ตอนที่แล้วChapter 23 : จบภารกิจ – ฟอรั่ม
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปChapter 25 : ปล้น

Chapter 24 : ค่าธรรมเนียม – รถเมล์


หลังจากอ่านฟอรั่มอยู่ซักพักโจวเฉินก็เปิดเมนูแลกเปลี่ยนขึ้นมาเพื่อหาซื้อหน้ากากที่ต้องการมานานแสนนาน

หลังจากตรวจสอบไปรอบหนึ่งเขาก็พบว่าหน้ากากที่วางขายยังคงมีไม่มากเหมือนเช่นเคย แถมยังไม่มีอันไหนราคาถูกเลยด้วย ถ้าเขาจะซื้อจริงๆก็จำเป็นต้องใช้เหรียญมังกรหรือไม่ก็อาวุธมาแลกเปลี่ยน

“น่าจะใช้แส้ที่มีอยู่มาแลกได้แต่ทางคนขายจะเอารึเปล่านี่สิ”

จากนั้นเขาก็ลองส่งข้อความไปยังคนขายบางคนว่าต้องการแลกเปลี่ยนกับแส้ไหมแต่กลับไม่มีใครตอบกลับมาเลย

“ราคาของหน้ากากพวกนี้แพงมาก หรือว่าอัตราการดรอปของพวกมันจะค่อนข้างต่ำ?”

โจวเฉินรู้สึกไม่พอใจนิดหน่อยและเริ่มคิดแล้วว่าพอจะหาอะไรมาทดแทนได้บ้าง

“แล้วทำไมเราไม่เสิร์ชหาผ้าขนหนูหรือพวกเสื้อผ้าแทนล่ะ? ตราบใดที่มันคลุมหน้าได้ก็น่าจะพอแล้ว”

หลังจากตรวจสอบเมนูแลกเปลี่ยนอีกครั้งโจวเฉินก็พบว่ามีบางอย่างพอใช้การได้ สิ่งนั้นก็คือผ้าผืนหนึ่งซึ่งสามารถนำอุปกรณ์สวมใส่มาแลกได้หรือไม่ก็ใช้เงินจำนวนหนึ่งหมื่นเหรียญมังกรเพื่อซื้อ

“ไอ้นี่แหละ”

ผ้านี้เป็นผ้าสีดำ คำอธิบายบอกว่าผ้านี้ค่อนข้างบางและสามารถระบายอากาศได้ดี เหมาะสำหรับใช้เป็นหน้ากากอย่างยิ่ง

“ลองไปดูในฟอรั่มก่อนดีกว่าว่าผ้าสามารถแปรรูปแล้วนำเข้าไปในดันเจี้ยนได้รึเปล่า”

เพื่อกันไม่ให้ตัวเองทำอะไรโง่ๆเขาจึงตัดสินใจไปตรวจสอบโพสต์ต่างๆที่เอ่ยถึงเรื่องการแปรรูปผ้าในฟอรั่มเสียก่อนเพื่อเช็คว่าวิธีการนี้มันใช้งานได้

(กรณีนี้หมายถึงเฉพาะผ้าที่ได้จากดันเจี้ยนจะสามารถนำเข้าไปในดันเจี้ยนได้แต่ถ้าเอาไปทำเป็นหน้ากากจะยังเอาเข้าไปในดันเจี้ยนได้อยู่รึเปล่า)

ใช้เวลาไม่นานนักเขาก็ยืนยันได้แล้วว่าวิธีการนี้ใช้งานได้ มีบางคนบนฟอรั่มคิดเรื่องนี้เอาไว้นานมากแล้ว บางคนกระทั่งว่าเอาผ้าไปทำเป็นแส้เพื่อใช้เป็นอาวุธเริ่มต้นก็มี

หลังจากทำความเข้าใจภาพรวมแล้วโจวเฉินก็ย้อนกลับไปที่เมนูแลกเปลี่ยนอีกครั้งและใช้เงินหนึ่งหมื่นเหรียญมังกรซื้อผ้าสีดำมา

เดิมทีเขาคิดว่าจะใช้แส้ที่มีแลกกับมันแต่เมื่อคิดว่าแส้ของเขาน่าจะมีราคามากกว่าหนึ่งหมื่นเขาจึงตัดสินใจใช้เงินสดแทน

หลังจากได้ผ้าสีดำผืนบางๆมาเขาก็หยิบกรรไกรและอุปกรณ์อื่นขึ้นมาและเริ่มกระบวนการแปรรูปในทันที เขาใช้ผ้าสีดำผืนนี้ทำเป็นหน้ากากครึ่งหน้าตามที่ต้องการ

เอาจริงๆถ้าจะทำเป็นหน้ากากแบบครอบทั้งหน้าเขาก็ไม่ติดอะไรเพียงแต่ว่าผ้าผืนนี้ใหญ่ไม่พอ อย่างมากที่สุดจึงทำได้แค่เพียงหน้ากากครึ่งหน้าเท่านั้น

หลังจากใช้เวลาไปเล็กน้อยกับการทำหน้ากากธรรมดาๆนี่จนแล้วเสร็จ โจวเฉินก็ลองใส่แล้วไปส่องกระจกดูตัวเอง แล้วก็ต้องพบว่าลักษณะของเขาในตอนนี้คล้ายกับอาจารย์หัวขาวในอนิเมะแนวนินจาที่เขาเคยดูในชีวิตที่แล้วเด๊ะเลย

“ไม่เลว นอกจากปิดบังใบหน้าได้ส่วนนึงแล้วยังไม่ทำให้ความหล่อของเราจางลงด้วย”

เขาพอใจกับหน้ากากทำมือของตัวเองมาก ในอนาคตเมื่อใดที่เขาต้องเข้าสู่ภารกิจเซอร์ไววัลเขาก็จะสวมหน้ากากอันนี้ไปด้วย

จากนั้นเขาก็ถอดหน้ากากออกไปซักแล้วนำไปบิดจนแห้ง เมื่อเสร็จสิ้นเขาก็จับมันยัดเอวในช่องเก็บของแล้วเดินออกจากห้องเช่าไป

ตอนนี้เขารู้สึกหิวขึ้นมานิดหน่อย อาหารที่กินไปเมื่อตอนที่กลับมาไม่สามารถทานทนต่ออัตราการเผาผลาญของเขาในปัจจุบันได้เลย

“เบื่อก๊วยเตี๋ยวเนื้อแล้วด้วย ไปกินบุฟเฟต์ละกัน”

ความอยากอาหารของโจวเฉินเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว ดังนั้นเพื่อประหยัดเงินเขาจึงตัดสินใจว่าจะไปกินบุฟเฟต์

เขาหยิบมือถือออกมาแล้วเสิร์ชหาแบบลวกๆแล้วก็พบว่าร้านอาหารที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่ช่วงตึกกำลังจัดแคมเปญบุฟเฟต์อยู่ ราคาของมันคือ68เหรียญมังกรต่อหนึ่งชั่วโมง

เขาเดินไปยังป้ายรถเมล์ที่ใกล้ที่สุดเพื่อขึ้นรถเมลล์มุ่งหน้าตรงไปยังร้านที่ว่าอย่างรวดเร็ว

บนรถเมล์เวลานี้มีคนไม่มากเท่าไหร่นักหรืออาจจะบอกว่าไม่มีเลยก็ได้ เมื่อมองผ่าหน้าต่างออกไปเห็นรถมากมายแล่นไปมาโจวเฉินก็เริ่มคิดเกี่ยวกับการซื้อรถขึ้นมาบ้างแล้ว

“ถ้าอยากได้รถก็น่าจะต้องมีเงินซัก200,000 แต่เงินไม่มีนี่สิ”

