี่ทันที แต่เห็นว่าเปลวเพลิงสีทองของสัตว์อสูรปราณวิญญาณอ่อนแอถึงขีดสุดแล้ว กลุ่มคนของชายสวมหน้ากากคลื่นลายเมฆาก็รีบกระโดดเข้าปิดล้อมเป็นวงกลม โดยมีสัตว์อสูรปราณวิญญาณตนนั้นเป็นจุดศูนย์กลาง
แต่ละคนโดยรอบรีบโยนตาข่ายลึกลับลงบนร่างของมันอย่างรวดเร็ว กอปรขึ้นกลายเป็นอวนตาข่ายขนาดใหญ่เปล่งแสงสีเงินสว่างออกมา
ชายคนนั้นเก็บกระบี่อ่อนในมือลง จับจ้องไปที่สัตว์อสูรปราณวิญญาณตนนั้นที่กำลังดิ้นรนอย่างเอาเป็นเอาตาย สายตาค่อนข้างเย็นชาไร้ความรู้สึกใดๆ และยิ่งสัตว์อสูรปราณวิญญาณตนนั้นพยายามดิ้นเท่าไหร่ อวนตาข่ายลึกลับก็ยิ่งรัดแน่นขึ้นเท่านั้น ไม่นานเกินรอ เปลวเพลิงสีทองบนร่างของมันก็มอดดับลง เผยให้เห็นร่างจริงของมัน ซึ่งยามนี้เปียกชุ่มไปด้วยเลือดสีแดงฉาน
เมื่อเห็นว่าชายคนนั้นสามารถจับสัตว์อสูรปราณวิญญาณตนนั้นได้แล้ว เซียถงก็ปรายสายตาจับจ้องเขาปราณวิญญาณบนศีรษะของมันที่ยามนี้แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงใสเสมือนกับมณีทับทิม นางรู้สึกเสียดายไม่น้อยที่คราวนี้ต้องชวดไป หมุนตัวกลับเตรียมจากออกไป เพราะอย่างไร นางก็รู้สึกละอายใจเกินกว่าจะไปบากหน้าขอเขาปราณวิญญาณมา ทั้งที่นางยังไม่ได้ช่วยอะไรแม้สักนิด
“เสี่ยวฮั่ว ข้าจะหาเขาปราณวิญญาณให้ใหม่ในอนาคต”
เซียถงส่งเสียงผ่านห้วงความคิดไปหาฮั่วหยาง
หลังจากนั้นไม่นาน เสี่ยวฮั่วส่งเสียงอ่อนตอบกลับมา เท่าที่ฟังดูเหมือนว่ามันจะผิดหวังอยู่เล็กน้อย
เซียถงตระหนักทราบดีถึงความผิดหวังของฮั่วหยาง แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้จะให้ทำอย่างไรได้? เซียถงเหม่อมองเขาปราณวิญญาณสีแดงมณีทับทิมสวยตรงหน้าอย่างอาลัย ดูเหมือนว่า เสี่ยวฮั่วจะต้องการเขาปราณวิญญาณชิ้นนี้จริงๆ แล้วจะให้ข้าทำอย่างไร? ใจหนึ่งก็อยากใช้กำลังแช่งชิงมันมา แต่ปัญหาอยู่ตรงชายสวมหน้ากากคลื่นลายเมฆาผู้นั้นที่เป็นถึง ยอดฝีมือขอบเขตราชันย์ม่วง
ขณะที่กำลังครุ่นพินิจอยู่นั้นเอง จู่ๆ สัตว์อสูรปราณวิญญาณตนนั้นก็เงยหน้า เผยสายตามองดูชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้ามันด้วยความเกลียดชังสุดหัวใจ จู่ๆ ทั่วร่างกายาของมันพลันกระตุกวูบหนึ่ง เปลวเพลิงสีทองบนร่างเริ่มปะทุเดือดดาลขึ้นอีกครา มันอ้าปากกว้างเปิดออกมา ทันใดนั้นก็พ่นเปลวเพลิงสีทองบริสุทธิ์เข้าใส่ชายคนนั้น
คลื่นลมปราณสีม่วงจัดจ้านที่โอบล้อมกายาของชายคนนั้น เข้าโหมโรมรันพันตูกับเปลวเพลิงสีทองบริสุทธิ์อย่างดุเด็ดเผ็ดมัน แต่พอผ่านไปสักพักจะสังเกตเห็นได้ว่า คลื่นลมปราณสีม่วงจัดจ้านของเขาเริ่มอ่อนกำลังลงต่อเนื่อง สีหน้าของชายคนนั้นฉายแววประหลาดใจและรีบถอยหนีออกมา จะเห็นได้ชัดแจ้ง กระทั่งเขาเองก็คาดไม่ถึงด้วยซ้ำว่า ชุดเกราะลมปราณที่ควบแน่นขึ้นจากกระแสลมปราณสีม่วงจะถูกทำลายโดยเปลวเพลิงสีทองนี้
