ตอนที่แล้วบทที่ 24: กำแพงค่าใช้จ่ายที่สูงค้ำฟ้า
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 26: ออกไป แล้วเจ้าจะรอด!  

บทที่ 25: เต๋าและแก่นแท้ทองคำ เจ็ดอารมณ์และหกความปรารถนา


บทที่ 25: เต๋าและแก่นแท้ทองคำ เจ็ดอารมณ์และหกความปรารถนา

เหตุผลที่ซุยเฮ็งเชื่อว่าการจะทำให้แก่นแท้ทองคำของเขาสามารถก่อกำเนิดจิตวิญญาณขึ้นมาได้นั้นสามารถทำได้แค่เฉพาะในสังคมที่มีอารยธรรมซึ่งผู้คนอาศัยอยู่นั้นก็เนื่องมาจากเงื่อนไขที่อธิบายไว้ในเคล็ดวิชาการฝึกตนเซียนสำหรับผู้เริ่มต้น

หลังจากมาถึงขอบเขตแก่นแท้ทองคำขั้นสมบูรณ์แล้ว เคล็ดวิชาการฝึกตนเซียนสำหรับผู้เริ่มต้นก็ได้ระบุเส้นทางที่แตกต่างกันเอาไว้สองเส้นทาง

อันหนึ่งคือเต๋า และอีกอันหนึ่งคือพุทธ

หากมีใครต้องการจะฝึกฝนเต๋า เขาก็จะต้องทำให้แก่นแท้ทองคำของตนก่อเกิดเป็นจิตวิญญาณและทำให้มันมีชีวิตขึ้นมาให้ได้

แต่หากใครต้องการจะฝึกฝนพุทธ มันก็ไม่มีความจำเป็นที่แก่นแท้ทองคำจะต้องมีวิญญาณ ที่คนๆ นั้นจะต้องทำก็มีเพียงการรักษาศีลและดับกิเลส และแก่นแท้ทองคำของพวกเขาก็จะกระจายไปทั่วร่างกาย และมันก็จะเปลี่ยนกลายมาเป็นกายาทองคำในท้ายที่สุด

และแน่นอนว่าซุยเฮ็งเลือกเส้นทางการฝึกฝนเต๋า

อย่างไรก็ตาม ในตอนแรก เขาก็ไม่รู้วิธีการทำให้แก่นแท้ทองคำของเขาพัฒนาจิตวิญญาณขึ้นมา และเขาก็ไม่รู้วิธีการทำให้แก่นแท้ทองคำของเขามีชีวิตขึ้นมาด้วย เขาคิดว่ามันเหมือนกับขอบเขตก่อเกิดรากฐานที่เขาเพียงต้องควบคุมพลังปราณของเขาเพื่อเปิดใช้งานรากฐานเต๋าของเขาก็เท่านั้น

นั่นคือสิ่งที่เขาทำในช่วงเวลาสุดท้ายในพื้นที่มิติสำหรับผู้เริ่มต้น

น่าเสียดายที่เขาไม่ได้ค้นพบอะไรเลย

แก่นแท้ทองคำยังคงส่องสว่าง แต่มันก็ไม่มีร่องรอยของจิตวิญญาณแต่อย่างใด

และในท้ายที่สุด หลังจากเขาถูกเตะออกมาจากพื้นที่มิติสำหรับผู้เริ่มต้นและออกมาพบเข้ากับกลุ่มโจรปล้นสุสาน ซุยเฮ็งก็รู้สึกหวาดกลัวอย่างมาก อย่างไรก็ดี ในขณะเดียวกัน เขาก็ยังรู้สึกว่ามันมีร่องรอยของความผันผวนทางจิตวิญญาณที่ไม่สามารถอธิบายได้ได้ปรากฎขึ้นในร่างกายของเขา

เมื่อจ้าวกวงได้รับการช่วยชีวิตและแสดงสีหน้าดีใจ เขาก็รู้สึกว่าแก่นแท้ทองคำของเขาเองก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงขึ้นมาอีกครั้ง

