ตอนที่ 390 ทำนองที่สี่ของขลุ่ยวิเศษ
อาหมิงเป็นเด็กหนุ่มวัยสิบแปดปีเขามีร่างกายผอมและผิวคล้ำเคลื่อนไหวคล่องแคล่ว มีแผลเป็นอยู่บนใบหน้าทำให้มองดูน่ากลัวทั้งที่ยังอายุน้อยมาก
เขาพยักหน้าขณะที่ยังคงปิดปากเงียบเขาล้วงนกหวีดกระดูกที่แขวนคอและเป่า
เสียงหวีดแหลมดังก้องไปทั้งค่ายทหาร ระลอกเสียงไร้สภาพกระจายออกไปด้วยระดับความเร็วที่น่าทึ่ง เสียงนั้นกระจายไปทุกตำแหน่ง
ปังปัง ปัง!
กับดักทั้งหลายทำงานทันทีแสงฉายเจิดจ้าขึ้นในท้องฟ้า
ขลุ่ยวิเศษเงยหน้าขึ้นอย่างประหลาดใจ “นกหวีดกระดูกเย็น”
เฒ่าบอดซอกำศรวลสีหน้าเครียด นกหวีดกระดูกเย็นเสียงแหลมดังและมีพลังทำลายล้าง ขณะที่ฝึกอยู่กับขลุ่ยวิเศษ เขาสามารถเข้าใจคลื่นเสียงนกหวีดได้
ร่างของเขาสั่นภายใต้แรงคลื่นกระแทกจากนกหวีด รถเข็นของเขาแตกหักกระจายเป็นชิ้นๆ แต่เขาไม่เป็นอันตรายเหมือนกับว่าเขายังคงยืนอยู่ เขาค่อยๆ ดึงคันซอจากเอ้อหูสร้างคลื่นเสียงแหลมเป็นระลอกลงไปตามอาวุธของเขา
ระลอกเสียงทั้งสองปะทะกันในกลางอากาศก่อให้เกิดความปั่นป่วน
ตาของอาหมิงแดงฉานดังสายเลือด เขาอัดพลังเป่าใส่นกหวีดกระดูกสามครั้งสั้นๆ
ขณะเดียวกันเฒ่าบอดซอกำศรวลก็สีสายซออีกครั้งหนึ่ง ปลดปล่อยเสียงแหลมแหวกอากาศ
ปังนกหวีดกระดูกระเบิดในปากของอาหมิง หน้าของเขาเต็มไปด้วยเลือดขณะที่เขาหงายหลังร่วงไปบนพื้น
แคร้งแคร้ง แคร้ง เอ้อหูของเฒ่าบอดซอกำศรวลขาดหมดทุกเส้น ขณะที่เขาหงายหลังแต่คนใช้ใบ้ใช้มือประคองรับเขาไว้อย่างรวดเร็วทำให้เขาไม่ร่วงกับพื้น
“อาหมิง!”
บุรุษวัยกลางคนร้องลั่นขณะที่เขาวิ่งไปดูอาหมิง
“กุ่ยเส้าหมิง! เป็นกุ่ยเส้าหมิง! พวกเขามาจากก๊กโจรสายลม!”
“ก๊กโจรสายลม!”
ความปั่นป่วนและความหวาดกลัวค่อยๆเพิ่มขึ้น
กลุ่มสายลมคือกลุ่มโจรที่มีชื่อเสียงอื้อฉาวที่สุด พวกเขามีพลังที่น่ากลัวและเดินทางไปทั่วสวรรค์วิถี ยกเว้นแต่สิบสองตำหนักระนาบสุริยคลาสพวกเขาโจมตีกลุ่มดาวอื่นทุกแห่ง รวมทั้งกลุ่มดาวอสรพิษซึ่งอยู่ในสิบตำหนักระนาบกลาง
พวกมันเป็นพวกที่น่ารังเกียจและโหดร้ายในกลุ่มมีโจรหกคนซึ่งมีพลังที่น่ากลัวและหนึ่งในนั้นก็คือกุ่ยเส้าหมิงอยู่อันดับที่หกในกลุ่ม
บุรุษวัยกลางคนปรากฏอยู่ข้างตัวอาหมิงทันทีเขาเหยียดมือจับชีพจรของอาหมิง เขายังมีชีวิต เพียงแต่หมดสติไปเท่านั้น
เขามีสีหน้าเคร่งเครียดขณะประกาศคำพูดลั่น “อย่าให้ใครรอดชีวิตไปได้!”