พอเห็นว่า สัตว์อสูรปราณวิญญาณกำลังจะอ้าปากพ่นเพลิงใส่ตนระลอกสอง ขณะที่ต้นเพลิงสีทองกำลังระดมออกมา ชายคนนั้นก็ปั้นสีหน้าโกรธจัด โบกสะบัดมือขวาชักกระบี่อ่อนขึ้นมา กวัดแกว่งร่ายระบำบนอากาศ กรอกเทลมปราณสีม่วงกระแสใหญ่โหมทะลักเข้าสู่ตัวกระบี่อ่อนผ่านเรียวนิ้วทั้งห้า ประกายแสงสีม่วงเจิดจรัส เผยให้เห็นแววตาคู่เฉี่ยวคมประดุจยมทูตจากขุมนรก
หวดสดับจากบนลงล่างเสียงดังฉับ คลื่นแสงสีม่วงประกายพวยพุ่งออกจากคมกระบี่ เข้าจู่โจมเข้าใส่สัตว์อสูรปราณวิญญาณตนนั้น พอเห็นว่าคลื่มกระบี่สีม่วงมีเป้าหมายเป็นเขาปราณวิญญาณของมัน ทั้งนี้ร่างกายก็ยังขยับเขยื้อนมิได้อีก แววตาของมันก็เสมือนราวกับเป็นความตายอยู่เบื้องหน้า ชั่วขณะอึดใจกลายเป็นความสิ้นหวังโดยปริยาย ต่อให้พยายามดิ้นสักแค่ไหน อวนตาข่ายสีเงินกลับรัดร่างของมันเหนียวแน่น
ความสนใจทั้งหมดของชายคนนั้นมุ่งอยู่แต่กับสัตว์อสูรปราณวิญญาณตรงหน้า จนมิได้สังเกตถึงภัยอันตรายที่มาจากด้านหลังของเขาเลย ชั่วขณะที่คลื่นกระบี่สีม่วงประกายซัดออกไป ก็ปรากฏคมกระบี่อีกเล่มทอแสงเย็นพุ่งเสียบจากด้านหลังเช่นกัน
ทว่าเพียงพริบตา เสียงโลหะปะทะชนดังแกร๊ง’ คมกระบี่อีกเล่มที่ลอบจู่โจมจากเบื้องหลังพลันถูกคมมีดสั้นของเซียถงหยุดลง แต่มีดสั้นในมือของนางเองก็โดนหักครึ่งอย่างง่ายดาย ทำเอาเซียถงเบิกตาโพล่งกว้าง ตื่นตะลึงไปชั่ววูบ รีบระงับความตื่นตระหนกทั้งหมดลง นางรวบรวมลมปราณทั้งหมดระดมอัดแน่นไปยังฝ่ามือขวา กางนิ้วทั้งห้าอ้ากว้าง คว้าเศษคมมีดที่หักครึ่งกระชับในมือแน่น เหวียงเข้าปะทะกับคมกระบี่ของชายสวมหน้ากากปริศนาอีกคนที่ลอบโจมตีโดยตรง
พอฟาดประสานงาระหว่างสองคม มือไม้ของเซียถงถึงกับสั่นสะท้าน เกิดอาการชาไปทั้งแขน จนร่นถอยเซออกไป
ชายสวมหน้ากากปริศนา เผยแววตามืดทมิฬฉายออกมา ประกายแสงยสีม่วงบนคมกระบี่โหมทะลักล้น ยกขึ้นจ่อบนลำคอของนางเป็นแนวนอน ราวกับเตรียมพร้อมที่จะสะบั้นศีรษะให้หลุดจากบ่าได้ทุกเมื่อ
เฉพาะเวลานี้ เซียถงตระหนักลึกซึ้งถึงแก่นในทันใดว่า ช่องว่างระหว่างขอบเขตเสาหลักฟ้าและขอบเขตราชันย์ม่วง มันกว้างใหญ่ไพศาลเพียงใด นางแทบจะมองไม่เห็นด้วยซ้ำว่าคมกระบี่อ่อนเล่มนี้ลุถึงลำคอของตนตั้งแต่เมื่อใด พอรู้สึกฟื้นตัวอีกที ก็เข้าจ่อในสภาพเช่นนี้ไปแล้ว ต้องการจะหนีเพียงใด แต่กลับไร้ความสามารถโดยสมบูรณ์
ในช่วงเวลาวิกฤตปานนี้ ชายสวมหน้ากากคลื่นลายเมฆา หันขวับกลับมากระชากร่างของนางให้ไปหลบอยู่ด้านหลัง กระชับกระบี่อ่อนคลุมเคลือบประกายแสงสีม่วงเข้าปะทะดังเปรี๊ยงปร้าง
ชายสวมหน้ากากลายคลื่นเมฆาเหลือบมองไปที่มือข้างขวาของเซียถงที่ยังสั่นสะท้านชาไม่หาย ก่อนหันกลับไปจับจ้องชายสวมหน้ากากปริศนาตรงหน้า แววตาเย็นชืดไร้ความปรานีประดุจบ่อน้ำแข็งพันปี
“คราวที่แล้ว ลอบโจมตีข้ากลับไม่เป็นผล รอบนี้ก็ยังกล้า?”