ความรู้สึกทั้งสองประเภทนี้แตกต่างกัน แต่มันก็ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในแก่นแท้ทองคำของเขา

ซึ่งตามหลักการฝึกวิถีทางพุทธแล้ว ผู้นั้นก็จำเป็นจะต้องละเว้นจากกิเลสและดับซึ่งอารมณ์ทั้งหมด

ดังนั้นหากพุทธคือการรักษาศีลและดับกิเลสทั้งปวง เต๋าก็อาจจะเป็นเพียงการทำความเข้าใจอารมณ์ทั้งเจ็ดและความปรารถนาทั้งหกเพื่อหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณให้ถือกำเนิดขึ้น?

นั่นมีความเป็นไปได้มากจริงๆ!

ด้วยเหตุนี้เอง ซุยเฮ็งจึงตัดสินใจจะยืนยันการคาดเดาของเขาด้วยการเข้าไปสำรวจในเมือง

“เป็นชายหนุ่มที่หล่ออะไรอย่างนี้!”

“เขาดูดีมากจริงๆ ข้าไม่เคยเห็นชายหนุ่มที่หน้าตาดีแบบนี้มาก่อนเลย!”

“อั๊ยย้ะ! ถ้าไม่ใช่เพราะข้าแต่งงานแล้ว ข้าก็อยากจะเข้าไปพูดคุยทำความรู้จักกับเขาจริงๆ!”

“เจ้านี่มันหน้าไม่อาย! ถึงอย่างนั้น… เขาก็ดูดีจริงๆ นั่นแหละ! ฮ่าฮ่าฮ่า!”

บางครั้งเขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะของผู้หญิงดังขึ้นจากริมทางเดิน

ผู้หญิงในเมืองนี้ดูจะมีความอิสระกันมาก แม้แต่ผู้หญิงที่ยังไม่แต่งงานก็ยังสามารถเดินไปมาตามท้องถนนด้วยกันและแม้แต่กระซิบกระซาบนินทาผู้ชายได้

ไม่นานหลังจากที่ซุยเฮ็งมาถึงเมืองเซียงซี เขาก็ได้ยินเสียงคนพูดคุยที่คล้ายคลึงกันอย่างต่อเนื่อง

เขาไม่สามารถทำอะไรกับสิ่งนี้ได้ ผู้ฝึกตนล้วนแต่มีออร่าที่น่าดึงดูด

นี่เป็นเรื่องจริงโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ฝึกตนที่มาถึงขอบเขตแก่นแท้ทองคำแล้ว ออร่าของเปี่ยมล้นไปด้วยความสง่าผ่าเผยและความสูงส่ง

นอกจากนี้ หน้าตาของซุยเฮ็งเองก็ยังหล่อเหลาไม่เบา

มันดึงดูดสายตาของหญิงสาวจำนวนนับไม่ถ้วน

ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่ได้สนใจแต่อย่างใด

ตามแผนที่ซุยเฮ็งตั้งเอาไว้ เขาก็ตั้งใจจะไปหาที่พักที่โรงเตี๊ยมก่อน

หลังจากนั้นเขาก็จะสั่งอาหารในห้องโถงใหญ่และฟังแขกรอบข้างพูดคุยกันในขณะที่เขารับประทานอาหาร

ด้วยวิธีนี้ เขาก็จะสามารถทำความเข้าใจสถานการณ์โดยรอบแบบคร่าวๆ ได้

ตามนิยายที่เขาเคยอ่านมา ห้องโถงของโรงเตี๊ยมก็จะเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดในการเก็บรวบรวมข้อมูล

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะไปถึงโรงเตี๊ยม เขาก็ได้พบเข้ากับกลุ่มเพื่อนเจ้าสาวที่กำลังส่งเสียงดัง

บรรยากาศรื่นเริงอบอวลไปทั่วท้องถนน

ซุยเฮ็งมองเข้าไปใกล้ๆ แล้วยิ้ม

อารมณ์ที่สนุกสนานนี้เป็นประโยชน์ต่อการฝึกตนของเขา

งานแต่งงานนี้เพิ่งจะถูกจัดขึ้น และถ้าเขาสามารถเข้าร่วมงานเลี้ยงแต่งงานได้ มันก็จะต้องมีประโยชน์ต่อการฝึกตนของเขาอย่างมากแน่นอน

ซุยเฮ็งกวาดสายตามองไปที่ข้างถนนและเห็นเด็กชายตัวเล็กๆ คนหนึ่งกำลังวิ่งไปมา เขาเดินเข้าไปใกล้และนั่งยองๆ พลางยิ้มขณะที่เขาพูดว่าเด็กชายว่า “เจ้าหนู เจ้ามีชื่อว่าอะไร?”

เด็กชายตัวเล็กดูจะมีอายุเพียงเจ็ดถึงแปดขวบเท่านั้น เขากะพริบตาและพูดว่า “หวังหู แต่พ่อแม่และปู่ย่าตายายของข้าเรียกข้าว่าอาหู”

“อาหู ตอนนี้ตระกูลไหนกำลังจะแต่งงานหรอ?” ซุยเฮ็งหยิบมะเขือเทศสีแดงออกมาจากแขนเสื้อและยิ้ม “บอกข้าทีแล้วข้าจะให้ผลไม้ลูกนี้แก่เจ้า”

“จริงหรอ!” ดวงตาของอาหูสว่างขึ้น เขาจ้องมองไปที่มะเขือเทศในมือของซุยเฮ็งและพยักหน้า “มันคือนายน้อยของตระกูลหลี่จากทางตอนเหนือของเมือง บ้านของพวกเขาใหญ่โตมาก และมันก็เป็นบ้านที่หลังใหญ่ที่สุดของทางตอนเหนือของเมือง!”

มะเขือเทศลูกนี้เป็นสิ่งที่เป่ยฉิงซูสรรเสริญเชิดชู มันบรรจุพลังวิญญาณเอาไว้เป็นจำนวนหนึ่งและมันก็น่าดึงดูดใจอย่างยิ่งสำหรับเด็กที่มีประสาทสัมผัสที่ละเอียดอ่อน

“รับนี่ไป!” ซุยเฮ็งโยนมะเขือเทศให้เด็กน้อยแล้วเดินทางไปยังทางตอนเหนือของเมือง

“ขอบคุณ!” อาหูเป็นเด็กสุภาพมาก หลังจากได้รับมะเขือเทศมาแล้ว เขาก็โค้งคำนับให้กับซุยเฮ็งและขอบคุณเขา เขาคิดกับตัวเองว่า “ผลไม้ลูกนี้มีกลิ่นหอมมาก! พ่อแม่กับปู่ย่าตายายคงจะไม่เคยกินมันมาก่อนแน่ๆ ข้าจะนำมันกลับบ้านไปแบ่งปันกับพวกเขา!”

ซุยเฮ็งไม่ได้สนใจเด็กน้อยอีกต่อไป เขาเดินตรงไปยังทางตอนเหนือของเมืองโดยมุ่งเป้าที่จะไปเข้าร่วมในงานเลี้ยงแต่งงาน

ไม่สิ เขากำลังมุ่งเป้าไปที่การสัมผัสกับอารมณ์ทั้งเจ็ดและความปรารถนาทั้งหกเพื่อพัฒนาจิตวิญญาณของเขาขึ้นมา

ตระกูลหลี่เป็นหนึ่งในตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองเซียงซี

ว่ากันว่าบรรพบุรุษของตระกูลหลี่เคยทำงานเป็นเด็กฝึกงานในร้านขายผ้าที่ใหญ่ที่สุดในมณฑลเหอตง และได้เรียนรู้งานฝีมือชั้นยอดมา

หลังจากที่เขากลับมายังบ้านเกิดแล้ว เขาก็ไม่เพียงแต่จะเปิดโรงทอเป็นของตัวเองเท่านั้น แต่เขายังสอนทักษะฝีมือการทอผ้าให้กับชาวบ้านด้วย และหลังจากนั้น เมืองเซียงซีก็ได้กลายมาเป็นเมืองสิ่งทอที่มีชื่อเสียง

ตระกูลหลี่นี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นผู้ก่อตั้งเมืองเซียงซีและเป็นผู้มีพระคุณของผู้คนทั่วทั้งเมือง

แม้ว่าเวลาจะผ่านไปกว่าร้อยปีแล้ว และตระกูลหลี่ก็จะได้เสื่อมโทรมลงไปมากเมื่อเทียบกับยุคบรรพบุรุษของพวกเขา แต่พวกเขาก็ยังคงได้รับความรักและความเคารพจากผู้คนในเมือง

ด้วยเหตุนี้เอง ในวันแต่งงานของนายน้อยตระกูลหลี่ มันจึงมีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาร่วมงานเลี้ยงอย่างไม่รู้จบ มันเกือบจะเต็มถนนด้านหน้าบ้านของตระกูลหลี่

ตระกูลหลี่ไม่ได้ปฏิเสธใครเลย ตราบใดที่พวกเขาให้ของขวัญแสดงความยินดีกับบ่าวสาว พวกเขาก็จะสามารถเข้าร่วมงานแต่งงานได้

ไม่ว่าจะในกรณีใด พวกเขาก็มีพื้นเพที่ร่ำรวยอยู่แล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กลัวที่จะล้มละลายเนื่องจากแขกที่มางาน พวกเขาแค่อยากจะเฉลิมฉลองโดยให้คนจำนวนมากมาเป็นสักขีพยานก็เท่านั้น

ซุยเฮ็งแฝงตัวเข้าปะปนกับฝูงชน เมื่อเขาเห็นของขวัญแสดงความยินดีของคนตรงหน้า เขาก็แทบจะหัวเราะออกมา

บางคนให้ไข่, ข้าว และแม้แต่ก้อนหินก็ยังปรากฎขึ้นในหมู่ของขวัญ

มันมีของขวัญทุกประเภทจริงๆ!

เมื่อถึงตาของซุยเฮ็ง เขาก็หยิบเอามะเขือเทศอีกลูกออกมาและวางไว้ในถาดของขวัญก่อนจะเข้าไปในงานเลี้ยงแต่งงาน

ฉากที่สนุกสนานครื้นเครงนี้ทำให้ซุยเฮ็งอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา

เขาไม่ได้เห็นฉากที่มีชีวิตชีวาเช่นนี้มาเป็นเวลา 300 ปีแล้ว!

“ขอเชิญเจ้าบ่าวและเจ้าสาว! คำนับสวรรค์และปฐพี!”

เมื่อได้ยินเสียงตะโกนดังขึ้นจากเบื้องหน้า ในที่สุดเจ้าบ่าวและเจ้าสาวก็ปรากฎตัวออกมาและกำลังจะเตรียมการแสดงความเคารพ

แม้ว่าซุยเฮ็งจะนั่งอยู่ด้านหลัง แต่ด้วยการฝึกตนของเขา เขาก็สามารถเห็นการเคลื่อนไหวของเจ้าบ่าวและเจ้าสาวได้อย่างชัดเจน

เขาสัมผัสได้ถึงความสุขของเจ้าบ่าวได้อย่างชัดเจน

“ห้ะ?!”

อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้จู่ๆ เขาก็อุทานออกมา

ซุยเฮ็งสังเกตเห็นว่าฝีเท้าของเจ้าสาวดูจะลังเลเล็กน้อย มันให้ความรู้สึกเหมือนกับเธอไม่เต็มใจ

ไม่เต็มใจ?

หรือมันเป็นเพราะเธอกำลังประหม่า?

ซุยเฮ็งขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย

ปัง!

ในขณะนี้ เสียงคนเตะประตูก็ดังขึ้นจากด้านนอก ในเวลาเดียวกัน บรรยากาศที่สนุกสนานครื้นเครงก็เงียบลงในทันที

0 0 โหวต
Article Rating
2 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด