ตอนที่8 แต่งตั้งเป็นพระชายาเอก
ตอนที่8 แต่งตั้งเป็นพระชายาเอก
เซียถงคลี่ยิ้มเยาะ ที่แท้อาจูเป็นคนของฮูหยินเฉิงจริงๆ
“อาจู ดูเหมือนว่านับว่าเจ้าจะยิ่งลำพองตนตีตัวเหนือหัวข้า เจ้าไม่เพียงเอ่ยขานชื่อข้าตรงๆ แต่ยังกล้าวางยาพิษให้ท่านแม่ข้ากินอีกด้วย ถึงแม้ท่านแม่ของข้าจะมิได้รับความโปรดปรานจากจวนแห่งนี้มากนัก แต่ยังไงเสีย นางก็เป็นถึงหลานสาวของจวนขุนนางกั๋วกง เจ้าลองใช้สมองอันน้อยนิดของตนจินตนาการดูเสียว่า จะเป็นอย่างไรหากข้านำเรื่องนี้ไปบอกกับกั๋วกง?”
สอาจูสีหน้าซีดเผือดในทันที แววตาลนลานประดุจเป็นมดน้อยในกระทะร้อน เตรียมจะชัดขาหนีออกไปนอดประตูโดยเร็วที่สุด ทว่าเซียถงกลับอ่านความคิดของอีกฝ่ายออกนานแล้ว เสมือนมีมือยมภูตพวงพุ่งออกมาจากด้านหลัง อาจูโดนกระชากผมกระตุกสุดแรง จนร่างลอยล้มคะมำลงกับพื้นเสียงดัง‘ปัง’!
แววตาของเซียถงในยามนี้ยิ่งหม่นประกายดูล้ำลึก ทั้งยังเย็นยะเยือกประดุจบ่อน้ำบรรพกาลพันปี สุ้มเสียงเย็นชาสุดขั้วหัวใจ ปราศจากร่องรอยความอบอุ่นหรือเมตตาใดๆ
“ในเมื่อเจ้าชอบยาพิษชามนี้นัก เช่นนั้นข้าขอมอบให้เจ้าดื่มเสียแล้วกัน”
กล่าวจบ เสียงกระแทกดัง‘ปัง’สนั่นลั่นขึ้นอีกครา เซียงถงกระชากศีรษะของอาจูขึ้นมาและฟาดลงกับพื้นอีกครั้งอย่างแรง ก่อนจะกรอกยาต้มสมุนไพรร้อนๆถ้วยนั้นใส่ปากของอาจูเข้าไปรวดเดียวจนหมด กระแสยาสมุนไพรต้มร้อนระอุไหลผ่านช่วงลำคอ เข้าสู่ร่างกายของอีกฝ่ายโดยตรง ปิดท้ายโดยที่เซียถงใช้ดัชนีสกัดจุดบริเวณหน้าอกของอีกฝ่าย และไม่ว่าอาจูจะพยายามสำลอกอาเจียนออกมาอย่างไร ทว่าผลที่ได้กลับไม่มีอะไรออกมา
“เจ้า...เจ้ากล้าดียังไงมาทำกับข้าเช่นนี้! ข้า...ข้าจะไปฟ้องฮูหยินใหญ่! นางไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่...”
พอฮูหยินหลี่เห็นภาพฉากตรงหน้านี้ นางถึงกับตะลึงงันไปชั่วขณะ เพราะบุตรสาวของนางเป็นคนขี้อายไม่กล้าแสดงออกมาตั้งแต่เด็ก และไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้ได้แน่นอน ทว่า...ถงเอ๋อร์ที่ลงมือลงไม้ได้โหดเหี้ยมปานนี้ มันได้ทำลายภาพลักษณ์ทั้งหมดภายในใจของนางไปโดยหมดสิ้น
เซียงถงย่างเท้าตรงไปเบื้องหน้า พร้อมหวดบาทาเสยคางอาจูอย่างแรง จนร่างของอีกฝ่ายกลิ้งกระเด็นออกไป แต่ยังไม่ทันจะได้ทรงตัวลุกขึ้นด้วยซ้ำ กลับถูกเซียถงกระทืบซ้ำอีกครา พร้อมใช้ฝ่าเท้าเหยียบกลางหลัง ค่อยๆออกแรงบดขยี้อาจูอย่างแช่มช้า ให้ลิ้มรสความทรมานอย่างละเมียดละไม สีหน้าการแสดงออกของเซียถงยังคงดูยิ้มแย้มไม่แปรเปลี่ยน ทว่าในสายตาของอาจูในขณะนี้ รอยยิ้มดังกล่าวกลับน่าสยดสยองประดุจภูตผี แม้ผิวเผินจะดูอ่อนโยน ทว่าในความเป็นจริง กลับทำเอาหัวใจสั่นระรัว หวาดผวาถึงขีดสุด
“ข้าไม่รู้หรอกว่า ฮูหยินใหญ่จะทำอะไรข้าได้แค่ไหน แต่ที่ข้ารู้แน่แท้ในตอนนี้ก็คือ อีกไม่นานเจ้ากำลังจะตายด้วยน้ำมือข้า”
สุ้มเสียงที่เปล่งออกมาช่างแผ่วเบา ทว่าท่ามกลางแสงอรุณสีทองทอประกายเช่นนี้ กลับเหน็บหนาวจับขั้วกระดูกดำ ราวกับคำสาปแช่งของมารร้าย
“เจ้า...เจ้ากล้าดียังไง..ข้าเป็น....เป็นคนของฮูหยินใหญ่...”
อาจูพยายามขัดขืนอย่างสุดกำลัง ทว่าต่อหน้าเซียถงเช่นนี้ ไม่ว่าจะทำยังไงก็ไร้ประโยชน์
“เจ้าอยากรู้หรือไม่...อะไรทรมานเสียยิ่งกว่าความตาย?”
พอกล่าวจบ เซียถงก็เริ่มออกแรงที่เท้าเพิ่มขึ้นทันที ส่งผลให้อาจูเริ่มหายใจไม่สะดวก ใบหน้าซีดเผือดหนักกว่าเกา ริมฝีปากแห้งกราด สภาพดั่งสุนัขจรใกล้ตายเต็มทน
ภายใจเบื้องลึกในใจ อาจูหวาดผวาตื่นตกใจยิ่งกว่าอะไรทั้งปวง มิใช่ว่าคุณหนูกลายมาเป็นขเศษขยะขิ้นหนึ่งแล้ว? ไฉนถึงทรงพลังปานนี้?
“อ๊ากกก! คะ-คะ-คุณหนู...โปรดไว้...ไว้ชีวิตข้าด้วยเถิด! ขะ-ข้า...ไม่มีทางเลือก...ต้องเชื่อฟังคำสั่งฮูหยินใหญ่...”
เพื่อที่จะได้ไม่ถูดทรมานต่อไป อาจูเลือกที่จะสารภาพความจริงออกไปทั้งหมด
ที่แท้หลายปีที่ผ่านมานี้ ฮูหยินใหญ่ก็สั่งให้อาจูลอบวางยาพิษในน้ำสมุนไพรต้มของฮูหยินหลี่มาโดยตลอด เพื่อเลี้ยงไข้เอาไว้และทำให้ทุกคนเข้าใจผิดว่า ฮูหยินหลี่นางนี้ป่วยเป็นโรคร้ายเรื้อรัง คงมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกไม่นาน แต่จะอย่างไร ท่านแม่ของเซียถงเองก็มีไหวพริบดีเยี่ยม อาศัยจังหวะที่อาจูเผลอแอบเทน้ำสมุนไพรต้มนี้ทิ้ง ส่งผลให้นางยังประคองชีวิตได้ยาวนานจวบจนทุกวันนี้ และยังไม่ตายอย่างที่ฮูหยินใหญ่เฉิงหวังเอาไว้
เซียถงพลิกข้อมือเล็กน้อยเผยให้เห็นยาเม็ดสีดำประหลาดปรากฏขึ้นมา จากนั้นก็นำมายัดใส่ปากอาจูให้กลืนลงไปในพริบตา
อาจูยิ่งขวัญเสียตื่นตระหนักเข้าไปใหญ่ กรีดร้องดังลั่นว่า
“คะ-คุณหนู...ท่านให้ข้ากลืนอะไรลงไป!?”
“ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่โอสถกร่อนลำไส้ ตอนนี้เจ้ายังไม่ตายแน่นอน รออีกเจ็ดวัน อวัยวะภายในร่างกายของเจ้าจะค่อยๆเน่าเปื่อยอย่างแช่มช้า แล้วก็.... หุหุ...”
เซียถงบรรยายสรรพคุณขึ้นด้วยท่าทีขี้เล่นสนุกสนาน พลางเดินไปที่นั่งเล่นที่โต๊ะ เงยหน้ารับชมแสงอรุณสีทอง ราวกับกำลังจะบอกว่า ช่างเป็นวันที่ดีเสียจริง
อาจูตกตะลึงถึงขีดสุด รีบคุกเข่าอ้อนวอนขอความเมตา โขกศีรษะตัวเองอัดพื้นไม่หยุดหย่อน ร้องสะอึกสะอื้นดังว่า
“คุณหนูโปรดไว้ชีวิตข้าด้วย! ไว้ชีวิตข้าด้วยเถิด! ข้า...ข้าเองก็ไม่มีทางเลือกมากนัก...”
เซียถงปราดหางตามองต่ำลงเล็กน้อย
“หากต้องการไว้ชีวิตเจ้า ข้าเองย่อมทำได้”
อาจูรีบคลานเข่าเข้ามาทันที
“คุณหนูใหญ่ช่างมีเมตตา! คุณหนูใหญ่ช่างมีเมตตา! ไม่ว่าจะต้องการอะไรโปรดสั่งข้ามาได้เลยเจ้าค่ะ! ต่อแต่นี้ไปข้าจะเป็นบ่าวรับใช้ของท่านเพียงคนเดียว!”
“เจ้าจงแกล้งทำเป็นไม่รู้อะไรทั้งสิ้น หากฮูหยินใหญ่เอ่ยถามอะไรออกมา ก็บอกเพียงว่า ท่านแม่ของข้าดื่มยาพิษทุกวันไม่มีขาดตก และอีกเจ็ดวันให้หลัง ข้าจะกลับมาดู และมอบยาถอนพิษแก่เจ้า แต่ถ้าหาก...”
พอถึงจุดนี้ น้ำเสียงของเซียถงเย็นยะเยือกลงทันที
“หากเจ้ากล้าเล่นตุกติดกับข้า ข้าจะไม่เพียงฆ่าเจ้าเท่านั้น แต่ข้าจะล้างบางครอบครัวของเจ้าให้สิ้นซาก!”
อาจูถึงกับขนหัวลุก แต่พอเงยหน้ามองขึ้นมา กลับพบเห็นแค่ หญิงสาวนางหนึ่งที่ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มสดใส ทว่า....รอยยิ้มนี้กลับมิใช่รอยยิ้มที่งดงามแต่อย่างใดในสายตาของอาจู และไม่ทราบเพราะเหตุใด ทั่วทั้งร่างกายของนางพลันสั่นเทาไม่หยุด ไม่รู้สึกสงสัยหรือกังขาในวาจาคำพูดของเซียถงแม้สักนิด หากคุณหนูนางนี้กล่าวออกมาแล้ว อีกฝ่าย...อีกฝ่ายย่อมกล้าลงมือทำจริงๆแน่นอน!
อาจูรีบก้มหน้าลง น้ำเสียงจากแข็งกระด้างแปรเปลี่ยนเป็นนอบน้อมอย่างที่สุด
“คุณหนูวางใจได้เจ้าค่ะ ข้าจะทำตามที่คุณหนูสั่งทุกประการแน่นอน!”
รอจนกว่าอาจูจะจากออกไปลับสายตา เซียถงค่อยบอกลาฮูหยินหลี่และจากไปเช่นกัน ตลอดทางกลับ นางก็เอาแต่ครุ่นคิดเรื่องอาการเจ็บปว่ยของท่านแม่ จึงเดินกลับไปถึงเรือนตนเองโดยไม่ทันรู้ตัว
พอเพิ่งย่างเท้าก้าวเข้ามาในเรือนได้ไม่ทันไร ก็เห็นอิ๋งเอ๋อร์วิ่งเข้ามาด้วยท่าทางร้อนรนยิ่ง
“คุณหนู! ฝ่าบาทเสด็จมาที่นี่! เรียกท่านเข้าไปพบเป็นการส่วนตัวเจ้าค่ะ! รีบแต่งหน้าแต่งตาแล้วไปเข้าเฝ้าโดยเร็วเถิดเจ้าค่ะ!”
เซียถงถึงกับขมวดคิ้วเมื่อได้ยิน นางเป็นเพียงหญิงสาวอัปลักษณ์นางหนึ่งมิใช่รึ? ไฉนฝ่าบาทถึงขั้นเดินทางมาที่นี่เพื่อสนทนากับนางด้วยตนเอง?
“เจ้าพอจะทราบหรือไม่ว่า มีเหตุอันใดกัน?”
เซียถงเอ่ยถามพลางเดินออกไปพบโดยทันที แม้แต่เสื้อผ้าก็ยังไม่เปลี่ยนด้วยซ้ำ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องแต่งหน้าแต่งตา เพราะยังไงซะ นางก็เกิดมาอัปลักษณ์อยู่แล้ว ไม่ว่าจะแต่งหน้ายังไงก็คงไม่ต่างจากเดิมเท่าไหร่ พูดได้ว่า เสียเวลาทำมาหากินเปล่า
อิ๋งเอ๋อร์เดินติดตามนางอยู่ท้ายหลัง เอ่ยขึ้นอย่างจนปัญญาเช่นกัน
“ดูเหมือนว่า...มันอาจจะเกี่ยวข้องกับตอนที่คุณหนูช่วยชีวิตองค์รัชทายาทก็เป็นได้นะเจ้าค่ะ?”
แววตาของเซียถงฉายแววสงสัยยิ่งขึ้นไปอีก แต่เรื่องนี้มันผ่านมานานแล้วมิใช่รึไง? นางเร่งฝีเท้าขึ้นทันทีและมาถึงโถงใหญ่แห่งจวนเสนาบดีในเวลาต่อมา
ชายวันกลางคนใบหน้าหล่อหลอ พร้อมด้วยกลิ่นอายที่แผ่ซานสุดน่าเกรงขามกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ประจำหัวโต๊ะยาว สาวเสื้อคลุมลายมังกรสีทองอันงดงาม เขาผู้นี้คือองค์จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิตงหลี่ ส่วนองค์รัชทายาท เซี่ยอี้เฉินและคนอื่นๆต่างก็กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างซ้ายและขวา เรียงลำดับตามศักดิ์สถานะไล่ลงไป
บนเก้าอี้ช่วงท้ายมีเด็กสาวอายุประมาณสิบเจ็ดปี นั่งอยู่ตรงนั้นใบหน้างดงามหาที่เปรียบไม่ นางมีชื่อว่า เซี่ยเสวี่ยเหลียน บุตรสาวคนที่สองของเซี่ยอี้เฉิน แม้ว่าพรสวรรค์ในการบำเพ็ยบละจะค่อนข้างธรรมดา แต่นางกลับเป็นถึงหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งจักรวรรดิตงหลี่ คำกล่าวที่ว่า งดงามถล่มเมือง นับว่าเป็นความจริง
สายตาของเซี่ยเสวี่ยเหลียน ปรายมองจับจ้องไปทางไป๋หลี่เย่ที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามเป็นครั้งคราว
เซียถงย่างสามขุมตรงเข้าไปในโถงใหญ่ เดินด้วยท่าทีสง่าผ่าเผยไม่มีประหม่าหรืออ่อนน้อมต่อสิ่งใด เข้ามาโค้งคำนับแก่องค์จักรพรรดิที่นั่งตัวโต๊ะ
“เซียถง ถวายบังคมฝ่าบาท”
เมื่อองค์จักรพรรดิเห็นเซียถง เขาก็อดตะลึงงันมิได้ ก่อนยิ้มและกล่าวว่า
“ลุกขึ้นเถอะ”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”
“เจ้าคือเซียถงคนนั้น”
องค์จักรพรรดิส่งยิ้มให้แก่นางและกล่าวต่อว่า
“ครั้งก่อน เพราะเจ้าช่วยเหลือชีวิตขององค์รัชทายาท ทำให้จุดตันเถียนของเจ้าถูกทำลาย ข้าผู้นี้รู้สึกผิดบาปอย่างสุดซึ้ง เพื่อเป็นการชดเชยแก่เจ้า ข้าผู้นี้จะขอแต่งตั้งเจ้าเป็นพระชายาเอกขององค์รัยทายาท...”
ทันทีที่ประโยคนี้เอ่ยดังออกมา สุ้มเสียงทั่วทั้งห้องโถงใหญ่พลันระเบิดลั่นออกมาเสมือนฟ้าร้อง
เซียถงตกลังงันไปชั่วขณะหนึ่ง พลันหรี่ตาแคบเฝ้ามององค์จักรพรรดิตรงหน้าด้วยความสงสัยในเวลาต่อมา แม้นางจะช่วยชีวิตของอค์รัททายาทเอาไว้จริงๆ แต่อีกฝ่ายก็ไม่เห็นจำเป็นต้องแต่งตั้งนางเป็นพระชายาเอกขององค์รัชทายาทก็ได้? นิ่งไปกว่านั้น ภาพลักษณ์ของนางต่อสายตาทุกคนในปัจจุบันคือ เศษขยะที่มีหน้าตาอัปลักษณ์...
ส่วนทางด้านเซี่ยอี้เฉิน ฮูหยินเฉิงและคนอื่นๆต่างอ้าปากค้างเติ่ง สีหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ เสมือนกับว่าตนเองได้ยินอะไรผิดไปก็มิปาน นี่...เป็นไปได้อย่างไร? ไฉนฝ่าบาทถึงต้องแต่งตั้งนังขยะนี่เป็นพระชายาเอกขององค์รัชทายาทด้วย? นอกจากไม่สามารถบำเพ็ญตบะได้แล้ว ใบหน้าของนางยังอัปลักษณ์น่าเกลียดยิ่งกว่าสิ่งใด...
เมื่อไป๋หลี่เย่ได้ยินเช่นนั้น เขาก็โพล่งตัวลุกขึ้นพรวดทันที
“เสด็จพ่อ! ข้ายอมทำตามที่ท่านต้องการได้ทุกอย่าง แต่สำหรับเรื่องนี้ข้าไม่ยอม! ข้าจะไม่อภิเษกกับนังนี่แน่นอน!”
แค่ได้เห็นโฉมหน้าของเซียถง เขาก็แทบอยากจะอ้วกออกมาแล้ว หากแต่งนางไปเป็นพระชายาเอกในอนาคต ต่อจากนี้เขาหรือยังมีหน้าอยู่ในจักรวรรดิตงหลี่แห่งนี้ได้อีก?