ตอนที่ 381 ถูจื่อซานประมุขตำหนักเจ็ด วิญญาณมืด
กรงเล็บเพลิงภูตพรายทะลวงเข้าอกนาง
แม้ขณะใกล้ตายจีเสี่ยวหย่าก็ยังไม่เข้าใจเลยว่าเจ้าคนบ้าเลือดท่วมหน้าและเสื้อผ้ายังสามารถยิ้มอย่างคลั่งไคล้ได้ยังไง
นางค่อยๆตัวอ่อนทรุดร่างลงขณะที่ประกายชีวิตจางหายไปจากดวงตา
ถังเทียนรวบรวมพลังทั้งหมดออกวิ่งไปหาหลิงซิ่วและอาเฮ่อ เมื่อเขาปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขาในสภาพเลือดโชกหลิงซิ่วและอาเฮ่อถึงกับตะลึง
ทั้งสามคนจ้องหน้ากัน
“ตอนนี้ข้าเป็นนักสู้ระดับทองแล้ว!” ถังเทียนตะโกนอย่างตื่นเต้นขณะที่เลือดไหลย้อยลงมาตามแก้มของเขา
“ข้าก็บอกเจ้าไว้แล้วข้าจะฆ่ามันในท่าเดียว”หลิงซิ่วตอบขณะที่เขางอตัวด้วยความเจ็บปวดจากบาดแผลที่ได้รับระหว่างต่อสู้
ตุ้บ ตุ้บ...
ทั้งสองคนค่อยๆหมดสติและล้มลงกับพื้นเพราะความอ่อนล้า
อาเฮ่อ “....”
ทันใดนั้นอาเฮ่อตื่นตัว “นั่นใคร?”
บุรุษสองคนปรากฏตัวจากด้านหางตาของอาเฮ่อ
“เราไม่ได้มาร้าย”
บุรุษศีรษะล้านชูมือทั้งสองข้างสูง “เรามาจากองค์การวิญญาณมืด ข้ารู้ว่าเราเคยเข้าใจผิดกันแต่ตอนนี้เราไม่ได้อาฆาตแค้นอะไรพวกเจ้าเลย”
บุรุษร่างผอมตกใจเล็กน้อยขณะที่มองดูหลิงซิ่วกับถังเทียนที่หมดสติ
อาเฮ่อไม่ได้ผ่อนคลายความระมัดระวังแต่สีหน้าเขายังคงสงบ “ถูกแล้ว เราไม่ได้มีความอาฆาตแค้นใดๆ ระหว่างกัน”
บุรุษศีรษะล้านยิ้มเล็กน้อย “ข้าขอเข้าเรื่องเลยก็แล้วกันข้าอยากเชิญพวกท่านทั้งสามเข้าร่วมกับองค์การวิญญาณมืด ข้าชื่อถูจื่อซาน เจ้าตำหนักนิลที่เจ็ดแห่งองค์การวิญญาณมืด”
“ตำหนักนิล!” อาเฮ่อประหลาดใจเมื่อได้รู้ ตำหนักนิลก็คล้ายกับสาขาทองของสมาพันธ์ชาวยุทธที่แตกต่างกันก็คือสาขาทองมีสิบสามสาขา ขณะที่ตำหนักนิลมีเก้าแห่ง
โครงสร้างของสมาพันธ์ชาวยุทธและองค์การวิญญาณมืดจะคล้ายกัน
กลุ่มโครงสร้างที่ใหญ่ที่สุดแข็งแกร่งที่สุดก็คือคณะผู้อาวุโสซึ่งมีอำนาจมากเหนือองค์การ สมาพันธ์ชาวยุทธมีคณะผู้อาวุโสสิบสาม ขณะที่องค์การวิญญาณมืดมีเจ้าตำหนักนิลทั้งเจ็ดเป็นคณะบริหาร