ผู้เฒ่าบอดซอกำศรวลเป็นนักสู้ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดและมีความแข็งแกร่งที่สุดในพื้นที่นั้น อาหมิงได้รับบาดเจ็บสาหัสขณะที่ผู้เฒ่าบอดซอกำศรวลนั้น เอ้อหูของเขาได้รับความเสียหายและมีแนวโน้มว่าจะได้รับบาดเจ็บ ไม่มีใครสามารถหยุดพวกเขาได้ในตอนนี้
ขณะนั้นเองเสียงขลุ่ยลอยอ้อยอิ่งเข้าหูบุรุษวัยกลางคน
ร่างของบุรุษวัยกลางคนชะงักค้างและเงยหน้ามอง
บนส่วนหลังคาที่สูงที่สุดเป็นคนชั้นสูงคนหนึ่งที่สวมชุดแพรต่วนสีขาวรังสีขลุ่ยสีทองเปล่งออกมาจากเลาขลุ่ยบรอนซ์ละลานตาในยามราตรี
เสียงขลุ่ยลอยอ้อยอิ่งนุ่มนวลผ่านฟากฟ้าราตรี
“คุณชายขลุ่ยวิเศษ!”
บุรุษวัยกลางคนจำได้ว่าเคยได้ยินชื่อนี้มาและรู้สึกประหลาดใจ เขาหัวเราะเสียงเยือกเย็น“ก็แค่ขุนพลวิญญาณตนเดียวไม่สามารถหยุดข้าและกลุ่มสายลมของข้าได้แน่”
เมื่อพูดจบเขาสั่งให้คนสองคนตรงเข้าหาขลุ่ยวิเศษ
หนึ่งในนั้นมีรูปร่างเหมือนนกเขาคืออันดับห้าในกลุ่มจั่นเผิง ส่วนอีกคนล่องลอยเหมือนเงาหมอกดำ เขาคืออันดับสี่นามว่าอู้ฟง
ขลุ่ยวิเศษเห็นการโจมตีที่กำลังจะมาถึง เขาจ้องมองมาที่พวกนั้นขณะเตรียมป้องกันตัว
“ทำนองแรกก็คือพันสังหารลอยล่องทำนองที่สองก็คือพันดาบหมุนวน ทำนองที่สามก็คือคลื่นขลุ่ยเชื่องช้า สุภาพบุรุษทั้งหลาย โปรดฟังทำนองที่สี่ของข้า สลายกาลเวลา”
เสียงอบอุ่นนุ่มนวลดังผ่านไปทั่วสนามรบเหมือนสายลมที่นุ่มนวลอบอุ่น
บุรุษวัยกลางคนหรี่ตาและโพล่งออกมา “หนึ่งทำนอง เจ็ดมรณะ!”
ขลุ่ยวิเศษยิ้ม เขาจ่อขลุ่ยกับปากและเป่าบรรเลงเพลงแสงสีเขียวพุ่งขึ้นไปในท้องฟ้า แสงทำให้เกิดต้นกล้าขนาดเล็กด้านหน้าของเขา ต้นกล้านั้นค่อยๆ โตขึ้นๆจนกระทั่งกลายเป็นต้นท้อ ภายในไม่กี่วินาที ต้นท้อก็ออกดอกบานสะพรั่ง
ในท่ามกลางเสียงขลุ่ยอ้อยอิ่งหมอกเริ่มปกคลุมสนามรบ ตัวหมอกมองดูเหมือนกับสาวน้อยซึ่งเริ่มร่ายรำเหมือนมีชีวิต
ต้นท้อเริ่มถูกเพลิงนรกที่สวยงามเผาผลาญ
สายลมพัดดอกท้อร่วงลงกับพื้น
เมื่อกลีบดอกสีชมพูร่วงถึงพื้นทุกคนที่อยู่ในบริเวณจึงได้ตระหนักถึงอันตรายที่กำลังจะมา พวกเขาหนีหาที่กำบัง ก่อนที่กลีบดอกไม้จะลอยเข้ามาใกล้พวกเขามันหายไปในอากาศเบาบาง
ทุกคนคนตะลึงกับที่เพราะการโจมตีที่กำลังจะมาถึงจู่ๆก็หายไปกระทันหัน
ร่างกายด้านซ้ายของจั่นเผิงไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่ซีกขวากลับเหี่ยวแห้งเหมือนกับว่าไม่มีโอกาสที่จะฟื้นคืนจากอาการบาดเจ็บได้
แขนซ้ายของอู้ฟงขาดหายขณะที่เลือดไหลออกมาจากบาดแผลร่างกายครึ่งหนึ่งของเขาแดงฉาน หน้าซีดขณะถลึงตามองขลุ่ยวิเศษ
ขลุ่ยวิเศษประหลาดใจและพยักหน้า “ข้าให้โอกาสเจ้าได้หนีจากทำนองเพลงที่สี่ยากนักที่จะมีคนต้านรับการโจมตีนี้ได้”
เหมือนกับนักนักตรีได้แสดงบทบาทของตนเองจบ ขลุ่ยวิเศษโค้งคำนับแสดงความนับถือ
น่าเสียดายที่เขาไม่ได้ฟื้นฟูเต็มที่ เขาเพียงแต่ใช้ท่วงทำนองที่สี่...
ขลุ่ยวิเศษสามารถรู้สึกได้ว่าพลังงานของเขากระจายหายไปเกือบสิ้นเชิง ขณะที่เขาเงยหน้าขึ้น เขายิ้มอบอุ่น“ข้าแสดงผลงานจบสิ้นแล้ว ทุกคน เชิญตามสบาย”
ผู้คนตกอยู่ในความเงียบสงบพวกเขาถูกสะกดด้วยอำนาจของท่วงทำนองที่สี่ สลายกาลเวลา
ในท่ามกลางราตรีขลุ่ยวิเศษจางหายไปในความมืดทันที
ในมุมมืดอีกมุมหนึ่งของเมืองสามวิญญาณสายตาหลายคู่เพ่งมองการต่อสู้ที่สำคัญอีกด้านหนึ่ง
“ข้าทึ่งกับพลังโจมตีของคุณชายขลุ่ยวิเศษจริงๆนับว่าคุ้มค่านัก” บุรุษชุดยาวรำพึง “ข้าเคยได้ยินเสียงเล่าลือยกย่องพลังของบทเพลงหนึ่งทำนองเจ็ดมรณะ สามารถเห็นกับตาตนเองในวันนี้นับว่าเป็นเกียรติยิ่งนัก”
“ไม่ต้องห่วง เมื่อเราจับขลุ่ยวิเศษได้ เราจะเรียนรู้ความลับเบื้องหลังบทเพลงหนึ่งทำนองเจ็ดมรณะได้แน่” บุรุษหนุ่มอีกคนหนึ่งกล่าวอย่างใจเย็น
ถ้าถังเทียนอยู่ที่นี่ เขาคงจำได้ว่าบุรุษหนุ่มนั้นก็คือคุณชายร่ำรวยที่ถูกเขาปล้นทรัพย์ เขาผิดหวังนัก เขาคาดว่ากลุ่มโจรสายลมจะทำภารกิจสำเร็จได้ง่าย แต่กลับยากกว่าที่คาด
เขาตะโกน “กลุ่มโจรสายลมก็แค่พวกคนไร้ประโยชน์!”
