บทที่ 25: เต๋าและแก่นแท้ทองคำ เจ็ดอารมณ์และหกความปรารถนา
บทที่ 25: เต๋าและแก่นแท้ทองคำ เจ็ดอารมณ์และหกความปรารถนา
เหตุผลที่ซุยเฮ็งเชื่อว่าการจะทำให้แก่นแท้ทองคำของเขาสามารถก่อกำเนิดจิตวิญญาณขึ้นมาได้นั้นสามารถทำได้แค่เฉพาะในสังคมที่มีอารยธรรมซึ่งผู้คนอาศัยอยู่นั้นก็เนื่องมาจากเงื่อนไขที่อธิบายไว้ในเคล็ดวิชาการฝึกตนเซียนสำหรับผู้เริ่มต้น
หลังจากมาถึงขอบเขตแก่นแท้ทองคำขั้นสมบูรณ์แล้ว เคล็ดวิชาการฝึกตนเซียนสำหรับผู้เริ่มต้นก็ได้ระบุเส้นทางที่แตกต่างกันเอาไว้สองเส้นทาง
อันหนึ่งคือเต๋า และอีกอันหนึ่งคือพุทธ
หากมีใครต้องการจะฝึกฝนเต๋า เขาก็จะต้องทำให้แก่นแท้ทองคำของตนก่อเกิดเป็นจิตวิญญาณและทำให้มันมีชีวิตขึ้นมาให้ได้
แต่หากใครต้องการจะฝึกฝนพุทธ มันก็ไม่มีความจำเป็นที่แก่นแท้ทองคำจะต้องมีวิญญาณ ที่คนๆ นั้นจะต้องทำก็มีเพียงการรักษาศีลและดับกิเลส และแก่นแท้ทองคำของพวกเขาก็จะกระจายไปทั่วร่างกาย และมันก็จะเปลี่ยนกลายมาเป็นกายาทองคำในท้ายที่สุด
และแน่นอนว่าซุยเฮ็งเลือกเส้นทางการฝึกฝนเต๋า
อย่างไรก็ตาม ในตอนแรก เขาก็ไม่รู้วิธีการทำให้แก่นแท้ทองคำของเขาพัฒนาจิตวิญญาณขึ้นมา และเขาก็ไม่รู้วิธีการทำให้แก่นแท้ทองคำของเขามีชีวิตขึ้นมาด้วย เขาคิดว่ามันเหมือนกับขอบเขตก่อเกิดรากฐานที่เขาเพียงต้องควบคุมพลังปราณของเขาเพื่อเปิดใช้งานรากฐานเต๋าของเขาก็เท่านั้น
นั่นคือสิ่งที่เขาทำในช่วงเวลาสุดท้ายในพื้นที่มิติสำหรับผู้เริ่มต้น
น่าเสียดายที่เขาไม่ได้ค้นพบอะไรเลย
แก่นแท้ทองคำยังคงส่องสว่าง แต่มันก็ไม่มีร่องรอยของจิตวิญญาณแต่อย่างใด
และในท้ายที่สุด หลังจากเขาถูกเตะออกมาจากพื้นที่มิติสำหรับผู้เริ่มต้นและออกมาพบเข้ากับกลุ่มโจรปล้นสุสาน ซุยเฮ็งก็รู้สึกหวาดกลัวอย่างมาก อย่างไรก็ดี ในขณะเดียวกัน เขาก็ยังรู้สึกว่ามันมีร่องรอยของความผันผวนทางจิตวิญญาณที่ไม่สามารถอธิบายได้ได้ปรากฎขึ้นในร่างกายของเขา
เมื่อจ้าวกวงได้รับการช่วยชีวิตและแสดงสีหน้าดีใจ เขาก็รู้สึกว่าแก่นแท้ทองคำของเขาเองก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงขึ้นมาอีกครั้ง
ความรู้สึกทั้งสองประเภทนี้แตกต่างกัน แต่มันก็ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในแก่นแท้ทองคำของเขา
ซึ่งตามหลักการฝึกวิถีทางพุทธแล้ว ผู้นั้นก็จำเป็นจะต้องละเว้นจากกิเลสและดับซึ่งอารมณ์ทั้งหมด
ดังนั้นหากพุทธคือการรักษาศีลและดับกิเลสทั้งปวง เต๋าก็อาจจะเป็นเพียงการทำความเข้าใจอารมณ์ทั้งเจ็ดและความปรารถนาทั้งหกเพื่อหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณให้ถือกำเนิดขึ้น?
