ตอนที่4 ชายชุดดำ
ตอนที่4 ชายชุดดำ
เมื่อได้ยินแบบนั้น ไป๋หลี่เย่รู้สึกโกรธเกรี้ยวจนใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีเขียว ไม่มีผู้ใดกล้าพูดจากับเขาเช่นนี้มาก่อน! ทว่านังอัปลักษณ์นี่กลับกล้าไล่เขาจริงๆ? เมื่อก่อนมิใช่ว่านางชอบข้า? หรือว่ากำลังเล่นแง่เล่นเหลี่ยมอะไรสักอย่าง?
“เซียถง ลูกไม้ตื้นเขินเช่นนี้ของเจ้าไร้ประโยชน์สิ้นดีต่อหน้าข้า เพียงได้เห็นหน้าเจ้า ข้าก็อยากจะอ้วกเต็มทนแล้ว แต่หากเจ้ามีใบหน้าที่งดงามกว่านี้สักเล็กน้อย ข้ายังพอเก็บไปพิจารณาได้ น่าเสียดายที่เจ้าอัปลักษณ์เกินไป”
ทั้งแววความรังเกียจและดูแคลนที่ส่องสะท้อนออกมาจากดวงตาของไป๋หลี่เย่ มันไม่มีเจตนาที่จะปิดบังเลยแม้สักนิด
เซียถงได้ยินแบบนั้น มุมปากพลันกระตุกยิ้มขึ้นเล็กน้อย สีหน้าแววตาดูเย็นชาเข้าไปใหญ่ราวกับธารน้ำแข็ง นางเอ่ยถากถางสวนตอบไปว่า
“ข้าหรือเคยใช้ลูกไม้กับท่าน? ขอบอกตามตรง ต่อให้ท่านจะถอดเสื้อแก้ผ้ายืนอยู่ต่อหน้าข้า ข้าเองก็ไม่มีสนใจเช่นกัน แค่พูดออกเช่นนี้ก็แทบอยากจะอ้วกแล้วเช่นกัน หุหุ...”
คล้อยหลังพูดจบ เซียถงไม่สนใจสีหน้าดำคล้ำมืดทมิฬและบิดเบี้ยวน่าเกลียดของไป๋หลี่เย่เลยแม้แต่น้อย นางหมุนตัวเดินกลับเข้าไปภายในเรือนพร้อมใช้เท้าเขี่ยประตูปิดใส่หน้าอีกฝ่ายดัง ‘ปัง’ !
ถูกอีกฝ่ายใช้เท้าเขี่ยประตูอัดใส่หน้าเช่นนี้ด้วยท่าที่สุดเมินเฉย นับเป็นความอัปยศครั้งใหญ่ของไป๋หลี่เย่ เขาในตอนนี้โกรธแค้นอีกฝ่ายเป็นอย่างยิ่งจนใบหน้าเขียวดำสลับสีไปมา กัดฟันกรอดก่นเสียงเค้นผ่านร่องฟันด้วยความอาฆาตขึ้นคำหนึ่ง
“ได้! แล้วจะได้เห็นดีกันนังโสโครก!”
อิ๋งเอ๋อร์ยังคงยืนแข็งค้างอยู่ที่เดิม อ้าปากกว้างขากรรไกรแทบร่วงกระแทกพื้น นางยืนอยู่ท่านั้นไม่ตอบสนองเป็นเวลานาน ภาพฉากที่เซียถงเอ่ยวาจาเหยียดหยันและใช้เท้าปิดประตูใส่ไป๋หลี่เย่ยังคงตราตรึง แม้ไม่รู้ว่านี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่กับคุณหนูของนาง แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนแล้วก็คือ คุณหนูที่อยู่ตรงหน้านางได้เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ!
เปลี่ยนไปราวกับหน้ามือเป็นหลังตีนโดยแท้!