บุรุษชุดยาวยิ้ม “ทำไมหรือ? รอไม่ได้หรือไง? แต่เมื่อคิดดูแล้ว เจ้าทนมาถึงวันนี้แล้วค่อยดำเนินการตามแผนที่เจ้าร่างเอาไว้แค่นั้นข้าก็นับถือเจ้าแล้ว”
คุณชายผู้ร่ำรวยนั้นไม่พอใจกับพี่ชายผู้สวมชุดยาวของเขา พี่ชายของเขาแข็งแกร่งมากกว่าในเรื่องพลังและมีสัมพันธ์ที่ดีกับบิดาของเขามากกว่า
เมื่อพูดถึงแผนทำให้เขารู้สึกปลื้ม “นี่นับว่าดี ยิ่งคนในสำนักบาดเจ็บมากขึ้น ก็จะยิ่งง่ายสำหรับเรา เราตกลงกันตามนี้แล้วนี่ทุกอย่างที่นี่จะตกเป็นของข้า”
“ฮ่าฮ่า!” พี่ชายเขายิ้ม “สบายใจได้ นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าทำงานอย่างจริงจัง ข้าไม่แทรกแซงแน่”
น้องชายของเขารู้สึกมีความสุขอยู่ภายใน เขากลัวว่าพี่ชายของเขารู้คุณค่าที่แท้จริงของสิ่งก่อสร้างนี้ซึ่งอาจจะทำให้เขาต้องการพื้นที่นี้เป็นของตนเองด้วยเช่นกันตั้งแต่เขาถูกถังเทียนปล้น เขาคอยจับตามองเมืองสามวิญญาณ ยิ่งศึกษามากเท่าใดเขาก็ยิ่งตระหนักถึงคุณค่าที่แท้จริงของป้อมบรอนซ์มากขึ้น ถ้าเขาสามารถยึดมันมาได้พลังของเขาจะก้าวหน้าเร็วยิ่งขึ้น
แต่เนื่องด้วยสถานะของเขาจำเป็นต้องดำเนินแผนการนี้อย่างระมัดระวัง ถ้าสาธารณชนรู้ว่าเขาทำอะไรลงไป อาจจะก่อให้เกิดความขัดแย้งจากกลุ่มภายนอกจะสร้างความยุ่งยากกับเขาโดยไม่จำเป็น
เขาจึงคิดแผนซึ่งเกี่ยวพันกับการบอกกลุ่มโจรสายลมเกี่ยวกับความเจริญรุ่งเรืองและอาวุธจักรกลวิญญาณของเมืองสามวิญญาณ เขารู้ว่าหัวหน้ากลุ่มโจรนี้เป็นคนทะเยอทะยานและใฝ่ฝันจะสร้างกองทัพเหมือนกับที่เมืองหย่งอันมีซึ่งเขาอยากจะชิงเอามา อย่างไรก็ตาม เจ้าเมืองดูเหมือนจะเป็นผู้อาวุโสจากองค์การวิญญาณมืดซึ่งทำให้เป็นการยากลำบากที่พวกเขาจะบุกโจมตีเมือง
เขากำลังวางแผนใช้ข้ออ้างว่าเขากำลังไล่ตามและตั้งใจโจมตีกลุ่มโจรสายลมที่ซ่อนตัวอยู่ในเมืองสามวิญญาณ เนื่องจากเขาเกรงว่าพลังของเขาจะไม่แข็งแกร่งเพียงพอจะทำงานนี้ให้สำเร็จ เขาจึงขอความช่วยเหลือจากพี่ชายของเขา
เมื่อข่าวกรองเมืองสามวิญญาณมาถึงหัวหน้าโจรสายลมเขาลุ่มหลงพลังอำนาจของเซรีน เขาตั้งใจจะจับนางมาสร้างกองทัพให้เขา
