ตอนที่ 13-5 เสียง
วังหลวงจักรวรรดิโอเบรียน
บุรุษหนุ่มรูปงามแอดกินส์นั่งอยู่ในห้องพักอย่างสบายใจคุยพลางหัวเราะพลาง แต่จู่ๆ ก็หยุดยิ้ม เขาจ้องมองไปทางทิศเหนืออย่างเย็นชาแค่นเสียงเยือกเย็น “เบรุตผู้นี้มีพลังอำนาจระดับเทพชั้นสูงจริงๆ อย่างไรก็ตาม เขาดุร้ายเกินไปหน่อย”
“ลอร์ดแอดกินส์”ชายชราผมหงอกที่ด้านหลังเขาพูดด้วยความเคารพ “เบรุตผู้นี้กระทำการอย่างดุร้าย แต่เขามีความสามารถในการหนุนส่งการกระทำเช่นนั้น”
“เขาแค่อาศัยมหาเทพคอยหนุนหลังเขา” คิ้วที่บางของแอดกินส์เรียวลง ตาของเขาคมเหมือนมีด
แต่แอดกินส์รู้ดีว่าแม้ว่าเทพชั้นสูงจะเชี่ยวชาญในกฎธรรมชาติของตนเอง แต่ต่อหน้ามหาเทพ...แค่ความคิดจากมหาเทพก็สามารถฆ่าเทพชั้นสูงได้ มหาเทพอยู่เหนือกว่าพวกเขามาก เป็นผู้ที่ได้แต่เคารพเท่านั้นโดยเขาได้แต่มองด้วยความกลัว
“ถ้า..ถ้าข้าสามารถ...” แอดกินส์มีความปรารถนาในใจของเขา
ในพิภพจองจำเกบาโดส เขาเคยได้ยินเรื่องสุสานเทพเจ้ามาบ้าง แม้แต่คนอย่างเขาผู้ยกระดับจนถึงเทพชั้นสูงก็ยังเต็มไปด้วยความปรารถนาจะได้สมบัติที่ซ่อนอยู่ในชั้นที่สิบแปดของสุสานเทพเจ้าแต่แอดกินส์รู้...
สุสานเทพเจ้าคือการละเล่นที่ออกแบบโดยมหาเทพ
ถ้าเขาต้องการเข้าไปในสุสานเทพเจ้า เขาต้องเชื่อฟังทำตามกฎของมหาเทพการขัดขืนกฎ... จะเป็นการขัดขืนต่อประสงค์ของมหาเทพ การขัดขืนพระประสงค์ของมหาเทพ ผลที่ตามมาไม่จำเป็นต้องสงสัยเลย
“บาร์นาสเจ้าสืบมาเสร็จสิ้นหรือยัง?” แอดกินส์ถามเย็นชา
ชายชราผมเงินด้านหลังเขาพูดด้วยความเคารพ “ลอร์ดแอดกินส์, ข้าน้อยสืบมาเสร็จสิ้นแล้วเทพโอเบรียนและแคทเธอรีนเข้าสุสานเทพเจ้าไปเมื่อเก้าปีที่แล้วอีกสองเดือนก็จะครบสิบปี และพวกเขาน่าจะกลับมา”
“ดี”
แอดกินส์เผยรอยยิ้มที่ยากจะปรากฏบนใบหน้าของเขา “ข้าจะทนรออีกสองเดือน”
“ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้แข่งกับข้า!” แอดกินส์พึมพำกับตนเองจากนั้นเขาคว้าแก้วเหล้าและดื่มรวดเดียว
ปราสาทเลือดมังกร
ลินลี่ย์แจ้งให้เดลี่และโอลิเวอร์ทราบถึงความมีอยู่ของห้องมิติสำหรับฝึกถึงเวลานี้ลินลี่ย์หวังว่าเดลี่และโอลิเวอร์จะสามารถพัฒนาฝีมือตนเองได้เร็วขึ้น ร่างหลักของโอลิเวอร์เดลี่และลินลี่ย์ร่วมกันฝึกอยู่ที่นั่น
ขณะที่เดเลียอยู่ในห้องปกติของนาง
ที่สำคัญไม่มีความแตกต่างกันมากนักถ้านางกำลังหลอมรวมประกายศักดิ์สิทธิ์ในห้องมิติหรือในที่ธรรมดา ร่างหลักของลินลี่ย์อยู่ในห้องมิติกำลังเพ่งสมาธิกับการฝึกสัจธรรมแห่งธาตุดิน ขณะที่ร่างแยกศักดิ์สิทธิ์ธาตุลม อยู่ในปราสาทเลือดมังกรนั่งสมาธิฝึกสัจธรรมแห่งความเร็วและกระบี่เลือดม่วงอยู่เงียบๆ
ในสวนตะวันตกของปราสาทเลือดมังกรมีต้นไม้แคระอยู่สองสามต้น เป็นที่เงียบสงบมาก
ลินลี่ย์อยู่ในชุดยาวสีเขียวอ่อนกลมกลืนอยู่ในสมาธิวิชาสัจธรรมแห่งธาตุลมและกระบี่เลือดม่วง
“ตามสิ่งที่มูบาบอก สมบัติเทพถูกแบ่งออกเป็นสามระดับสมบัติเทพระดับสูงสามารถอธิบายได้เหมือนกับเป็นสมบัติของเทพชั้นสูง เหนือกว่านั้นขึ้นไปเป็นสมบัติมหาเทพ กระบี่เลือดม่วงของข้า..น่าจะเป็นสมบัติเทพระดับสูง” ลินลี่ย์ใช้พลังวิญญาณของเขากับกระบี่เลือดม่วง เขาสามารถรู้สึกได้ถึงวิญญาณของกระบี่เลือดม่วง
ตอนนี้ลินลี่ย์เห็นสมบัติเทพมามาก
แต่ไม่มีสมบัติเทพใดที่จะเทียบเคียงได้ใกล้กับกระบี่เลือดม่วง
“พลังของเทพขึ้นอยู่กับความเข้าใจรู้แจ้งกฎธรรมชาติและการประยุกต์ใช้ของพวกเขา เป็นอีกส่วนหนึ่งที่เขาจะใช้สมบัติเทพได้ดี แม้ว่าข้าจะเป็นเทพชั้นต้น ถ้าข้าสามารถนำพลังของกระบี่เลือดม่วงออกมาใช้ได้ทั้งหมด...” ลินลี่ย์นึกย้อนไปถึงพลังโจมตีที่เขาพัฒนาขึ้นมาล่าสุด‘ลำนำแห่งสายลม’
ลำนำแห่งสายลำผสานเข้ากับการโจมตีวิญญาณ คุณสมบัติพิเศษของกระบี่เลือดม่วงและสัจธรรมแห่งสายลม
ไม่มีความจำเป็นต้องใช้เวลาอธิบายมากถึงพลังของมัน สำหรับเขาสามารถฆ่าโบมอนต์ด้วยกระบี่ได้เป็นเรื่องที่ลินลี่ย์รู้สึกพอใจมากอยู่แล้ว
“ลำนำแห่งสายลมนี้ ดูเหมือนจะ...” ลินลี่ย์ขมวดคิ้ว
ในใจของลินลี่ย์เขากระตุ้นใช้งานลำนำแห่งสายลมพลังวิญญาณของเขาและกระบี่เลือดม่วงจับคู่กับสัจธรรมแห่งความเร็ว...
แม้ว่าลินลี่ย์จะสามารถใช้งานลำนำแห่งสายลมได้ แต่ในความเป็นจริง เขาไม่เข้าใจหลักการเบื้องหลังเต็มที่
“เดิมที, เดเลียพูดว่าเสียงของกระบี่เลือดม่วงอย่างเดียวก็ทำให้วิญญาณของนางสั่นสะท้านและร่างของนางรู้สึกอ่อนแอ แม้แต่โบมอนต์นั้น.. เมื่อข้าใช้วิชา ‘ลำนำแห่งสายลม’ โบมอนต์ก็ไม่สามารถควบคุมวิญญาณของตัวเองให้ป้องกันได้
ลินลี่ย์พบว่า...เป็นพลังของเสียง!
“เสียง!”
ลินลี่ย์จำได้ถึงแพนด้าแมวหิมะที่เขาพบในสุสานเทพเจ้าตัวนั้น แพนด้าแมวหิมะนั้นกวัดแกว่งขลุ่ยขณะที่คุกคามใส่เขา
“เสียงก็สามารถสร้างอิทธิพลและพลังโจมตีวิญญาณที่ลึกลับได้!” ลินลี่ย์ได้ข้อสรุป “เพราะกฎแห่งธาตุลมของข้าดูเหมือนจะบรรจุสัจธรรมลึกลับแห่งเสียงไปด้วย”
ลินลี่ย์ไม่เข้าใจสัจธรรมลึกลับแห่งเสียงเท่าใดนัก
เมื่อเขาพัฒนาลำนำแห่งสายลมแต่เดิมเป็นเพราะกระบี่เลือดม่วงแฝงด้วยพลังด้านนี้อยู่แล้ว ลินลี่ย์เพิ่งใช้สัจธรรมแห่งสายลมกระตุ้นเสียงเพลงในกระบี่เลือดม่วงส่งผลให้เกิดผลกระทบพิเศษ แต่ตอนนี้ ลินลี่ย์ต้องการใส่ใจกับการค้นคว้าสัจธรรมลึกลับแห่งเสียง
“ครืนนนน..”
ลินลี่ย์ถ่ายเทพลังเทพลังในกระบี่เลือดม่วง และกระบี่เลือดม่วงเริ่มสั่นและเปล่งเสียงเพลงกระหึ่ม
“ลอร์ดลินลี่ย์อยู่ไหน? ข้างในหรือเปล่า?” เกทส์เดินเข้ามาในสวนตะวันตกของปราสาทเลือดมังกร
แม่บ้านรับใช้พูดพลางหัวเราะ “ใต้เท้าเกทส์, ลอร์ดลินลี่ย์บอกว่าเขาต้องการใช้สมาธิฝึกฝนไม่ว่าเป็นใคร หากไม่ได้รับอนุญาตจากเขาไม่มีใครได้รับอนุญาตให้เข้าไปที่สวนตะวันตก ตอนนี้มีแต่เพียงคนเดียวที่อยู่ในสวนตะวันตก ก็คือลอร์ดลินลี่ย์เอง”
“ไม่มีคนได้รับอนุญาตให้เข้าไปหรือ?” เกทส์ค่อนข้างประหลาดใจ
ดังนั้นจะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีคนเข้าไปในขณะที่กำลังฝึก?
อย่างไรก็ตามพวกเขาจะรู้ได้ยังไงว่าลินลี่ย์ในตอนนี้กำลังค้นคว้าสัจธรรมลึกลับแห่งเสียงซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกฎธรรมชาติธาตุลม? พลังเสียงโจมตีที่เขาสร้างขึ้นจะไม่ทำอันตรายตนเองหรือ แน่นอน แต่ถ้าเป็นคนอื่นเข้าไปมันจะทำอันตรายพวกเขาได้ง่าย สำหรับลินลี่ย์ เขาไม่ใช่ว่าจะค่อยๆ ค้นคว้าสัจธรรมลึกลับแห่งเสียงนี้ไปตามลำดับที่กำหนด
เขาเพียงแต่เริ่มจากสิ่งที่เขารู้เกี่ยวกับกระบี่เลือดม่วง เนื่องจากเป็นฐานเพิ่มพลังของกระบี่เลือดม่วงของเขา
ถ้ามีคนต้องการก้าวหน้าในช่วงเวลาสั้นๆ เขาจะต้องเพ่งความสำคัญไปที่อาวุธ
“ทุกคนกำลังทำสมาธิและฝึกฝนบรรยากาศของปราสาทเลือดมังกรเปลี่ยนไป” เกทส์หันหน้าแล้วเดินออกมา ช่วงระหว่างนี้ ลินลี่ย์ เดลี่และโอลิเวอร์เทพทั้งสามฝึกฝนไม่หยุดหวังจะยกระดับพลังของพวกเขาอีกครั้ง
ขณะที่บาร์เกอร์ ซาสเลอร์ เดเลียและแฮรุพวกเขาหลอมรวมกับประกายศักดิ์สิทธิ์อย่างต่อเนื่อง
แต่ใครจะคิดกันว่าลินลี่ย์ยังคงฝึกในสวนตะวันตกโดยไม่มีการหยุด เป็นเวลาเกินกว่าหนึ่งเดือนแล้วลินลี่ย์ไม่ได้ออกมาจากสวนตะวันตกแม้แต่ครั้งเดียว ขณะที่คนอื่นๆในปราสาทเลือดมังกร พวกเขาไม่กล้าขัดคำสั่งของลินลี่ย์ พวกเขาต้องรอ
วอร์ตันเกทส์ อังเก้ บูนและคนอื่นเดินเคียงไหล่ขณะที่พวกเขาออกจากพื้นที่ฝึกฝน
“พลังโจมตีของกระบี่เดียวง่ายๆของโอลิเวอร์ที่ปล่อยใส่กลุ่มยอดฝีมือ นี่สร้างความปวดหัวขนานใหญ่ได้จริงๆ” เกทส์กล่าว
วอร์ตันพยักหน้าเช่นกัน
แรงฟันกระบี่เดียวของโอลิเวอร์ถึงกับทำให้ทวีปยูลานเปลี่ยนโฉมไปเลย
“เมื่อเทพสงครามและมหาพรตกลับมา พวกเขาคงต้องตะลึงเป็นแน่” เกทส์ยิ้ม
“เจ้าก็รู้ว่าเป็นเช่นนั้นจริง สองจักรวรรดิของพวกเขาหายไปแล้ว”เฮเซอร์หัวเราะเช่นกัน
“เมื่อพวกเขากลับมา พวกเขาจะต้องประชุมกับพี่ใหญ่ข้าถึงวิธีจัดการกับภัยพิบัตินี้” วอร์ตันพูดด้วยความคาดหวัง
ยิ่งพวกเขามีคนมากก็ยิ่งจัดการเรื่องราวได้ง่ายขึ้น แม้ว่าเทพสงครามและมหาพรตจะยังเป็นเทพชั้นต้น แต่พวกเขาก็ถึงระดับนั้นมานานแล้ว นอกจากนี้, ไดลินเองก็เป็นอสูรเทพอยู่แล้ว ถ้ากลุ่มของเทพชั้นต้นร่วมมือกัน พวกเขาจะสามารถหาที่ตั้งหลักได้บ้าง
“ทั้งหมดที่พวกเราทำได้ก็คือรอ อีกเดือนหนึ่งเทพสงครามและคนอื่นจะกลับอยู่แล้ว” วอร์ตันกล่าว
“ข้าหวังว่าเทพสงครามและคนอื่นจะสามารถผ่านสุสานเทพเจ้ามาได้”อังเก้พูดอย่างจริงจัง “ถ้าพวกเขาผ่านไม่ได้ ต่อให้เทพสงครามกลับมาก็ยากจะบอกได้ว่าพวกเขาจะสามารถเอาชนะโอจวินได้หรือไม่”
คนในกลุ่มชะงักการพูดคุยทันที
ที่อยู่ต่อหน้าพวกเขาเป็นบุรุษวัยกลางคนสวมชุดยาวเรียบง่ายมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าของเขา
“เจ้าเป็นใคร?” อังเก้ตะโกนถามอย่างสงสัย
“มูบา?” วอร์ตันขมวดคิ้ว ครั้งล่าสุดเมื่อมูบามาเยือน วอร์ตันเคยเห็นเขา
“เขาคือเทพมูบาผู้นั้นน่ะหรือ?” อังเก้และคนอื่นประหลาดใจเล็กน้อย วันนั้นเมื่อมูบามาถึงอังเก้และคนอื่นไม่พบเห็นพวกเขา หลังจากนั้นเมื่อพวกเขาได้ยินชื่อมูบาพวกเขาทุกคนรู้แต่ว่ามูบาเป็นยอดฝีมือระดับเทพ”
“วอร์ตัน” หน้าของมูบายังคงมีรอยยิ้มเล็กน้อย“ข้ามาที่นี่เพื่อพบกับลินลี่ย์”
“พี่ใหญ่ข้าตอนนี้กำลังฝึก เพียงแต่...” วอร์ตันส่ายศีรษะ “พี่ใหญ่ข้าสั่งเอาไว้ว่าหากไม่ได้รับอนุญาตจากเขาไม่มีใครได้รับอนุญาตให้รบกวนเขา ท่านมาในเวลาไม่ประจวบเหมาะ”
“เหรอ?” มูบาส่งสัมผัสเทพออกไป
ทันใดนั้นเขาจับตำแหน่งลินลี่ย์ว่าอยู่ในสวนตะวันตกได้ทันที เมื่อสัมผัสเทพสัมผัสได้ ลินลี่ย์ก็พบมูบาได้เช่นกัน “โอว, เป็นมูบา, ถ้ามีอะไรจะคุยด้วยก็เข้ามาเลย”
ร่างของมูบากระพริบวาบและเข้าไปที่สวนตะวันตก
“มูบาผู้นี้” วอร์ตันชักจะโกรธ “พี่ใหญ่ข้าห้ามไม่ให้ผู้ใดเข้าไปรบกวนเขา แต่เขายังดันทุรังเข้าไปอีก” วอร์ตันวิ่งไปที่สวนตะวันตกทันที วอร์ตันไม่รู้ว่าลินลี่ย์พูดกับมูบาผ่านสัมผัสเทพ ในไม่ช้าวอร์ตันก็มาถึงที่ประตูสวนตะวันตก
หญิงรับใช้ที่ประจำอยู่ประตูสวนตะวันตกรีบออกมาทันที
“ทำไมพวกเจ้าถึงวิ่งวุ่นออกมาอย่างนั้นเล่า?” วอร์ตันตวาดถามพวกนาง
“ลอร์ดวอร์ตัน” สาวรับใช้อึกอัก “ท่านลอร์ดลินลี่ย์สั่งข้าให้ไปเตรียมเหล้าอย่างดีและอาหารมาต้อนรับอาคันตุกะเจ้าค่ะ”
ภายในสวนตะวันตกของปราสาทเลือดมังกร
“ท่านลินลี่ย์, ข้าขอชื่นชมจริงๆในช่วงเวลาสั้นๆ พวกเจ้าสามคนร่วมกำลังกันสามารถฆ่าโบมอนต์ได้” มูบาถอนหายใจชื่นชม “โบมอนต์ผู้นั้นเป็นเทพชั้นต้นที่ทรงพลังมาก เขาแข็งแกร่งมากทั้งในเรื่องพลังจิตและพลังโจมตีตามปกติ”
ลินลี่ย์หัวเราะขณะมองดูมูบา
“ท่านมูบา, ข้าไม่แน่ใจว่าทำไมท่านถึงเดินทางมาในครั้งนี้โปรดบอกข้าได้” ลินลี่ย์พูดตามตรง
มูบายิ้ม“ข้ามาช่วยเจ้า, ลินลี่ย์”
“ช่วยข้า?” ลินลี่ย์อดประหลาดใจกับมูบาไม่ได้
ความจริงเขากับมูบาไม่มีสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งเท่าใดนัก ครั้งล่าสุดมูบาได้บอกเขาเรื่องข้อมูลเกี่ยวกับสมบัติเทพบางส่วน และเป็นผลทำให้ลินลี่ย์เน้นกับการปรับตัวให้เข้ากับกระบี่เลือดม่วงและทุ่มสมาธิหลอมรวมกระบี่เลือดม่วงพลังจิตของเขาและสัจธรรมแห่งธาตุลม ในที่สุดจึงพัฒนาเป็นลำนำแห่งสายลม
อาจกล่าวได้ว่าเมื่อไม่มีข้อมูลของมูบา เขาคงไม่สามารถพัฒนา ‘ลำนำแห่งสายลมได้’
“สถานการณ์ของข้า ตอนนี้ค่อนข้างลำบากจริงๆเป็นไปได้ไหมว่าท่านมูบาจะมาอยู่ฝ่ายข้าสู้กับศัตรู?” ลินลี่ย์ถาม
“ข้าไม่มีความสามารถทำนองนั้น” มูบาหัวเราะ “ข้ามาให้ข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับเทพเหล่านั้นที่เพิ่งปรากฏตัวในทวีปยูลาน,ลินลี่ย์!”
ลินลี่ย์อดรู้สึกดีใจไม่ได้
ลินลี่ย์ไม่รู้ว่าโอจวินผู้ทำลายวังหลวงนั้นทรงพลังเพียงไหนซึ่งเป็นเหตุผลที่เขาไม่กล้าลงมือใดๆ
“อย่างนั้นข้าต้องขอบคุณท่านล่วงหน้าท่านมูบา, ท่านมูบา เชิญบอกรายละเอียดข้อมูลได้เลย ข้ารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งจริงๆ” ลินลี่ย์พูดอย่างจริงจัง
มูบาหัวเราะ “ท่านลินลี่ย์,ไม่จำเป็นต้องซาบซึ้งขอบคุณอะไรนัก ข้าทำอย่างนี้ก็เพื่อผูกมิตรกับเจ้า ตราบใดที่เจ้าถือเสียว่าข้าเป็นสหาย ท่านลินลี่ย์อย่างนั้นทุกอย่างที่ข้าทำไปก็คุ้มแล้ว” มูบายิ้มจริงใจ
ลินลี่ย์ไม่ได้ใช้เวลาคิดถึงวัตถุประสงค์ของมูบามากเลยอย่างน้อยเขาก็ยังยินดีช่วย
“ท่านมูบา, ท่านคือสหายของข้า แน่นอนท่านมูบาเชิญพูดเรื่องเกี่ยวกับโอจวินนั้นโดยเฉพาะได้เลย” ลินลี่ย์กล่าว
มูบาพยักหน้าขณะพูด“ก่อนอื่นนั้น, ลินลี่ย์, ข้าขอเล่าให้เจ้าฟังก่อนว่ามีเมืองๆหนึ่งอยู่ในพิภพจองจำเกบาโดส รู้จักกันในชื่อว่าเมืองบลูไฟร์ ภายในเมืองบลูไฟร์โอจวินค่อนข้างเป็นยอดฝีมือที่มีชื่อเสียง และอำนาจของเขาในเมืองบลูไฟร์ค่อนข้างสูงเช่นกัน เขาเข้าถึงระดับเทพชั้นกลางแล้ว” เมื่อได้ยินคำพูดของมูบาลินลี่ย์อดกัดฟันไม่ได้
เทพชั้นกลาง!
สำหรับตอนนี้อย่างน้อยเขาไม่สามารถกระทำการต่อต้านโอจวินได้