ตอนที่42 ปะทะหลัวซี (2)
ตอนที่42 ปะทะหลัวซี (2)
ฝักกระบี่เป็นสีเหลืองอำพันอ่อน ลวดลายสลักเป็นเรียบง่าย น้ำหนักกำลังพอดีมือ ตรงกลางมีไพลินสีครามน้ำเงินติดประดับงดงาม ฟังว่า อัญมณีไพลินสีครามน้ำเงิน นับเป็นของหายากและมีมูลค่าอย่างยิ่งภายในจักรวรรดิตงหลี่ ดังนั้นจะเห็นได้ว่า เซี่ยหลู่เฟิงรักกระบี่เล่มนี้ปานใดถึงขนาดจ้างวานช่างให้กะสลักใส่ไพลินเม็ดนี้ฝังลงไป
พอกระดับจับด้ามกระบี่ให้มั่นและออกแรงชักเล็กน้อย คมกระบี่เล่มยาวก็เผยโฉม เพียงออกแรงฟังแผ่วบาง สามารถกรีดสายลมตัดห้วงอากาศเสียงดัง วุบวับ ใบคมกระบี่เงางามเปรียบเสมือนกระจก ส่องสะท้อนให้เห็นนัยน์ตาคู่บริสุทธิ์ของหญิงสาว รัศมีคลุมเครือบกระบี่ยาวแผดกลิ่นอายเย็นยะเยือกขุมหนึ่ง
“กระบี่เล่มนี้คงหาใช่ของธรรมดาไม่?”
เซียถงเก็บกระบี่กลับลงฝัก ไม่ว่าจะดูอย่างไร กระบี่เล่มนี้ต้องเป็นของล้ำค่า ระดับชั้นค่อนข้างสูง
“เนื่องด้วยตัวข้าระดับชั้นลมปราณมิได้สูงนัก จึงต้องมุ่งเน้นหาอาวุธมาใช้เพื่อทดแทน”
เซี่ยหลู่เฟินยิ้มและยังกล่าวอีกว่า
“กระบี่เล่มนี้ทั้งคมและทนทานยิ่ง หวังว่ามันจะช่วยให้เจ้าชนะการประลองในวันพรุ่งนี้ได้”
แม้เขาจะมิอาจทราบได้ถึง พลังฝีมือของหลัวซีได้เลยว่าสูงส่งอยู่ในระดับชั้นใด แต่เซี่ยหลู่เฟิงก็มิได้คิดว่า เซียถงจะไม่มีหวังซะทีเดียวในการคว้าชัยในรอบการประลองวันพรุ่งนี้ เพราะจะอย่างไร ที่ผ่านมา นางล้วนแต่สร้างความประหลาดใจให้แก่ผู้คนมาแล้วนับไม่ถ้วน และหากจะเกิดขึ้นอีกคงก็คงไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่
“หลังจบการประลอง ข้าจะคืนทันที”
เซียถงกำกระบี่เล่มนั้นในมือแน่น ประสานมือกล่าวกับเซี่ยหลู่เฟิง
“ข้าเอามาให้เจ้า ดังนั้นจากนี้ไปไม่จำเป็นต้องคืน”
แม้ว่าเซี่ยหลู่เฟิงจะเอ่ยกล่าวออกไปเช่นนี้ แต่เขาก็ยังลอบจับจ้องกระบี่เล่มนั้นในมือเซียถงไม่ว่างตา ดูท่ายังมีความเสียดายเจือผสมอยู่บ้าง
บรรดาผู้บำเพ็ญตบะทั้งหลายล้วนให้ค่ากับยุทธภัณฑ์อาวุธคู่กายยิ่งกว่าชีวิตของพวกเขาเสียอีก หากเขามิได้รู้สึกเสียใจกับการกระทำของน้องสาวและแม่ของตน ที่ชอบจะรังแกฮูหยินหลี่และเซียถง เซี่ยหลู่เฟิงคนนี้คงไม่มีทางเต็มใจมอบให้นางแน่นอน
ภายในใจเซียถงสั่นเครือเล็กน้อย สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่อีกฝ่ายมอบให้ ยกกระบี่ขึ้นมาคาดไว้ที่เอว ส่งยิ้มให้เซี่ยหลู่เฟิง กล่าวว่า
“ใจดีเกินไปแล้ว กระบี่คู่กายเปรียบดั่งสหายรู้ใจคนหนึ่ง คล้อยจบการประลอง ข้าจะนำมาคืนให้แน่นอน”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เซี่ยหลู่เฟิงก็คลี่ยิ้มบาง พลางลอบถอนหายใจอย่างลับๆ ดูท่าจะโล่งอก
เซี่ยหลู่เฟิงกล่าวสนทนาอีกสองสามคำดังนั้นจึงค่อยจากออกไป เซี่ยถงออกไปซื้อสมุนไพรกับข้าวของที่จำพเป็นเล็กน้อย ก่อนจะกลัวเข้ามาในเรือนพักของนาง สั่งให้อิ๋งเอ๋อร์คอยเฝ้ายามอยู่หน้าประตูดังเดิม ปิดประตูปิดหน้าต่างแน่นนาน จากนั้นนางก็หยิบคัมภีร์วรยุทธลับออกมา มุ่งสมาธิทั้งหมดจดจ่ออยู่กับการอ่าน
ในช่วงเช้าตรู่ นางย้อนกลับมาทบทวน ฝึกปรือเคล็ดวิชาชั้นเหลืองซึ่งเป็นกระบวนท่าแรกในคัมภีร์วรยุทธลับ ผลสรุปโดยรวม นางบรรลุความสำเร็จไปกว่าแปดในสิบส่วนแล้ว นับได้ว่าค่อนข้างชำนาญมาก เพราะกระบวนท่าการเคลื่อนไหวเหล่านี้ มันคล้ายกับสิ่งที่นางเคยถูกเทรนในองค์กรนักฆ่าไม่มีผิด จุดที่แตกต่างคือ การฝึกรีดเร้นลมปราณออกมาใช้ให้ถูกจุดแม่นยำ รวมไปถึงปริมาณด้วยเช่นกัน เพราะควบคุมไม่ดีอาจเป็นดั่งม้าตีนต้น หมดสภาพไร้ลมปราณหลงเหลือช่วงปลาย
ฟ้า ดิน นิล เหลือง คือระดับชั้นของวรยุทธ์ที่ฝึกปรือ ส่วนระดับความชำนาญของผู้ฝึกเองก็สามารถแบ่งได้อีก สี่ขั้น เช่นกัน โดยในจุดนี้จะเป็นการใช้สีเพื่อระบุระดับขั้น ไล่จากความชำนาญสูงสุดลงไปยังต่ำสุด ได้แก่ สีแดง สีคราม สีเขียวและสีเหลือง ตามลำดับ
ในส่วนช่วงเช้าวันนี้ เมื่อเซียถงลองสำแดงใช้วรยุทธออกมา ภายในกระแสลมปราณสีครามฟ้าสดใส จะมีประกายแสงสีเหลืองอำพันเปล่งประกายออกมา กล่าวได้ว่า เซียถงฝึกสำเร็จจนมีระดับความชำนาญบรรลุถึงขั้นเหลืองแล้ว
เก็บซ่อนคัมภีร์ลับเอาไว้ เซียถงคว้ากระบี่ยาวในมือขึ้นมาและเปิดประตูออกไป ก็เห็นอิ๋งเอ๋อร์นั่งหัวพิงกำแพงนั่งสัปหงกหลับอยู่ แต่อย่างไรนางมิได้ปลุกอีกฝ่าย เมื่อวานเกิดเรื่องขึ้นมากมายนัก อิ๋งเอ๋อร์ก็นั่งอยู่หน้าประตูตลอดทั้งคืนวัน คงไม่ได้นอนเลย จะเผลอหลับไปทั้งแบบนี้ก็ไม่แปลกเช่นกัน ดังนั้น นางจึงเดินออกไปทางโรงครัวเพื่อหยิบอาหารเช้ามารับประทานเอง หยิบผ้าคลุมหน้าขึ้นมาปิดมัดเสร็จสรรพ นางก็เดินจากจวนเสนาบดีออกมาโดยตรง
หลังจากได้นอนเต็มอิ่มทั้งคืน เซียถงก็รู้สึกได้ถึงพลังอันเอิบอิ่มที่แล่นโคจรอยู่ทั่วร่างกาย พอมาถึงจัตุรัสใจกลางเมือง ก็พบว่าบริเวณโดยรอบสนามประลองก็ถูกจับจอง อัดแน่นไปด้วยธารฝูงชนนับคนา ทะลักหลั่งไหลมาจากทุกแห่งหนราวกับคลื่นยักษ์หลากระลอกโถมซัด พินิจมองให้ดีกลับเป็นภาพฉากที่งดงามอย่างน่าประหลาด
เซียถงเคลื่อนสายตาจับจ้องไปยังทิศทางสนามประลอง แต่ทันใดนั้นถึงกับตะลึงงัน นางพบว่ายอดฝีมือที่คุมสนามประลองในครั้งนี้กลับไม่ใช่ชายวัยกลางคนเจ้าเดิม แต่ถูกเปลี่ยนและแทนที่โดยไป๋หลี่หาน เขามาในชุดเสื้อคลุมผ้าไหมฟ้าลวดลายตัดขอบทองคำหรู นั่งอยู่บนเก้าอี้สูงเหนือสนามประลอง สวมหมวกขุนนาง ประดับพร้อมหน้ากากครึ่งซีกสีเงิน นัยน์ตาโฉบเฉี่ยวประดุจเหยี่ยวคู่หนึ่ง กวาดสายตาเฝ้าจับจ้องฝูงชนทั้งหลายท่าทางสบายไม่ตื่นเกรง
ก่อนการประลองจะมาถึง เซียถงหลบซ่อนตัวอยู่ในท่ามกลางฝูงชน และยังมิได้กระโดดขึ้นสนามประลองในทันทีทันใด
เมื่อเวลาใกล้หมด กรรมการก็เดินตรวจโดยรอยสนาม พอไม่เห็นผู้เข้าแข่งขันทั้งสองท่าน ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อดีเช่นกัน จนสุดท้ายต้องเหลียวหลัง เงยหน้าหันไปมองไป๋หลี่หานอย่างกล้าๆ เกรงๆ
ในรอบการประลองที่ผ่านมา ผู้เข้าแข่งขันล้วนมาเร็วและตรงต่อเวลาเสมอ แต่ในวันนี้ทั้งที่เป็นรอบชิงชนะเลิศ แต่กลับยังไม่มีใครมาสักคน ทั้งฝ่ายซ้ายและขวา
ไป๋หลี่หานมิได้สนใจอะไรปานนั้น กวาดสายตาเหยี่ยวคู่งามของตนใส่บรรดาฝูงชนเบื้องล่าง จากนั้นก็เปล่งเสียงประกาศดังฟังชัดขึ้นโดยตรงว่า
“การประลองรอบสุดท้าย เริ่มต้นขึ้นได้! หากหลัวซีและเซียถงยังไม่ขึ้นสนามภายในสิบห้านาทีต่อจากนี้ จะถือว่าถูกตัดสิทธิ์แพ้ททั้งคู่!”
เสี้ยวพริบตาที่สิ้นเสียง เซียถงทะยานยกเท้าถีบอากาศเหินขึ้นสนามประลองโดยไว ในเวลาเดียวกันก็มีสตรีงามทั้งสี่ในชุดแดง กระโจนออกมาจากเสาสนามประลองทั้งสี่ทิศ พร้อมยกมือโปรยกลีบดอกไม้อย่างพร้อมเพรียง ทั่วทั้งสนามประลองกลายมาเป็นพิรุณบุปผาร่วงโรย
ท่ามกลางสายพิรุณบุปผา ร่างสูงสง่าผู้หนึ่งก็เหินทะยานออกมาจากอัฒจันทร์ด้านหนึ่ง กระโดดขึ้นสนามแทบจะพร้อมกับเซียถง
“หลัวซี! หลัวซี!”
กลุ่มหญิงสาวทั้งหลายในฝูงชนต่างขับขานเรียงนามของเขา เสียงดังแซ่ซ้อนดังสนั่น
เซียถงยืนนิ่งอยู่บนตำแหน่งของตน จ้องมองไปที่หลัวซีผู้ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม วันนี้เขามาในชุดคลุมสีม่วงสวย ผมยาวถูกมัดรวบเสียบด้วยปิ่นหยก สายตาจับจ้องไปทางฝูงชน พลางโบกกุหลาบในมือขวาไปมา
ภายใต้บรรยากาศสายพิรุณบุปผาเฉกเช่นนี้ หลัวซีช่างดูอ่อนโยนและงดงามอย่างไม่น่าเชื่อเลย
เมื่อตระหนักรับรู้ได้ถึงสายตาของเซียถงที่จับจ้อง หลัวซีก็หันมาสบสายตา ต่างฝ่ายต่างแลเห็นประกายสายตาอันสดใสของกันและกัน