ตอนที่ 12-37 เขื่อนเกรทโบธา
ที่พักของบลูม จักรวรรดิโรฮอลท์ ทวีปยูลาน
“ลอร์ดโบมอนต์!”บลูมคำนับด้วยความเคารพ
โบมอนต์มีร่างสูงใหญ่ล่ำ ตลอดทั้งตัวของเขาคลุมไปด้วยผ้าคลุมดำ ที่อยู่ข้างๆโบมอนต์เป็นสี่เซียนนักสู้ระดับสุดยอดผู้เต็มไปด้วยความเคารพสี่คน ภายใต้ผ้าคลุมดำดวงตาของโบมอนต์จ้องมองบลูม “บลูม,เรื่องทุกอย่างที่เจ้าแจ้งบอกข้าทางใจเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า?”
“จริงแท้แน่นอน ถ้าข้าบลูมโกหกแม้แต่คำเดียว อย่างนั้นท่านก็ฆ่าข้าได้ ท่านลอร์ดโบมอนต์”บลูมแสดงความเคารพ
โบมอนต์เงียบ
บลูมไม่กล้าพูดอะไรสักคำเป็นพิเศษ โบมอนต์เป็นคนที่อารมณ์รุนแรง พิภพจองจำเกบาโดสเป็นพิภพพิเศษแห่งเดียวปกติก็มีขนาดใหญ่โตและมีอาณาเขตภายในซึ่งเทพหลายตนแยกย้ายกระจายอยู่ในคุกจองจำนั้น
ในบรรดาเทพเหล่านี้, โบมอนต์, มูบา,พ่อมดผู้วิเศษและไดลินทั้งหมดอยู่ในพื้นที่ทั่วไป และภายในพื้นที่นี้....
มูบาเป็นคนที่เมตตาและอารมณ์ดี พ่อมดผู้วิเศษเป็นคนน่ากลัวและเย็นชา โบมอนต์เป็นคนอำมหิต และแน่นอนไดลินทรงพลังที่สุดในกลุ่มเทพชั้นต้น แม้แต่โบมอนต์ก็ไม่กล้าตอแยไดลิน อย่างไรก็ตาม วันหนึ่งไดลินหายไป การหายไปของไดลินทำให้โบมอนต์กลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในพื้นที่ของพวกเขา
เพียงแต่ในที่สุดพวกยอดฝีมือของพื้นที่นี้ค่อยๆเริ่มเรียนรู้ว่าไดลินได้หนีออกไปผ่านจุดอ่อนในพื้นที่ หลังจากนั้น, โบมอนต์, มูบา,พ่อมดผู้วิเศษและเซียนบางส่วนก็ผ่านออกมาได้เช่นกัน พวกเขาไม่ได้แจ้งให้คนอื่นทราบ
ดังนั้น
คนที่มาถึงทวีปยูลานเป็นเพียงยอดฝีมือไม่กี่คนที่อาศัยติดกับจุดมิติที่อ่อนแอของพิภพจองจำ ปกติยอดฝีมือส่วนใหญ่ในพิภพจองจำจะไม่รู้เรื่องการหลบหนีของพวกเขา ขณะที่จุดอ่อนในมิติถ้าเป็นคนที่ไม่มีพลังสูงพอ ก็ไม่มีทางสังเกตเห็นได้
นี่คือเหตุผลที่บลูมมาถึงในทวีปยูลานเมื่อสี่ปีต่อมา
แม้แต่ในพื้นที่นั้นก็ยังคงมีเซียนอยู่หลายคนที่ไม่รู้ว่ามีทางหลบหนีได้และยังทนทุกข์ทรมานอยู่ในพิภพจองจำไม่ต่างจากยอดฝีมือในพื้นที่อื่น
ดังนั้นจึงมีเทพภายนอกไม่มากในทวีปยูลาน มีแค่เพียงเซียนสองสามคนมากกว่าปกติ เซียนทั้งหมดเหล่านี้รู้ดีว่าอารมณ์ของโบมอนต์นั้นรุนแรงเพียงไหน
“บลูม, ข้าจะมอบหมายงานให้เจ้า” โบมอนต์พูดอย่างเย็นชา
บลูมคำนับ
“จงไปที่ปราสาทเลือดมังกรเชิญลินลี่ย์และเทพอื่นมาพบข้าและแจ้งว่า ข้า..โบมอนต์ในเวลาพรุ่งนี้เช้าจะรอพวกเขาอยู่ที่เขื่อนเกรทโบธาของแม่น้ำยูลาน”โบมอนต์พูดอย่างใจเย็น “ไปเดี๋ยวนี้, อย่าชักช้า”
บลูมตกใจ เดิมทีลินลี่ย์ของให้โบมอนต์มาเยือนที่ปราสาทเลือดมังกร แต่ตอนนี้โบมอนต์จัดการให้เขาไปที่เขื่อนเกรทโบธา
“ขอรับ, ลอร์ดโบมอนต์” บลูมไม่กล้าขัดขืน เขาเปลี่ยนเป็นร่างเงาและพุ่งไปทางทิศเหนือ
โบมอนต์หันไปมองคนอื่น
“ชิกิต้า,เจ้ากลั่นวิญญาณต่อไป” โบมอนต์พูดอย่างสงบ
“ได้เลย,ลอร์ดโบมอนต์” หนึ่งในสี่เซียนเบื้องหลังกล่าวบุรุษที่พูดมีร่างสูงและกำยำคลุมตัวอยู่ในชุดคลุมสีขาว
ชิกิต้า ก็คือคนเดียวกับชิกิต้าที่หนีมาจากเกาะศักดิ์สิทธิ์!
เมื่อใดก็ตามที่ชิกิต้านึกถึงชีวิตของเขาหลังจากหนีออกมาจากเกาะศักดิ์สิทธิ์เขายิ่งรู้สึกทุกข์ใจ เขา,ชิกิตาเป็นสมาชิกคนหนึ่งของเผ่ามนุษย์มีปีกสามตาในพิภพแสงสว่าง เทพหลายตนมองมนุษย์มีปีกสามตาว่าเป็นเผ่าพันธุ์มีค่า
เพราะอะไร?
มนุษย์ปีกสามตามีความสามารถพิเศษตาที่สามของพวกเขาสามารถกลั่นวิญญาณได้ตามธรรมชาติ
ในสายตาของเทพทั้งหลายมนุษย์ปีกสามตาเป็นเหมือนกับตัวไหม ถ้าพวกเขาสามารถจับมนุษย์ปีกสามตาคนหนึ่งได้พวกเขาจะมัดเขาและสั่งให้เขากลั่นวิญญาณเพื่อความสำราญของพวกเขาดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดามากที่ในหลายพื้นที่มนุษย์ปีกสามตาจะถูกเก็บไว้เหมือนกับเป็นสัตว์เลี้ยง
ชิกิต้าผู้นี้เป็นมนุษย์ปีกสามตา
ในพิภพเกบาโดส เขาถูกเทพตนหนึ่งจับได้และได้รับทุกข์ทรมานอย่างมาก หลังจากเมื่อเทพนั้นตายไปและเขาโชคดีหนีออกมาได้.. เขามักซ่อนตาที่สามของเขาอยู่เสมอ กลุ่มบรรดาเซียนอื่นกล่าวอ้างว่าเขาเป็นมนุษย์ปีกเป็นมนุษย์อสูรชนิดหนึ่ง หลังจากผ่านไปนานเขาโชคดีหนีมาทวีปยูลานได้
ในทวีปยูลานพลังของเขาที่ธรรมดาแต่เทียบเท่ากับเซียนระดับสุดยอดอย่างไม่ต้องสงสัย
ที่เกาะศักดิ์สิทธิ์ของศาสนจักรเจิดจรัส เขาสำราญกับวิญญาณนับไม่ถ้วน เมื่อเขาเห็นภาพฉายเทพศักดิ์สิทธิ์ตาย เขาทิ้งไฮเดนส์หนีไปเองทันที แต่หลังจากใช้ชีวิตดีๆ ได้สองสามปีในทวีปยูลานเขาก็พบกับโบมอนต์
โบมอนต์ดีใจมาก
เขาเจ็บช้ำมาตลอดเวลากับความจริงที่ว่าพ่อมดผู้วิเศษตายแล้ว ตอนนี้ไม่มีใครสามารถกลั่นมุกวิญญาณทองให้กับเขา
“แค่กลั่นมาให้ข้าฮึ่ม.. ข้ารู้ว่าต้องใช้แก่นวิญญาณมากมายเท่าใดจะผลิตจากวิญญาณมากน้อยเพียงใด อย่าพยายามขโมยอะไรเด็ดขาดจงทำงานให้ดีและกลั่นมันออกมาให้ข้าและสุดท้ายข้าจะให้เจ้าหนึ่งในสิบของวิญญาณที่เจ้ากลั่นได้” โบมอนต์ยังค่อนข้างมีน้ำใจ
ชิกิต้าจะทำอะไรได้?
ภายใต้คำสั่งของโบมอนต์ทั้งหมดที่เขาทำได้ก็คือช่วยกลั่นวิญญาณต่อไป
นี่คือเหตุผลที่โบมอนต์เข้าร่วมสังหารหมู่ในวงกว้าง ถ้าเขาไม่ได้ชิกิต้ามาเขา..โบมอนต์คงจะไม่มีวิธีได้รับแก่นวิญญาณเป็นแน่
ยามราตรีในปราสาทเลือดมังกร โคมไฟถูกจุดสว่าง
“เขื่อนเกรทโบธา แม่น้ำยูลาน?” ลินลี่ย์มองดูบลูมที่แสดงความเคารพ “ก็ได้, ข้าเข้าใจแล้ว, ตอนนี้เจ้าไปได้”
“ขอรับ” บลูมคำนับด้วยความเคารพจากนั้นบินออกมาจากปราสาทเลือดมังกรทันที
ภายในปราสาทเลือดมังกร ลินลี่ย์เดลี่และโอลิเวอร์ปรากฏตัวอยู่พร้อมกันหมดขณะเดียวกันสหายและครอบครัวลินลี่ย์ก็ปรากฏอยู่พร้อมเพรียงกัน
“เขื่อนเกรทโบธา โบมอนต์ผู้นี้รู้จักเลือกสถานที่จริงๆ” เดลี่แค่นเสียง
“ดูเหมือนว่าโบมอนต์ผู้นี้จะรู้ประวัติศาสตร์ของทวีปยูลานมาบ้าง” ลินลี่ย์ถอนหายใจชมเชย “เขารู้เกี่ยวกับเขื่อนเกรทโบธาด้วย สำหรับเขาเลือกเขื่อนเกรทโบธา ก็หมายความว่าเขาตั้งใจจะคลี่คลายเรื่องนี้กับเราอย่างสงบ” โอลิเวอร์ที่อยู่ใกล้ๆ พยักหน้าเล็กน้อยเช่นกัน
เขื่อนเกรทโบธาเป็นจุดชมวิวที่มีชื่อเสียงในทวีปยูลาน
เขื่อนเกรทโบธาประกอบด้วยตำนานถูกสร้างมาก่อนศักราชยูลานเสียอีกกล่าวอีกอย่างหนึ่งอายุของเขื่อนเกรทโบธาอย่างน้อยหมื่นปีแม้ว่าจะทนทานผ่านพายุภัยพิบัติมาเกินหมื่นปีเขื่อนเกรทโบธาก็ยังไม่เสียหายไม่มีมลทิน เขื่อนนี้เป็นสิ่งมหัศจรรย์น่าพิศวงจริงๆ
ห้าพันปีที่แล้ว เทพสงครามและมหาพรตได้ต่อสู้กันที่แม่น้ำยูลานผลออกมาเสมอกัน
ดังนั้นพวกเขาใช้เขื่อนเกรทโบธาเป็นที่สงบศึกและตกลงแบ่งดินแดนออกเป็นสองจักรวรรดิ สำหรับโบมอนต์ที่เลือกตำแหน่งนี้มีแนวโน้มว่าเขาต้องการจะสงบศึกกับพวกเขา
“เขาต้องการสงบศึกกับเรา” โอลิเวอร์แค่นเสียงเย็นชา
เดลี่แนะนำ “โอลิเวอร์, เราต้องมองภาพรวม ตอนนี้เราไม่รู้ว่าเทพนอกพิภพมาถึงทวีปยูลานเท่าใด แค่ทำให้พวกเขาลังเลก็พอ ไม่จำเป็นต้องทุ่มกันสุดตัวเราไม่รู้ว่าโบมอนต์มีกำลังขนาดไหนกันแน่”
โอลิเวอร์ไม่พูดอะไรต่อไป
“วอร์ตัน, พวกเจ้าไปพักเถอะ” ลินลี่ย์หันไปบอกสมาชิกครอบครัวของเขา
วอร์ตันและคนอื่นกังวล แต่ไม่ใช่โอกาสที่พวกเขาจะเข้าไปแทรกแซงการสนทนาของเทพทั้งสามอย่างลินลี่ย์เดลี่และโอลิเวอร์ เมื่อได้ยินคำพูดของลินลี่ย์ วอร์ตันพูดบ้าง “พี่ใหญ่,ถ้าเป็นไปได้..ให้หลีกเลี่ยงการต่อสู้พรุ่งนี้เสียเถอะ, ไม่สู้กันเป็นดีที่สุด”
“พอเถอะ ไม่ต้องห่วง” ลินลี่ย์หัวเราะขณะตบไหล่วอร์ตัน
จากนั้นคนกลุ่มใหญ่ก็ออกไปจากห้องโถงใหญ่ทันที
“โอลิเวอร์” ลินลี่ย์มองดูโอลิเวอร์
“หืม?” โอลิเวอร์งงเล็กน้อย
“โอลิเวอร์,ตอนนี่ท่านมีร่างแยกศักดิ์สิทธิ์สองร่าง เมื่อร่างเหล่านั้นหลอมรวมกันข้าคาดว่าพลังโจมตีของท่านจะเพิ่มขึ้นอีกมากมาย แต่โอลิเวอร์ ข้าหวังว่าท่านควรจะระวังเพิ่มสักนิด” ความจริงลินลี่ย์กังวลโอลิเวอร์มากที่สุดเดลีรู้ว่าเขาอ่อนแอ ดังนั้นจึงระวังตัวมากอยู่แล้ว
แต่จะแย่มากถ้าโอลิเวอร์นี้ทุ่มเทสู้กับศัตรูทั้งหมดและถูกฆ่าแทนเขา
ขณะที่ลินลี่ย์มองตรงนี้ โอลิเวอร์ก็เป็นอัจฉริยะคนหนึ่ง
“ข้ารู้” โอลิเวอร์พยักหน้า
ลินลี่ย์หัวเราะ จากนั้นกว่า “โอลิเวอร์ เดลี่ข้าต้องบอกเรื่องราวบางอย่างกับท่าน เป็นเรื่องสมบัติศักดิ์สิทธิ์” ลินลี่ย์เล่าเรื่องราวที่มูบาบอกเล่าเขากับเดลี่และโอลิเวอร์ทุกอย่างทันที
เมื่อได้ยินเช่นนี้ โอลิเวอร์และเดลี่ตกใจกันทั้งคู่
เดลี่หลังจากกลายเป็นเทพเขาก็ได้รับสมบัติเทพชิ้นหนึ่งจากลินลี่ย์เช่นกันเหตุผลหลักก็คือหลังจากฆ่าพ่อมดผู้วิเศษได้แล้วครั้งนั้นลินลี่ย์ได้รับสมบัติเทพมามากเป็นพิเศษ แต่เดลี่ไม่มีสมบัติเทพเลยสักชิ้น ดังนั้นลินลี่ย์จึงมอบให้เขาชิ้นหนึ่ง
“โอลิเวอร์ข้ามีความรู้สึกว่าพลังโจมตีของท่านส่วนใหญ่อาศัยพลังที่ตรงข้ามกันของธาตุแสงและธาตุมืด แต่ข้าต้องเตือนท่านบางอย่าง พลังมีแค่ด้านเดียวสมบัติเทพเองก็จำเป็นต้องได้รับการกระตุ้นทำงานเช่นกัน” ลินลี่ย์เตือน “สมบัติเทพมีวิญญาณเป็นของตนเอง ท่านจำเป็นต้องเรียนรู้วิธีโจมตีให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับสมบัติเทพของท่าน”
โอลิเวอร์ค่อนข้างงง
เท่าที่เขาเห็นทักษะกระบี่ของเขาไม่มีผลอะไรมากต่ออาวุธของเขาเอง
“โอลิเวอร์ ลองใช้เวลาตรวจสอบมันอย่างรอบคอบดู วิถีการฝึกสำหรับระดับเทพซับซ้อนและกว้างขวางมากไม่ใช่เรื่องง่ายที่ท่านจะคิดออก นอกจากนี้ อย่าประเมินโบมอนต์ผู้นี้ต่ำไป”
ลินลี่ย์สามารถบอกเรื่องนั้นกับโอลิเวอร์ได้ เพราะการต่อสู้กับเฮนด์เซนมีเหตุเปลี่ยนแปลงขึ้นในวิญญาณเขาด้วยแสงและความมืดหลอมรวมกันอาศัยเรื่องนั้นความเร็วในการฝึกของโอลิเวอร์จึงมีความเร็วที่ก้าวกระโดด แต่แค่มองดูพลังโจมตีของโอลิเวอร์ในสุสานเทพเจ้าแล้ว ลินลี่ย์เห็นว่าการโจมตีนั้นยังธรรมดามาก เป็นการฟาดฟันอย่างง่ายๆ! การโจมตีนั้นแค่อาศัยพลังสองด้านที่ตรงข้ามกันหลอมรวมเป็นแหล่งพลัง
ลินลี่ย์แตกต่างออกไป
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเข้าใจกฎธรรมชาติของธาตุดิน หรือกฎธรรมชาติธาตุลม ลินลี่ย์พยายามคิดถึงวิธีเพิ่มพลังโจมตี จากระลอกสายลมเป็นจังหวะแห่งสายลม...เขายังคงพัฒนาพลังขึ้นจนกระทั่งในที่สุดเป็นมีดมิติบั่นเศียร ลินลี่ย์มักจะแสวงหาพลังโจมตีที่มีกำลังมากขึ้น
กฎธรรมชาติด้านเดียว แต่ประยุกต์ไปเป็นอย่างอื่น
ก็เหมือนกับการหลอมรวมแกนศักดิ์สิทธิ์ถ้าท่านเข้าใจกฎธรรมชาติ แต่ไม่รู้วิธีประยุกต์ใช้แล้วจะใช้ประโยชน์เต็มที่ได้ยังไง?
“เส้นทางการฝึกไร้ขอบเขตแน่นอนโดยใช้เส้นทางนับไม่ถ้วน”ลินลี่ย์นึกย้อนไปถึงการฝึกในห้องใต้ดินเมื่อสามปีที่แล้วร่างเดิมของเขาฝึกกฎธาตุดิน แต่เมื่อร่างแยกศักดิ์สิทธิ์ธาตุลมกำลังค้นคว้าสัจธรรมแห่งความเร็วมันได้วิเคราะห์กระบี่เลือดม่วง
ทันทีที่เขาได้ยินมูบาพูดเรื่องสมบัติศักดิ์สิทธิ์ ลินลี่ย์เริ่มวิเคราะห์กระบี่เลือดม่วงทันที
เมื่อลินลี่ย์ถ่ายเทพลังเทพลังในกระบี่เลือดม่วงทำให้มันสั่นสะเทือนและเปล่งเสียงสะท้านวิญญาณ ลินลี่ย์รู้ได้ทันทีว่า“พลังโจมตีวิญญาณนี้ไม่มีเป้าหมายแน่นอน ในการรบจริงมันอาจโจมตีได้ทั้งฝ่ายสหายและศัตรูอย่างไรก็ตามพลังโจมตีของมันน่าจะมีผลต่อเป้าหมายเดียว”
ลินลี่ย์เข้าใจความเป็นจริงนั้น เขาไม่เข้าใจกระบี่เลือดม่วงอยู่อย่างเดียว
“นอกจากนี้ ในอดีตข้าสามารถกระตุ้นพลังอำมหิตให้โจมตีคนอื่นได้ และตอนนี้เล่า? นอกจากนี้พ่อมดผู้วิเศษสามารถใช้พลังจิตของเขาโจมตีผู้คน อย่างนั้นข้าล่ะ? ข้าจะหลอมรวมพลังจิตโจมตีใส่เข้าไปในพลังโจมตีของกระบี่เลือดม่วงได้หรือไม่?” เหล่านี้เป็นสิ่งที่ลินลี่ย์ใช้เวลาสามปีเต็มในการวิเคราะห์
ลินลี่ย์ยังคงสำรวจคุณสมบัติพิเศษของกระบี่เลือดม่วงอย่างต่อเนื่อง
เขาผสานเสียงประหลาด พลังจิตของเขาซึ่งเป็นคุณสมบัติพิเศษของกระบี่เลือดม่วงเนื่องจากกฎธาตุลม ลินลี่ย์สามารถใช้อย่างนี้มาได้เกือบสองปีแล้ว และในที่สุด เขาก็สามารถพัฒนาพลังโจมตีจากพื้นที่สั่นสะเทือนโดยรอบได้
นี่เป็นพลังโจมตีแรกที่เขาพัฒนาโดยใช้กับกระบี่เลือดม่วงเอง
เพียงแต่ขณะนั้นเขาและสมบัติเทพของเขาจึงร่วมมือกันอย่างแท้จริง
หลังจากประสบการณ์นั้น ลินลี่ย์จึงเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างคนและสมบัติเทพของเขา
“หลังจากถึงระดับเทพ,ความเข้าใจเรื่องกฎธรรมชาติก็เป็นด้านหนึ่ง แต่วิธีประยุกต์กฎธรรมชาติและนำมาซึ่งพลังยิ่งใหญ่จากกฎธรรมชาติก็เป็นความสำคัญอีกด้านหนึ่ง” ลินลี่ย์เข้าใจว่าเทียบกับสามปีก่อนนี้ความเข้าใจของเขาในเรื่องสัจธรรมแห่งความเร็วไม่ได้ก้าวหน้ามากนัก
แต่ในแง่พลังโจมตี
เมื่อกระบี่เลือดม่วงเองจับคู่กับลินลี่ย์พลังจิตของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างมากมาย การโจมตีที่เขาพัฒนาขึ้นก็มีพลังมากกว่ากระบี่มิติบั่นเศียรที่เคยใช้ก่อนหน้านั้น
“เพียงแต่พลังโจมตีนั้นใช้พลังจิตของข้ามากเกินไปยกเว้นแต่จำเป็น ข้าไม่อาจใช้มันได้ ข้าหวังว่าโบมอนต์ผู้นี้จะรู้ว่าอะไรดีสำหรับเขา” ลินลี่ย์ยังคงมั่นใจตัวเอง