นั่นมีความเป็นไปได้มากจริงๆ!
ด้วยเหตุนี้เอง ซุยเฮ็งจึงตัดสินใจจะยืนยันการคาดเดาของเขาด้วยการเข้าไปสำรวจในเมือง
…
“เป็นชายหนุ่มที่หล่ออะไรอย่างนี้!”
“เขาดูดีมากจริงๆ ข้าไม่เคยเห็นชายหนุ่มที่หน้าตาดีแบบนี้มาก่อนเลย!”
“อั๊ยย้ะ! ถ้าไม่ใช่เพราะข้าแต่งงานแล้ว ข้าก็อยากจะเข้าไปพูดคุยทำความรู้จักกับเขาจริงๆ!”
“เจ้านี่มันหน้าไม่อาย! ถึงอย่างนั้น… เขาก็ดูดีจริงๆ นั่นแหละ! ฮ่าฮ่าฮ่า!”
บางครั้งเขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะของผู้หญิงดังขึ้นจากริมทางเดิน
ผู้หญิงในเมืองนี้ดูจะมีความอิสระกันมาก แม้แต่ผู้หญิงที่ยังไม่แต่งงานก็ยังสามารถเดินไปมาตามท้องถนนด้วยกันและแม้แต่กระซิบกระซาบนินทาผู้ชายได้
ไม่นานหลังจากที่ซุยเฮ็งมาถึงเมืองเซียงซี เขาก็ได้ยินเสียงคนพูดคุยที่คล้ายคลึงกันอย่างต่อเนื่อง
เขาไม่สามารถทำอะไรกับสิ่งนี้ได้ ผู้ฝึกตนล้วนแต่มีออร่าที่น่าดึงดูด
นี่เป็นเรื่องจริงโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ฝึกตนที่มาถึงขอบเขตแก่นแท้ทองคำแล้ว ออร่าของเปี่ยมล้นไปด้วยความสง่าผ่าเผยและความสูงส่ง
นอกจากนี้ หน้าตาของซุยเฮ็งเองก็ยังหล่อเหลาไม่เบา
มันดึงดูดสายตาของหญิงสาวจำนวนนับไม่ถ้วน
ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่ได้สนใจแต่อย่างใด
ตามแผนที่ซุยเฮ็งตั้งเอาไว้ เขาก็ตั้งใจจะไปหาที่พักที่โรงเตี๊ยมก่อน
หลังจากนั้นเขาก็จะสั่งอาหารในห้องโถงใหญ่และฟังแขกรอบข้างพูดคุยกันในขณะที่เขารับประทานอาหาร
ด้วยวิธีนี้ เขาก็จะสามารถทำความเข้าใจสถานการณ์โดยรอบแบบคร่าวๆ ได้
ตามนิยายที่เขาเคยอ่านมา ห้องโถงของโรงเตี๊ยมก็จะเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดในการเก็บรวบรวมข้อมูล
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะไปถึงโรงเตี๊ยม เขาก็ได้พบเข้ากับกลุ่มเพื่อนเจ้าสาวที่กำลังส่งเสียงดัง
บรรยากาศรื่นเริงอบอวลไปทั่วท้องถนน
ซุยเฮ็งมองเข้าไปใกล้ๆ แล้วยิ้ม
อารมณ์ที่สนุกสนานนี้เป็นประโยชน์ต่อการฝึกตนของเขา
งานแต่งงานนี้เพิ่งจะถูกจัดขึ้น และถ้าเขาสามารถเข้าร่วมงานเลี้ยงแต่งงานได้ มันก็จะต้องมีประโยชน์ต่อการฝึกตนของเขาอย่างมากแน่นอน
ซุยเฮ็งกวาดสายตามองไปที่ข้างถนนและเห็นเด็กชายตัวเล็กๆ คนหนึ่งกำลังวิ่งไปมา เขาเดินเข้าไปใกล้และนั่งยองๆ พลางยิ้มขณะที่เขาพูดว่าเด็กชายว่า “เจ้าหนู เจ้ามีชื่อว่าอะไร?”
เด็กชายตัวเล็กดูจะมีอายุเพียงเจ็ดถึงแปดขวบเท่านั้น เขากะพริบตาและพูดว่า “หวังหู แต่พ่อแม่และปู่ย่าตายายของข้าเรียกข้าว่าอาหู”
“อาหู ตอนนี้ตระกูลไหนกำลังจะแต่งงานหรอ?” ซุยเฮ็งหยิบมะเขือเทศสีแดงออกมาจากแขนเสื้อและยิ้ม “บอกข้าทีแล้วข้าจะให้ผลไม้ลูกนี้แก่เจ้า”
“จริงหรอ!” ดวงตาของอาหูสว่างขึ้น เขาจ้องมองไปที่มะเขือเทศในมือของซุยเฮ็งและพยักหน้า “มันคือนายน้อยของตระกูลหลี่จากทางตอนเหนือของเมือง บ้านของพวกเขาใหญ่โตมาก และมันก็เป็นบ้านที่หลังใหญ่ที่สุดของทางตอนเหนือของเมือง!”
มะเขือเทศลูกนี้เป็นสิ่งที่เป่ยฉิงซูสรรเสริญเชิดชู มันบรรจุพลังวิญญาณเอาไว้เป็นจำนวนหนึ่งและมันก็น่าดึงดูดใจอย่างยิ่งสำหรับเด็กที่มีประสาทสัมผัสที่ละเอียดอ่อน
“รับนี่ไป!” ซุยเฮ็งโยนมะเขือเทศให้เด็กน้อยแล้วเดินทางไปยังทางตอนเหนือของเมือง
“ขอบคุณ!” อาหูเป็นเด็กสุภาพมาก หลังจากได้รับมะเขือเทศมาแล้ว เขาก็โค้งคำนับให้กับซุยเฮ็งและขอบคุณเขา เขาคิดกับตัวเองว่า “ผลไม้ลูกนี้มีกลิ่นหอมมาก! พ่อแม่กับปู่ย่าตายายคงจะไม่เคยกินมันมาก่อนแน่ๆ ข้าจะนำมันกลับบ้านไปแบ่งปันกับพวกเขา!”
ซุยเฮ็งไม่ได้สนใจเด็กน้อยอีกต่อไป เขาเดินตรงไปยังทางตอนเหนือของเมืองโดยมุ่งเป้าที่จะไปเข้าร่วมในงานเลี้ยงแต่งงาน
ไม่สิ เขากำลังมุ่งเป้าไปที่การสัมผัสกับอารมณ์ทั้งเจ็ดและความปรารถนาทั้งหกเพื่อพัฒนาจิตวิญญาณของเขาขึ้นมา
…
ตระกูลหลี่เป็นหนึ่งในตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองเซียงซี
ว่ากันว่าบรรพบุรุษของตระกูลหลี่เคยทำงานเป็นเด็กฝึกงานในร้านขายผ้าที่ใหญ่ที่สุดในมณฑลเหอตง และได้เรียนรู้งานฝีมือชั้นยอดมา
หลังจากที่เขากลับมายังบ้านเกิดแล้ว เขาก็ไม่เพียงแต่จะเปิดโรงทอเป็นของตัวเองเท่านั้น แต่เขายังสอนทักษะฝีมือการทอผ้าให้กับชาวบ้านด้วย และหลังจากนั้น เมืองเซียงซีก็ได้กลายมาเป็นเมืองสิ่งทอที่มีชื่อเสียง
ตระกูลหลี่นี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นผู้ก่อตั้งเมืองเซียงซีและเป็นผู้มีพระคุณของผู้คนทั่วทั้งเมือง
แม้ว่าเวลาจะผ่านไปกว่าร้อยปีแล้ว และตระกูลหลี่ก็จะได้เสื่อมโทรมลงไปมากเมื่อเทียบกับยุคบรรพบุรุษของพวกเขา แต่พวกเขาก็ยังคงได้รับความรักและความเคารพจากผู้คนในเมือง
ด้วยเหตุนี้เอง ในวันแต่งงานของนายน้อยตระกูลหลี่ มันจึงมีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาร่วมงานเลี้ยงอย่างไม่รู้จบ มันเกือบจะเต็มถนนด้านหน้าบ้านของตระกูลหลี่
ตระกูลหลี่ไม่ได้ปฏิเสธใครเลย ตราบใดที่พวกเขาให้ของขวัญแสดงความยินดีกับบ่าวสาว พวกเขาก็จะสามารถเข้าร่วมงานแต่งงานได้
ไม่ว่าจะในกรณีใด พวกเขาก็มีพื้นเพที่ร่ำรวยอยู่แล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กลัวที่จะล้มละลายเนื่องจากแขกที่มางาน พวกเขาแค่อยากจะเฉลิมฉลองโดยให้คนจำนวนมากมาเป็นสักขีพยานก็เท่านั้น
ซุยเฮ็งแฝงตัวเข้าปะปนกับฝูงชน เมื่อเขาเห็นของขวัญแสดงความยินดีของคนตรงหน้า เขาก็แทบจะหัวเราะออกมา
บางคนให้ไข่, ข้าว และแม้แต่ก้อนหินก็ยังปรากฎขึ้นในหมู่ของขวัญ
มันมีของขวัญทุกประเภทจริงๆ!
เมื่อถึงตาของซุยเฮ็ง เขาก็หยิบเอามะเขือเทศอีกลูกออกมาและวางไว้ในถาดของขวัญก่อนจะเข้าไปในงานเลี้ยงแต่งงาน
ฉากที่สนุกสนานครื้นเครงนี้ทำให้ซุยเฮ็งอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา
เขาไม่ได้เห็นฉากที่มีชีวิตชีวาเช่นนี้มาเป็นเวลา 300 ปีแล้ว!
“ขอเชิญเจ้าบ่าวและเจ้าสาว! คำนับสวรรค์และปฐพี!”
เมื่อได้ยินเสียงตะโกนดังขึ้นจากเบื้องหน้า ในที่สุดเจ้าบ่าวและเจ้าสาวก็ปรากฎตัวออกมาและกำลังจะเตรียมการแสดงความเคารพ
แม้ว่าซุยเฮ็งจะนั่งอยู่ด้านหลัง แต่ด้วยการฝึกตนของเขา เขาก็สามารถเห็นการเคลื่อนไหวของเจ้าบ่าวและเจ้าสาวได้อย่างชัดเจน
เขาสัมผัสได้ถึงความสุขของเจ้าบ่าวได้อย่างชัดเจน
“ห้ะ?!”
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้จู่ๆ เขาก็อุทานออกมา
ซุยเฮ็งสังเกตเห็นว่าฝีเท้าของเจ้าสาวดูจะลังเลเล็กน้อย มันให้ความรู้สึกเหมือนกับเธอไม่เต็มใจ
ไม่เต็มใจ?
หรือมันเป็นเพราะเธอกำลังประหม่า?
ซุยเฮ็งขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย
ปัง!
ในขณะนี้ เสียงคนเตะประตูก็ดังขึ้นจากด้านนอก ในเวลาเดียวกัน บรรยากาศที่สนุกสนานครื้นเครงก็เงียบลงในทันที