เมื่อคุณหนูเป็นพวกชอบเก็บตัว มีนิสัยขี้อาย ไม่กล้าแสดงออก อย่าว่าแต่ทำกิริยาเช่นนี้ใส่ผู้อื่นเลย แม้กระทั่งจะปั้นสีหน้าแข็งขืนใส่ยังไม่กล้า!
คราวนี้เห็นสีหน้าขององค์รัชทายาทหรือไม่ ราวกับว่าเขากำลังเดือดดาลสุดขีดจนแทบระเบิดออกมา! แต่สิ่งที่ทำให้อิ๋งเอ๋อร์ไม่เข้าใจที่สุดคือ คุณหนูแอบชอบองค์รัชทยาทมาโดยตลอดเลยมิใช่รึ? มิฉะนั้นคงไม่ยอมเสี่ยงชีวิตเข้ารับคมดาบมรณะแทนอีกฝ่ายเช่นนี้หรอกจริงหรือไม่?
อิ๋งเอ๋อร์แบกหีบสมบัติกองเหล่านั้นทยอยเข้าเรือนด้านใน
“คุณหนู สิ่งของพวกนี้ท่านวางแผนจัดการอย่างไรต่อเจ้าค่ะ?”
เซียถงไล่เปิดหีบสมบัติแต่ละกล่องออกมา ก่อนจะถอยหลังขึ้นมองกวาดสายตาสำรวจไปรอบหนึ่ง อืมม...ไข่มุกรัตติกาลชั้นดี ปะการังทับทิบชาต จี้หยกเขียว ไขมันแพะ และสมุนไพรล้ำค่าจำนวนหนึ่ง
“เก็บสมุนไพรเอาไว้ ส่วนที่เหลือเอาไปขายให้หมด”
“จะ-เจ้าค่ะ?”
อิ๋งเอ๋อร์ตะลึงงันไปชั่วขณะอีกครั้ง นางได้ยินถูกใช่ไหม?
“เจ้าฟังไม่ผิดหรอก เอาไปขายซะ”
เซียถงเอ่ยเสียงเรียบโดยมองข้ามความตกใจและแววสงสัยที่เปี่ยมล้นบนใบหน้าของอิ๋งเอ๋อร์โดยสิ้นเชิง
นี่เป็นผืนพิภพของผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่มีสิทธิ์ครอบครองทุกสรรพสิ่ง ต่อให้สิ่งเหล่านี้จะล้ำค่าหรือสวยงามเพียงใดก็ไร้ประโยชน์ มิสู้เอาพวกมันไปขายหาเงินเข้ากระเป๋าเพิ่มดีกว่ารึ? อย่างน้อยก็เอาเงินจำนวนเหล่านี้ไปซื้อสมุนไพรหรือโอสถมาเพิ่ม จะได้ช่วยให้ตัวนางแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
นี่ทะลุมิติมายังผืนพิภพแห่งนี้ได้เดือนกว่าแล้ว แต่เซียถงก็ยังไม่เคยตรวจสอบสภาพความเสียหายของจุดตันเถียนของตัวเองอย่างละเอียดเลยสักครา ซึ่งนางอาศัยจังหวะที่อิ๋งเอ๋อร์นำของออกไปจำนำ ลองนั่งขัดสมาธิ เริ่มกระบวนการรวบรวมลมปราณเข้าสู่จุดตันเถียนอย่างแช่มช้า แต่ผลปรากฏว่า การจะเติมเต็มลมปราณเข้าไปในจุดตันเถียนมันเป็นเรื่องที่ลำบากยิ่ง เพราะเพิ่งรวบรวมได้ไม่ทันไร กระแสลมปราณเหล่านั้นกลับสลายหายไปจากทุกทิศทุกทาง ราวกับถังน้ำที่รั่ว ไม่สามารถกักเก็บน้ำเอาไว้ได้
คล้อยหลังพยายามอยู่อีกหลายครั้ง ทว่าผลลัพธ์ที่ได้ยังคงเหมือนเดิม
เซียถงถอนหายใจอย่างจนปัญญา ดูท่าจุดตันเถียนดังกล่าวคงพิการถาวรไปแล้วจริงๆ แต่หากเป็นเช่นนี้ นางก็ไม่สามารถฝึกปรือลมปราณได้แล้ว? แบบนั้น...นางคงต้องหาทางอื่น
ความยืดหยุ่นและความคล่องแคล่วของร่างกายนี้ไม่เลวเลย ตราบเท่าที่นางฝึกฝนจนคุ้มชินกับร่างนี้เพียงพอ ฝีมือน่าจะเทียบเคียงกับทักษะในชีวิตก่อนหน้าได้ ต่อให้เซียถงต้องเผชิญหน้าพบกับยอดฝีมือขอบเขตเสาหลักเขียว แต่นางก็มั่นใจว่าสามารถต่อสู้ได้อย่างสูสี
ผู้บำเพ็ญตบะในทวีปเทียนหลางสามารถแบ่งระดับชั้นพลังได้ดังนี้ ขอบเขตเสาหลักแดง เสาหลักเหลือง เสาหลักเขียว เสาหลักฟ้า ราชันม่วงและจักรพรรดิครามฟ้า
ซึ่งขอบเขตราชันม่วงและจักรพรรดิครามฟ้าในทวีปเทียนหลางมีจำนวนน้อยเสียยิ่งกว่าขนวิหคเพลิงอมตะและเขากิเลนเสียอีก
แม้ว่าสมุนไพรที่ไป๋หลี่เย่มอบให้นั้นจะมีค่ามาก แต่ทั้งหมดเหล่านี้ล้วนมีสรรพคุณในการรักษาอาการบาดเจ็บ ซึ่งสิ่งที่นางต้องการที่สุดในตอนนี้คือ สมุนไพรที่ใช้ล้างไขกระดูกตัดเส้นเอ็น เพราะแบบนี้เองก็เคยสั่งให้อิ๋งเอ๋อร์นำของทั้งหมดไปขายในโรงรับจำนำเพื่อแลกเปลี่ยนเป็นเงิน
ผ่านไปไม่นาน อิ๋งเอ๋อร์ก็หอบของถือกลับเข้ามาพร้อมกับสีหน้าสุดแสนจะหดหู่
“คุณหนู เพราะสิ่งของเหล่านี้ล้วนแต่มีตราพระราชสำนัก เถ้าแก่โรงรับจำนำจึงไม่กลับรับซื้อต่อ”
เซียถงขมวดคิ้วมุ่นเล็กน้อย หมุนตัวกลับไปหยิบกล่องใบหนึ่งในลิ้นชักออกมา ภายในมีเพียงเหรียญทองอยู่สองเหรียญ ดูเป็นภาพฉากที่ดูน่าเวทนาพิกล
แม้ร่างนี้จะเป็นถึงบุตรสาวสายตรงของจวนเสนาบดีแห่งนี้ แต่เบี้ยเลี้ยงรายเดือนช่างน้อยนิดจนน่าสมเพช โดยปกตินางชอบถูกแม่เลี้ยงทำร้ายร่างกายคล้ายเป็นการระบายอารมณ์ ส่วนเบี้ยเลี้ยงในแต่ละเดือนที่นางควรได้ก็ถูกแม่เลี้ยงยึดเอาไปหมด เหลือก็เพียงเหรียญทองในกล่องใบนี้ที่เซียถงต้องกินต้องใช้อย่างประหยัด
การจะออกไปซื้อสมุนไพรในยามนี้ที่ร้านข้างนอกคงเป็นไปไม่ได้แล้ว ทางเลือกเดียวที่หลงเหลืออยู่คือต้องออกไปขุดหาเองภายในป่า ปัญหาทั้งหมดในตอนนี้อยู่ที่เรื่องเงิน และนี่ยังเป็นปัญหาแรกที่เซียถงต้องจัดการตั้งแต่ทะลุมิติมา
“คุณหนู ท่านต้องการเงินไปเพื่ออันใดรึ?”
อิ๋งเอ๋อร์เอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย
เซียถงเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า สังเกตการณ์สภาพอากาศวันนี้ซึ่งมีเมฆมากค่อนข้างมืดขรึม จึงค่อยเอ่ยว่า
“ไม่มีอะไร เจ้าไปเตรียมอาหารเย็นเถอะ”
เช้าวันถัดมา เซียถงตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ สวมชุดกระโปรงรัดรูปสีเงิน ปัดผมหางม้าสูง ส่องใบหน้าที่มีจุดด่างดำบนแก้มทั้งสองข้างผ่านกระจกสีทองแดงเล็กน้อย หมุนตัวเดินไปหยิบผ้าสีขาวผืนหนึ่งออกมาจากตู้ นำมาคลุมใบหน้าเอาไว้ จากนั้นส่องกระจกอีกคราพร้อมพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ก่อนจะเดินออกไปจากเรือนหลังน้อยและปีนกำแพงจวนออกไป
ห่างออกไปจากเมืองเฟิ่งหลี่ประมาณร้อยลี้ มีป่าสนอยู่แห่งหนึ่ง ซึ่งสมุนไพรโดยส่วนใหญ่ในเมืองเฟิ่งหลี่ ล้วนถูกขุดหาได้จากในป่าสนแห่งนี้
คล้อยหลังซื้อม้าขี่เสร็จสรรพ เซียถงก็ควบม้าวิ่งออกไปอย่างบ้าคลั่งรวดเร็ว ผ่านไปครึ่งชั่วยามกว่าในที่สุดก็เดินทางมาถึงป่าสนแห่งนี้จนได้ ตลอดช่วงเช้าที่นางเริ่มลงมือขุด กลับไม่พบสมุนไพรที่ใช้ล้างไขกระดูกตัดเส้นเอ็นเลยสักต้น เงยหน้ามองฟ้าขึ้นในยามนี้ดวงตะวันก็ตั้งตระหง่านอยู่เหนือศีรษะแล้ว นี่ก็เป็นเวลาเที่ยงวันแล้ว เซียถงตัดสินใจเติมกำลังให้อิ่มท้องเสียก่อน แล้วค่อยว่ากันต่อ
นางไล่จับไก่ป่าตัวหนึ่งได้โดยง่าย ทำการดึงขนลอกออกให้หมดอย่างคล่องแคล่ว หลังจากล้างมันให้สะอาดแล้ว ก็เริ่มก่อไฟและย่างมันในทันที
กลิ่นหอมกรุ่นจากเนื้อไกที่ถูกย่างพัดหอมโชยออกมาจากกองไฟ ขณะที่เซียถงกำลังจะหยิบไก่ย่างสีน้ำตาลเข้มขึ้นมาแทะกิน แต่จู่ๆ พลันปรากฎคมแสงสีเงินสว่างวาบพุ่งเข้ามาปักอยู่เบื้องหน้านาง ปฏิกิริยาตอบสนองของนักฆ่าเก่าทำงานในทันควัน เซียถงกลิ้งหลบตีระยะออกห่างจากจุดเกิดเหตุไปหลายตลบ ก่อนทรงตัวขึ้น หรี่สายตากวาดไปโดยรอบอย่างระแวดระวัง
คมแสงสีเงินประกายวูบวาบที่พุ่งลงมาปักพื้นคือกระบี่ยาวเล่มหนึ่ง เม็ดฝุ่นละอองดินพัดกระจาย ก่อเกิดเป็นมวลลมพายุหมุนบางๆ ออกมา สีหน้าการแสดงออกของเซียถงพลันเย็นยะเยือกลงขุมหนึ่ง เริ่มวิเคราะห์สถานการณ์ความเป็นไปได้ในทันที
พอเงยหน้าขึ้นมอง ก็พบเห็นเงาร่างสีดำสายหนึ่งพวยพุ่งเหาะเหินอากาศมาจากระยะไกล เป็นชายหนุ่มผมสาวสลวยปลิวไสวอยู่กลางเวหา เผยคู่คิ้วคมเข้ม ทรงจมูกเรียวยาว ริมฝีปากเม้มหนักแน่นสีงดงาม ใบหน้าทั้งเย็นชาแฝงความผยองเดช เสมือนกับเทพมารปีศาจที่หลับใหลนับหมื่นปีที่จู่ๆ ก็ตื่นขึ้นจากนิทรา
ไม่ว่าจะเป็นชีวิตก่อนหน้าหรือชาตินี้ เขาผู้นี้คือบุรุษชายที่สวยที่สุดและดูร้ายลึกที่สุดตั้งแต่นางเคยเห็นมา
เขาเป็นใครกัน? เซียถงเลิกคิ้วขึ้นเจือแววสงสัย พยายามค้นหาความทรงจำในสมองอยู่นาน คล้อยหลังจึงจะมั่นใจว่า เจ้าของร่างเก่าไม่เคยรู้จักบุคคลผู้นี้มาก่อน
ด้านหลังชายชุดดำ ปรากฏกลุ่มมือสังหารในชุดคลุมดำจำนวนหนึ่งไล่ล่าตามมาติดๆ ทั้งหมดล้วนมีระดับพลังอยู่ในขอบเขตเสาหลักเขียว มือสังหารชุดคลุมดำผู้หนึ่งที่เร่งฝีเท้าตีทะยานร่อนลงพื้นมาหยุดตรงหน้าเซียถง เพื่อหยิบกระบี่เล่มนั้นที่ปักพื้นขึ้นมา ก่อนจะหมุนตัวพุ่งออกไปโจมตีใส่ชายชุดดำต่อ
เซียถงขมวดคิ้วเล็กน้อย ที่แท้กะระบี่ปริศนาเล่มดังกล่าวก็เป็นของคนพวกนี้นี่เอง! ส่วนที่ว่าพวกเขากำลังไล่ฆ่าใครอยู่กลับมิใช่ธุระของนาง แต่หากใครก็ตามที่กล้าล่วงเกินนาง มันผู้นั้นต้องชดใช้ด้วยชีวิต!
แทนที่เซียถงจะรีบวิ่งหนีออกไปจากบริเวณนี้โดยเร็วที่สุด นางกลับหยิบไก่ย่างขึ้นมาพร้อมใช้ฟันฉีกกระชากเคี้ยวหนุบหนับ นั่งกินอย่างสบายอารมณ์ต่อ พลางรับชมศึกสัประยุทธ์ฉากใหญ่ตรงหน้าอย่างตั้งใจ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นการต่อสู้ของยอดฝีมือในโลกแห่งนี้ ดังนั้นนางจำต้องเฝ้าศึกษาให้ดี
ทางฝ่ายชายชุดดำและมือสังหารชุดคลุมดำเหล่านั้นถึงกับหยุดมือ จับจ้องไปทางเซียถง ดูสีหน้าแต่ละคนจะตกตะลึงไม่น้อย หญิงสาวในป่าสนนางนี้เพิ่งบังเอิญพบเจอเข้ากับฉากล่าสังหารอยู่ต่อหน้ามิใช่รึ? ประการแรก ไฉนนางถึงไม่กรีดร้องตกใจ? และประการที่สอง กลับไม่คิดที่จะวิ่งหนี? แต่กลับนั่งแทะไก่ย่างเฝ้าดูศึกสัประยุทธ์อยู่ด้านข้างแทน?
หรือศีรษะของนางจะถูกของแข็งเข้ากระทบกระเทือน?