หลังลดคำพูดลง ชายสวมหน้ากากคลื่นลายเมฆาสะบัดข้อมือบิดพลิ้ว ร่ายคมกระบี่อ่อนในมือกระหน่ำทิ้มแทงเป้าหมายเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว
ชายสวมหน้ากากปริศนา เร่งเร้าลมปราณสีม่วงจรัสในกายให้เพิ่มทวีสูงขึ้น ตอบโต้ทักทายกลับไปด้วยคมกระบี่เฉกเช่นกัน สองคมกระบี่ชนปะทะ ชั่วอึดใจก่อเกิดเป็นคลื่นกระแทกขุมใหญ่ระเบิดคลั่งสารทิศ เศษเสี้ยวลมปราณประดุจหอกแหลมคมพุ่งกระจัดกระจายไม่สนทิศทาง ทำเอาผู้คนโดยรอบแทบจะเลี่ยงหลบกันไม่ทัน
แรงกดดันระดับชั้นราชันย์ม่วงที่แผ่ซ่านออกมาจากทั้งสอง ทำเอาทุกคนแทบหายใจหายคอกันไม่ออก บ้างถึงกับล้มลงหมดสติไปทั้งแบบนั้น ส่วนที่เหลือมิอาจไล่ตามความเร็วได้ทันด้วยตาเปล่า จึงไม่เข้าใจเลยว่า เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
นี่หาใช่เรื่องตลกแต่อย่างใด ยามที่สองยอดฝีมือแห่งขอบเขตราชันย์ม่วงก่อศึกประยุทธ์เดือดกัน ทำเอาพื้นที่รอบบริเวณรัศมีหลายลี้สั่นสะเทือนรุนแรง ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายเริ่มโรมรันสาดกระบวนยุทธ์กันอย่างเดือดดุ เซียถงก็รีบวิ่งไปหาที่กำบังเพื่อหลบภัย ซ่อนตัวอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจนเกินไป แรงปะทะคมกระบี่กับคมมีดสั้นเมื่อครู่ ยังทำเอาเซียถงมือไม้ชาไม่หาย แรงกระแทกช้ำในไปถึงอวัยวะภายใน กล่าวได้ว่าปราการป้องกันภายในร่างกายของนางถึงกับสั่นคลอนหนัก
นอนหมอบกลางป่าทึบ ถึงจะอยู่ห่างจากทั้งสองกว่าหลายร้อยเมตร ทว่าเซียถงยังคงรู้สึกได้ถึงคลื่นสะท้อนที่กระเพื่อมออกเป็นวงกว้าง พลางเห็นต้นไม้ขนาดใหญ่ยักษ์เคียงข้างโค่นถล่มล้มลงมา เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกว่า ความแข็งแกร่งเพียงขอบเขตเสาหลักฟ้ากลับไม่เพียงพอเสียแล้ว เพราะต่อหน้ายอดฝีมือขอบเขตราชันย์ม่วง นางเป็นเพียงขยะชิ้นหนึ่ง!
เพียงหนึ่งขอบเขตที่แตกต่างกัน ทว่าช่องว่างระหว่างความแข็งแกร่งช่างกว้างใหญ่เสียยิ่งกว่าสวรรค์และพิภพ เซียถงกำมือแน่น ดวงตาแข็งกระด้างแกร่งกร้าวขึ้นฉับพลัน นางจะต้องแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้ และนี่เป็นเพียงวิธีเดียวที่จะเหยียบย่างอยู่เหนือผู้อื่นได้!
จะเห็นได้ชัดเจน ชายสวมหน้ากากปริศนาคนนั้นไม่ชอบการต่อสู้แบบเปิดเผย หลังปะทะฝีมือได้สองสามระลอก ก็รีบร่นถอยหนีเข้าป่าทึบหายไป จุดประสงค์ในการมาครั้งนี้ของเขาคือ การลอบสังหารภายใต้เงามืด หาใช่การสัประยุทธ์เดือดชนิดตัวต่อตัวแบบนี้
ส่วนชายสวมหน้ากากคลื่นลายเมฆาหาได้ไล่ล่าติดตามไป กวัดแกว่งกระบี่อ่อนในมือเก็บเข้าฝัก มองไปยังทิศทางที่เซียถงกำลังซ่อนตัว สายตาประดุจเหยี่ยวสาดกะพริบท่ามกลางแสงจันทร์
เมื่อเห็นว่า ศึกสัประยุทธ์เดือดระหว่างสองฝ่ายเป็นอันสิ้นสุด เซียถงก็พยุงตัวลุกขึ้นกระโดดออกจากริมป่าข้างทาง เดินตรงไปหาสัตว์อสูรปราณวิญญาณที่ถูกอวนตาข่ายสีเงินพันธนาการไว้อยู่ ปุยขนสีขาวประดุจหิมะยามนี้ปกคลุมไปด้วยเลือดสีแดงสดและฝุ่นผง เขาปราณวิญญาณที่เปล่งสีแดงมณีทับทิม ยามนี้กลับสู่สภาพเดิมอีกครั้งหนึ่ง