เขาไม่รู้ว่าการต่อต้านจากเมืองสามวิญญาณจะทำได้ดีขนาดนี้
“น้องข้า,ถ้าเจ้าสามารถควบคุมพื้นที่นี้ได้ จะเกิดประโยชน์กับเจ้าอย่างมากมาย” บุรุษหนุ่มชุดยาวกล่าว
คุณชายผู้นั้นมองดูพี่ชายเขาและตอบ “ข้าจะควบคุมที่นี่ให้ดีเช่นกัน
บุรุษหนุ่มชุดยาวยิ้ม “จู่ๆ ข้าก็มีลางสังหรณ์”
“ลางสังหรณ์อะไร?” น้องชายเขาถาม
“ข้าคาดว่าการบุกโจมตีของกลุ่มโจรสายลมอาจจบลงด้วยความล้มเหลว” บุรุษชุดยาวหัวเราะ
เด็กหนุ่มเจ้าสำราญหัวเราะเช่นกัน “บางครั้งเจ้าอาจจะผิดก็ได้ ไม่มีนักสู้ที่แข็งแกร่งอยู่ในป้อมนี้พอจะป้องกันตัวจากกลุ่มโจรสายลมได้ สิ่งที่เจ้าเพิ่งพูดไปนั้น น่าขัน”
“ไม่ต้องกังวล เราจะคอยดูกันต่อไป” บุรุษหนุ่มชุดยาวกล่าวอย่างใจเย็น
ถังโฉ่วยืนอยู่ในท่ามกลางขบวนอาวุธจักรกลวิญญาณ อาวุธจักรกลวิญญาณของเขาดูธรรมดาและขาดความซับซ้อนไม่มีใครคาดเลยว่าอาวุธจักรกลวิญญาณที่ธรรมดาและน่าเกลียดจะถูกใช้โดยขุนพลวิญญาณผู้นำทหารสวมนำขบวน
ขลุ่ยวิเศษช่วยพวกเขาซื้อเวลาที่มีค่าไว้ นี่คือโอกาสที่พวกเขาจะได้ทดสอบกองกำลังของพวกเขาที่คาดไม่ถึงและเตรียมโจมตีอย่างอย่างน่าทึ่ง
อาวุธจักรกลวิญญาณเรียงรายเข้าแถวเรียบร้อย
แสงสีบรอนซ์ก็คือทหารผู้กล้าและเคร่งขรึมยืนอย่างสงบเตรียมรอรับคำสั่ง
ถังโฉ่วสงบมากยิ่งขึ้นความหลงใหลลุกโชนอยู่ในตัวเขาแทบจะฝังลงในเลือดเนื้อของเขา ประกายตาของเขาฉายประกายข่มขวัญผู้คน
แม้ว่าเขาจะเป็นแค่ขุนพลวิญญาณนายทหารวางแผนประจำฐานแต่ไม่มีใครกระตือรือร้นต้องการต่อสู้เท่ากับเขา
เวทีเตรียมรูดม่านตอนนี้ถึงเวลาปรากฏตัวของวีรบุรุษผู้กล้า!
แม้แต่สายตาของพวกเขา พวกเขาสามารถเห็นเงาร่างที่ไต่ขึ้นมาตามกำแพง ขณะที่พวกเขาจู่โจมเข้าหาพวกเขาเหมือนคลื่น
ถังโฉ่วออกคำสั่งของเขา “โจมตี!”
ม่อจื่อหวีและม่ออู๋เหว่ยส่งเสียงโห่ร้องเหมือนที่พวกเขาทำระหว่างฝึกฝน
“หน่วยที่หนึ่งเตรียมพร้อม!”
“หน่วยที่สองเตรียมพร้อม!”
แกร๊กแกร๊ก แกร๊ก เสียงบิดหมุนของข้อต่อบรอนซ์ดังพร้อมกัน ในไม่ช้าความวุ่นวายก็เงียบสงบลง
อาวุธจักรกลวิญญาณทุกเครื่องประจำที่และเตรียมโจมตีเหมือนสัตว์ป่า