เขาพลันเกิดไอเดียว่าจะขายแส้กับโล่กลมที่ได้มา บางทีอาจจะพอจ่ายค่าดาวน์รถก็ได้

“แต่ดูเหมือนซื้อบ้านก่อนน่าจะตอบโจทย์กว่าจะได้ไม่ต้องจ่ายค่าเช่าอีกแถมยังสะดวกกว่าด้วย”

ขณะที่คิดอยู่นั้นเขาก็พลันได้ยินเสียงโทรศัพท์ที่ใส่เอาไว้ในกระเป๋ากางเกงดังขึ้นมา

“มีคนโทรมา? หรือจะเป็นพวกมิจฉาชีพ?”

เขาสงสัยยิ่งนัก ในความทรงจำของเขาเจ้าของร่างคนเก่าเป็นคนที่ค่อนข้างเก็บตัว ไม่มีเพื่อนและเป็นเด็กกำพร้า ดังนั้นตามปกติแล้วย่อมไม่มีใครโทรมาหาเขาแน่นอน

“ฮัลโหล?”

โจวเฉินรับสายแล้วแนบโทรศัพท์เอาไว้ข้างหู

“สวัสดีค่ะนั่นคุณโจวเฉินใช่ไหมคะ?”

เสียงใสของหญิงสาวดังมาจากปลายสาย

“ใช่ครับ”

โจวเฉินตอบกลับ

“คุณโจวเฉินฉันโทรมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเมืองหยางนะคะ ฉันโทรมาเพื่อเตือนคุณว่าอีกหนึ่งเดือนจะถึงเส้นตายการจ่ายค่าธรรมเนียมของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแล้ว คุณสะดวกจ่ายเงินจำนวนสองแสนเหรียญมังกรในครั้งเดียวหรือต้องการผ่อนชำระคะ?”

“หา?”

โจวเฉินติดสตั้นท์ไปชั่วครู่

“คุณมีคำถามเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมรึเปล่าคะ?”

เสียงของสตรีปลายสายยังคงพูดต่อไป

โจวเฉินไม่ได้ตอบทันทีแต่เลือกที่จะตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในหัวของเขาแทน ไม่นานนักเขาก็จำได้ว่าเหมือนว่าจะมีเรื่องเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมฝังเอาไว้ในส่วนลึกในหัวของเขาจริงๆ สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าของโลกนี้มีหน้าที่เลี้ยงเด็กกำพร้าขึ้นมาก็จริงแต่เด็กกำพร้าเองก็ต้องหาเงินมาจ่ายค่าธรรมเนียมเมื่อพวกเขาโตขึ้นเช่นเดียวกัน

“ผมยังไม่ได้คิดเลยถ้าคิดได้แล้วจะติดต่อกลับไปแล้วกัน แค่นี้นะครับ”

จากนั้นโจวเฉินก็ตัดสายทันที

เขาวางแผนว่าจะคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้หลังจากจัดการบุฟเฟต์เสียก่อน นอกจากนี้ยังอยากจะดูดด้วยว่าคนที่โทรมาโทรมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเมืองหยางจริงรึเปล่าแล้วถ้าจริงทำไมค่าธรรมเนียมมันถึงได้สูงนัก

“เมื่อกี้ยังคิดจะซื้อบ้านซื้อรถอยู่เลยแต่มาตอนนี้จู่ๆก็มีหนี้ก้อนโตตกใส่หัวซะงั้น...”

โจวเฉินหมดคำจะพูด เดิมทีเขาก็โล่งใจที่ตัวตนของเจ้าของร่างเดิมนั้นเป็นเด็กกำพร้า เขาจะได้ไม่ต้องมาวุ่นวายกับพวกญาติๆแปลกหน้าแปลกตาทั้งหลาย ไม่คิดเลยว่าเจ้าของร่างเดิมจะทิ้งหนี้ก้อนโตขนาดนี้เอาไว้ให้เขา

“แม้ว่าชีวิตในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ติดอยู่ในความทรงจำจะน่าเบื่อแต่ก็สงบสุข เจ้าของร่างเดิมเลือกที่จะฆ่าตัวตายก็เพราะความป่วยทางจิตและความกดดัน หนี้ก้อนนี้ยังไงเราก็ควรจะต้องจ่าย ถือซะว่าเป็นการจัดการเรื่องหลังที่เจ้าของร่างเดิมทำเอาไว้ไม่สำเร็จแล้วกัน”

โจวเฉินตัดสินใจแล้วว่าถ้าเรื่องค่าธรรมเนียมเป็นเรื่องจริงเขาก็จะแบกรับความรับผิดชอบตรงนี้

“จ่ายก้อนเดียวให้จบๆไปเลยน่าจะดีกว่า”

เขาเริ่มคิดแล้วว่าจะหาเงินให้ได้เร็วๆยังไงดีเพราะเขาเกลียดการเป็นหนี้ที่สุด ในชีวิตที่แล้วเขาก็แทบจะไม่เคยยืมเงินใครเลย

ในตอนที่เขากำลังคิดหาวิธีหาเงินอยู่นั้นจู่ๆเขาก็รู้สึกตัวขึ้นมาว่ารถเมล์ที่นั่งอยู่มันเคลื่อนไหวอย่างแปลกประหลาด มันพุ่งไปยังด้านข้างของถนนหลักซึ่งเป็นทางเท้าสำหรับคนสัญจรไปมา

“???”

เขาที่มึนงงรีบมองไปทางที่นั่งของคนขับแล้วก็ต้องพบว่าที่นั่งตรงนั้นว่างเปล่า ชายวัยกลางคนที่เป็นคนขับรถเมล์ซึ่งนั่งขับอย่างปกติมาจนถึงเมื่อครู่ได้หายตัวไปแล้ว

เขารีบวิ่งไปที่ที่นั่งของคนขับแล้วเหยียบเบรกอย่างไม่ลังเล

เนื่องจากปฏิกริยาตอบสนองอันฉับไวของเขารถเมล์จึงไม่ได้ชนคนที่เดินไปเดินมาเลยแม้แต่คนเดียวแต่มันก็ทำให้ทั้งคนที่อยู่บนรถและที่เดินอยู่ด้านนอกกรีดร้องกันออกมายกใหญ่

“แกขับรถเป็นไหมเนี่ย? แกเกือบจะชนฉันแล้วนะเว้ย! รอฉันแจ้งความได้เลย!”

คุณป้าคนหนึ่งซึ่งเดินอยู่ริมถนนและเกือบถูกชนจ้องเขม็งมาที่ตำแหน่งของคนขับ

“เชี่ย! คนขันนั่นจู่ๆก็หายตัวไปเฉยเลย!”

ผู้โดยสารชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ภายในรถกลับให้ความสนใจเรื่องอื่น

“อะไรกันเนี่ย! นี่แกได้ใบขับขี่มาได้ยังไงไม่ทราบ? ฉันเกือบจะล้มหน้าคะมำลงบนพื้นแล้วนะ!”

ผู้โดยสารสาวซึ่งนั่งเล่นมือถือมาตลอดทางยืนขึ้นแล้วก่นด่าโจวเฉิน

สีหน้าของโจวเฉินยังคงราบเรียบ หลังจากหยุดรถเมล์ได้แล้วเขาก็รีบเปิดประตูและลงจากรถไปทันทีโดยไม่คิดจะอยู่รอสิ่งที่จะตามมา

“รู้สึกได้เลยว่าไอ้การกระทำของเรานี่อาจจะทำให้ตัวตนถูกเปิดโปงก็ได้”

เมื่อหวนนึกไปถึงกล้องที่ติดอยู่บนรถเขาก็รู้สึกขึ้นมาลางๆว่าสถานการณ์ไม่น่าจะดีเท่าไหร่นัก

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด