ตอนที่24 ถึงคราวออกโรง
19 (2-2)
ตอนที่24 ถึงคราวออกโรง
ก่อนหน้ายังต้องการซื้อข้าด้วยเงิน พอปฏิเสธก็ข่มขู่บอกว่า อย่าให้เจอมิเช่นนั้นเจ้าจะหาไม่
แล้วเป็นอย่างไร? สนองปากหรือไม่?
รอบการประลองที่จับฉลากได้คือพรุ่งนี้ ดังนั้น ศึกสัประยุทธ์ในวันพรุ่งนี้ คงน่าสนุกโดยแท้แน่นอน
ทันทีทันใด เสมือนสัมผัสได้ถึง สายตาของบางคนที่กำลังจับจ้องมาที่นาง พอเซียถงเหลือบศีรษะหันมองสวนกลับไป ก็เห็นจางเสวี่ยหรงที่กำลังจ้องตาเขม็ง ส่อแววเดือดดุทอประกายออกมาท่ามกลางฝูงชนแถวนั้น ทางด้านเซียถงที่เห็นแบบนั้น เพียงแสยะยิ้มส่งไปให้ ก่อนจะเชิดหน้าเดินจากออกไปอย่างสง่าผ่าเผย
ก็ดี บัญชีแค้นทั้งเก่าและใหม่จะได้จบลงพร้อมกันในวันพรุ่งนี้ทีเดียว
ทั้งที่เห็นได้ชัดว่า รอยยิ้มที่อีกฝ่ายส่งมอบเป็นเพียงรอยยิ้มธรรมดาทั่วไป ทว่าจางเสวี่ยหรงกลับสั่นสะท้านโดยมิตั้งใจ ไอเย็นวูบแผ่ซ่านไปทั่วแผ่นหลัง ขนลุกขนชันตั้งผงาดยันหนังศีรษะ นี่ข้า...กลัวเซียถงตั้งแต่เมื่อใดกัน?
เหม่อมองร่างเซียถงที่เดินเหินห่างออกไป จางเสวี่ยหรงยิ่งปั้นสีหน้ามืดทมิฬ สองคู่มือกำแน่นจิกลึกจมเนื้อหนัง
เมื่อเห็นว่าดวงตะวันยังไม่ทันตกดิน เซียถงจึงพาอิ๋งเอ๋อร์เดินทางไปยังร้านขายสมุนไพร ครั้งสุดท้ายที่นางซื้อของจากที่นี่ โดยส่วนใหญ่จะเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณชำระล้างไขกระดูก ตัดเส้นเอ็น และพวกมันก็ถูกใช้จนหมดไประยะหนึ่งแล้ว คงถึงเวลาจับจ่ายเพิ่มเติม
หลังจากที่ซื้อสมุนไพรทั้งหมดเสร็จสรรพ ขณะที่นางกำลังก้าวออกจากประตูร้านขายสมุนไพร ก็พลันไปเห็นองค์รัชทายาทไป๋หลี่เย่ กำลังยืนรออยู่ตรงประตู
“เซียถง ยามนี้ ตัวข้า องค์รัชทายาทผู้นี้ค่อนข้างอารมณ์ดีมิใช่น้อย เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะได้รับอภิสิทธิ์พิเศษนั่งรับประทานอาหารกับข้าเป็นการส่วนตัว ณ โรงเตี๋ยมเลื่องชื่อ”
ไป๋หลี่เย่เชิดหน้าชูปลายจมูกขึ้นฟ้าเล็กน้อย ทุกอากัปกิริยาของเขาช่างเย่อหยิ่งและสูงส่ง ดั่งว่าเขากำลังพระราชทาน มอบรางวัลที่แสนล้ำค่าแก่อีกฝ่าย
เซียถงเดินเฉียดหน้าผ่านไป๋หลี่เย่ไปทั้งแบบนั้นพร้อมอิ๋งเอ๋อร์ เสมือนกับว่านางไม่เคยเห็นหรือได้ยินอะไรมาก่อน แต่ในทางตรงข้าม อิ๋งเอ๋อร์กลับสะกิดแขน เอ่ยกระซิบกระซาบทักท้วงขึ้นว่า
“ท่านองค์รัชทายาทถึงกับเชื้อเชิญท่านไปรับประทานอาหารด้วยกันเชียว!”
“แล้วข้าจำเป็นต้องไปตามที่อีกฝ่ายเชิญหรือไม่?”
เซียถงเหลือบหางตาถามด้วยสีหน้าท่าทางแสนดูแคลน
“เซียถง องค์รัชทายาทผู้นี้กำลังตรัสกับเจ้าอยู่”
ถูกเซียถงเมินใส่ไม่สนใจเช่นนี้ ได้ทำให้ไป๋หลี่เย่รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารีบชักเท้าก้าวดักหน้าอีกฝ่ายทันที จับจ้องเซียถงตาเขม็งเพื่อแสดงให้อีกฝ่ายเห็นว่า เขากำลังหัวเสียแค่ไหนในตอนนี้
“แล้วท่านคิดว่า ข้าจะตอบตกลงหรือไม่?”
เซียถงเบะปากคว่ำต่ำลงเล็กน้อย ทั้งน้ำเสียงและท่าทางการแสดงออก เผยแสดงแววดูถูกเหยียดหยาม แววตที่จับจ้องเสมือนกำลังมองอีกฝ่ายด้วยความสมเพช
“เซียถง! นี่เจ้าทราบหรือไม่ว่า กำลังตรัสอยู่กับผู้ใดกัน?!”
ไป๋หลี่เย่เดือดดาลสุดขีด ใบหน้าคล้ำเขียว ไม่มีใครในจักรวรรดิตงหลี่ที่กล่าวพูดจาเช่นนี้กับเขา!
“แล้วท่านรู้หรือไม่ว่า ตัวท่านนั้นกำลังกล่าวกับผู้ใดอยู่?”
ใบหน้าของเซียถงกลายเป็นความเย็นชาไร้ความรู้สึก ทิ้งทวนหนึ่งประโยคพร้อมน้ำเสียงสุดจะแดกดัน ก่อนจะเงยหน้าสบสายตาอีกฝ่ายอย่างไร้ซึ่งความเกรงกลัว เอ่ยขึ้นว่า
“หากไม่ได้ข้าช่วยชีวิต ปานนี้ท่านจะยืนเห่าหอนอยู่ตรงนี้ได้รึ?”
“ความดีความชอบเหล่านั้นที่ช่วยชีวิตข้า องค์รัชทยาทผู้นี้ล้วนตอบแทนไปแล้วทั้งสิ้น อาทิทองคำและอัญมณีมากมายหลายหลาก แค่มูลค่าของมันเพียงชิ้นหรือสองชิ้นก็สามารถเลี้ยงเจ้าไปได้สิบชาติแล้ว!”
ไป๋หลี่เย่กล่าววาจาน้ำเสียงเกรี้ยวโกรธ และในเสี้ยวอึดใจต่อมา เขาก็แสยะยิ้มกว้างกล่าวด้วยความดูถูกดูแคลนขึ้นว่า
“เซียถง มายาร้อยเล่มเกวียนของเจ้ากลับเปล่าประโยชน์สิ้นดีต่อหน้าข้า! คิดหรือว่า การทำตัวเย็นชาให้ข้าแลเหลียวนั้นจะได้ผลจริงๆ? เกรงว่าจะเข้าใจผิดแล้ว วันนี้ที่ข้ามอบสิทธิ์พิเศษกับเจ้าสำหรับเรื่องรับประทานอาหาร ทั้งหมดเพียงเพราะอยากตอบแทนที่เจ้าช่วยเหลือชีวิตข้าเพียงเท่านั้น”
“พูดจบแล้วกระมัง? ข้ามิได้มีเวลาว่างปานนั้น องค์รัชทายาทมาทางไหนโปรดไสหัวกลับทางนั้นเถิด”
เสียเวลาเปล่าโดยแท้ที่ต้องมาสนทนากับคนแบบนี้ เซียถงคร้านใจเกินกว่าจะมายืนคุยกับขยะเช่นนี้อีกต่อไป ทันทีที่พูดจบ นางก็เดินจากเขาไปโดยไม่มีเหลียวแลใดๆ
อิ๋งเอ๋อร์ได้แต่ยืนอึ้ง ก่อนจะรีบวิ่งติดตามไป
“เซียถง เจ้ากล้ามาก!”
เผชิญหน้าต่อความเฉยเมยแสนด้านชาของเซียถง ทั่วทั้งใบหน้าของไป๋หลี่เย่บิดเบี้ยวน่าเกลียด อารมณ์ขุ่นมัวเปี่ยมล้นไปด้วยความโกรธจัด
“คุณหนู ท่านมิได้แอบชอบองค์รัชทยาทอยู่ตลอดมาหรอกรึเจ้าค่ะ?”
อิ๋งเอ๋อร์เดินติดตามมาท้ายหลัง ขณะแบกถุงสมุนไพรอย่างระมัดระวังไปในตัว หากเป็นแต่ก่อน ถ้าองค์รัชทายาทเดินทางมาเชื้อเชิญเป็นการส่วนตัวแบบนี้ มีหวังคุณหนูของนางคงหมดสติชนิดล้มทั้งยืน เนื่องด้วยความปีติยินดีอันเหลือล้นไปแล้ว
“ไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนั้นแม้สักนิด”
เซียถงเอ่ยตอบอย่างสบายๆ อันที่จริง ไม่เพียงแค่ไม่เคยชอบไป๋หลี่เย่เลยเท่านั้น แต่นางยังค่อนข้างรังเกียจมันอีกด้วย
อิ๋งเอ๋อร์ปั้นหน้าชะงักเล็กน้อยเจือสีหน้าประหลาดใจ แต่แล้ว นางก็ถอนหายใจโล่งอกในเวลาต่อมา นับเป็นเรื่องดีแล้วที่คุณหนูของนางมิได้ชอบองค์รัชทยาทไป๋หลี่เย่ เพราะในความเห็นของนาง ผู้ชายคนนี้หาใช่คนดีอะไรไม่เลย
……………
วันรุ่งขึ้น เซียถงเดินทางมาถึงสนามประลองหมายเลขสามก่อนเวลานัดหมายเล็กน้อย ในขณะที่จางเสวี่ยหรงเองก็มาก่อนเวลาเช่นกัน ทั้งสองนั่งอยู่บนอัฒจันทร์ฝั่งตรงข้ามกันและกัน วันนี้อีกฝ่ายยังคงมาพร้อมกับชุดแพรพรรณสีชมพูงดงามดังเดิม พอเห็นเซียถง สายตาคู่นั้นก็ส่องว่างเป็นประกายขึ้นอย่างผิดประหลาด
เนื่องจากจางเสวี่ยหรงทราบดีว่า ในแง่ของระดับพลังบำเพ็ญตบะ เซียถงเหนือชั้นกว่า นางจึงตระเตรียมไพ่ตายที่ใช้กำราบเอาไว้โดยเฉพาะแล้ว ในวันนี้...ข้าจะต้องฆ่านังนั่นให้ได้!
ไม่นาน รอบเปิดสนามก็ได้จบลง และในที่สุดก็ถึงคราวของเซียถงและจางเสวี่ยหรงที่ต้องออกโรง
จางเสวี่ยหรงรีบเร่งกล่าวขึ้นยืนตระหง่านบนสนาม เฝ้ามองเซียถงด้วยสายตาอย่างสุดแสนจะดูถูก ราวกับว่า นางได้ตัดสินผลการประลองครั้งนี้ไว้ในใจเป็นที่เรียบร้อย นางคือฝ่ายชนะ ส่วนเซียถงคือฝ่ายที่ต้องพ่ายแพ้และตายลง!
เซียถงเงยหน้าสบสายตาอีกฝ่ายดูเมินเฉยปราศจากระลอกคลื่นอารมณ์หรือความรู้สึกใดๆ จะว่าอย่างไรดี...มันก็เหมือนกับเวลาที่ทุกคนกินข้าว มันไม่ใช่ภาพฉากอะไรที่น่าตื่นเต้นเลยจริงหรือไม่? วันนี้นางยังคงรักษาภาพลักษณ์ในชุดสีดำรัดรูปเพื่อความสะดวกในการออกท่าทางเคลื่อนไหว มัดผมหางม้าสูง ไม่ว่าอย่างไรก็ดูไม่เหมือนกับเทพธิดานางสวรรค์เลย แต่กลับเป็น...จักรพรรดินีแห่งความตายที่ผุดขึ้นจากขุมนรกใต้โลกันตร์
ทั้งสองยืนเผชิญหน้าซึ่งกันและกัน แต่เมื่อถึงคราต้องสบตา กลับกลายเป็นฝ่ายจางเสวี่ยหรงที่สั่นกลัวตั้งแต่การประลองยังไม่เริ่ม ทันใดนั้นพลัยเสียวสันหลังวูบ ขนลุกซู่วโดยไร้เหตุผล
เกิดอะไรขึ้น? ไฉนข้ายังรู้สึกกลัวเจ้าอยู่อีก? ทั้งที่ข้าเตรียมการทุกอย่างเพื่อรับมือเจ้าโดยเฉพาะแล้วแท้ๆ!!
เซียถงเลิกคิ้วจับจ้องไปที่จางเสวี่ยหรงอย่างเบื่อหน่ายนัก ในสายตาของนาง จางเสวี่ยหรงคนนี้ไม่มีคุณสมบัติแม้แต่จะเป็นศัตรูได้ด้วยซ้ำ สุดท้ายก็แค่ผู้บำเพ็ญตบะขอบเขตเสาหลักเหลืองขั้นสูงคนหนึ่ง ถึงแม้จะเล่นแง่เล่นเหลี่ยมอย่างไรกับนาง สุดท้ายก็ไม่มีประโยชน์
จะอย่างไรได้ เริ่มลอบกัด มันเป็นงานถนัดของอดีตนักฆ่าอย่างนางอยู่แล้วมิใช่รึ?
ผีย่อมเห็นผีด้วยกันเสมอ
“เซียถง วันนี้เป็นวันตายของเจ้า!”
จางเสวี่ยหรงกัดฟันกรอด เค้นเสียงเย็นเล็ดลอดดังออกมา
“ก็ขึ้นอยู่กับว่า เจ้าจะมีปัญญาหรือไม่?”
เซียถงหยักไหล่ตอบ
“ลงนรกซะนังสวะ!!”
จางเสวี่ยหรงแหกปากคำรามลั่นสุดเสียง ชักกระบี่ที่คาดบนเอวออกมา ตัวคมกระบี่ปะทะแสงตะวัน ก่อเกิดเป็นแสงสาดสะท้อนวูบวาบ ผสานรวมเข้ากับลมปราณสีเหลืองอำพันเคลือบหลุม ทวีอานุภาพทรงพลังยิ่งขึ้นไปอีก ร่ายกระหน่ำเพลงกระบี่ทิ่มแทงใส่ทางเซียถงด้วยความเร็วประดุจสายฟ้าฟาด
เซียถงหรี่ตาแคบจ้องตาเขม็ง พินิจวิเคราะห์การเคลื่อนไหวท่าร่างเพลงกระบี่ โดยไม่ขยับแข้งขยับขาออกจากจุดที่ยืนอยู่เลยสักนิด ยามที่คมกระบี่ปราดพุ่งเข้าใกล้ เพียงบิดปลายเท้าเปลี่ยนทิศทาง ไม่เพียงสามารถเลี่ยงหลบได้เท่านั้น แต่ยังนำพาตำแหน่งของตนเอง ย้ายไปอยู่ด้านหลังของจางเสวี่ยหลงได้อย่างง่ายดาย เซียถงสะบัดข้อมือเล็กพร้อมเผยให้เห็นถึงมีดสั้นเล่มหนึ่งที่ปรากฏออกมา พร้อมฟันใส่กลางหลังของอีกฝ่ายอย่างเงียบงัน
ถึงเซียถงจะไม่มียุทธภัณฑ์อาวุธดีๆ กับเขาใช้ หรือแม้แต่วรยุทธ์เคล็ดวิชาอันใด แต่นางก็มั่นใจว่า สามารถเอาชนะจางเสวี่ยหรงนางนี้ได้ไม่ยาก
ทันทีที่เห็นว่าคมมีดสั้นกำลังฉีกกระฉากเสื้อผ้า ตัดกลางหลังของตน จางเสวี่ยหรงก็ตะโกนร้องลั่นส่งเสียงดังกึกก้อง และทันใดนั้นเองพลังปรากฏธารแสงสีขาวสว่งาจ้าจรัส ขึ้นแทรกแซงระหว่างแผ่นหลังของนางกับเซียถง
ชั่วอึดใจต่อมา ปรากฏเป็นหมาป่าสูงยักษ์เกินครึ่งตัวมนุษย์ท่ามกลางแสงสว่าง มันพุ่งกระโจนเข้าในใส่เซียถงด้วยความหิวกระหายและบ้าคลั่ง เซียถงตะลึงอยู่เสี้ยวจังหวะหนึ่ง กระชับด้ามมีดสั้นในมือให้แน่น เก็บแขนขากลิ้งตัวหลบเลี่ยงทันทีตามสัญชาตญาณ เพื่อตีระยะออกไปมิให้อยู่ในรัศมีหวังผลของศัตรู และทำให้นางสามารถรอดพ้นจากกรงเล็บอันแหลมคมของหมาป่าตนนั้นได้อย่างหวุดหวิด
คล้อยหลังจากที่ฝูงชนทั่วอัฒจันทร์พลันเงียบสงัดดั่งป่าช้าไปชั่วครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็เกิดความจ้าละหวั่นดั่งระเบิดคลั่งกลางฝูงชน! นี่มันนักอัญเชิญสัตว์อสูร! ผู้บำเพ็ญตบะสายนี้ไม่เคยมีปรากฏให้เห็นในจักรวรรดิตงหลี่มาก่อน หากพินิจจากทั่วทั้งทวีปทั้งหมด อาจกล่าวได้ว่า มีผู้บำเพ็ญตบะที่แตกสายเป็นนักอัญเชิญสัตว์อสูรจำนวนน้อยมากจนสามารถนับนิ้วได้! เพราะผู้ที่จะแตกสายกลายมาเป็นนักอัญเชิญสัตว์อสูรได้ จำต้องเกิดมาพร้อมกับกายวิญญาณพิเศษที่หายากยิ่ง และน้อยคนนักที่จะโชคดีเช่นนี้