สาขาทองเป็นส่วนหนึ่งของคณะบริหาร ขณะที่ตำหนักนิลก็เป็นส่วนหนึ่งของคณะบริหาร ทั้งสาขาทองและตำหนักนิลจะได้รับอำนาจเด็ดขาดและโต้ตอบกับคณะบริหารได้ทุกการตัดสินใจขึ้นอยู่กับหัวหน้าสาขากับเจ้าตำหนัก
แม้ว่าสาขาทองและตำหนักนิลจะมีอำนาจมากมาย แต่พวกเขาไม่สามารถไปดำเนินการสั่งการโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือคำสั่งจากหัวหน้าสาขาหรือเจ้าตำหนักผู้มอบหมายงาน ผลประโยชน์และรางวัลถูกแบ่งเท่าๆ กันในกลุ่ม
ในฐานะที่อาเฮ่อเกิดอยู่ในตระกูลที่มีชื่อเสียงเขามีความรู้เรื่องนี้มากกว่าถังเทียนและหลิงซิ่วทั้งคู่ เขาคาดไม่ถึงเลยว่าบุรุษศีรษะล้านล่ำสันจะเป็นหนึ่งในเจ้าตำหนักจากองค์การวิญญาณมืด
ถูจื่อซานยิ้มเล็กน้อยและกล่าว“เป็นยังไงบ้าง? บรรยากาศในตำหนักนิลที่เจ็ดเป็นไปในทางบวกและไม่มีการเมืองแทรก ตำหนักของเรามีทักษะเฉพาะพิเศษมากกว่าร้อยและมีที่เหมาะสมให้พวกเจ้าได้ฝึกฝน แม้ว่าจะไม่มีทักษะที่เหมาะกับพวกเจ้า พวกเจ้าก็สามารถย้ายไปฝึกตำหนักนิลอื่นแทนก็ได้ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้เลย”
“ข้าต้องขอโทษจริงๆข้าไม่สามารถตัดสินใจได้” อาเฮ่อพูดอย่างสุภาพ
ถูจื่อซานชะงักไปชั่วขณะ เขาตบศีรษะล้านเลี่ยนของตนเองและตอบ “โอวใช่แล้ว ข้าเข้าใจแล้วว่าเจ้ามาจากไหน”
บุรุษผอมมีสีหน้าว่างเปล่า แต่ก็ประหลาดใจจากปฏิกิริยาของเขา ยากนักที่เจ้าตำหนักจะยอมยกย่องผู้ใดผู้หนึ่ง สามคนนี้มีดีแน่นอน แต่เพราะเจ้าตำหนักถึงกับทึ่งและให้เกียรติพวกเขาเป็นภาพที่เห็นได้ยากจริงๆ
อาเฮ่อหันเหความสนใจไปที่ทางประตูซึ่งมีร่างบุรุษปรากฏในสายตาของเขา
คนนำเป็นเด็กหนุ่มผมทองสลวยเป็นประกายพวกบุรุษดูเหมือนจะผ่านการต่อสู้มาอย่างหนัก มีรอยแผลตามตัวและใบหน้าแอนเดรียนารวมอยู่ในคนกลุ่มนี้ด้วย
บุรุษผมแดงเฉียนซินโพล่งออกมา“เราเดินทางมาเสียเวลาเปล่า เจ้าตำหนักถูก็อยู่ที่นี่ด้ว้ย”
บุรุษร่างผอมมีสีหน้าเย็นชา สัญชาตญาณฆ่าในตัวของเขาเพิ่มขึ้น เฉียนซินเป็นสมาชิกของตำหนักนิลที่ห้าเป็นแค่สมาชิกคนหนึ่ง กล้าวางตัวพูดน้ำเสียงแบบนั้นกับเจ้าตำหนักได้ยังไง
เฉียนซินผงะและรีบโบกมือ“เฮ้ เฮ้ เฮ้ เจ้าตำหนักที่ห้าและที่เจ็ดเป็นพันธมิตรที่ยิ่งใหญ่ต่อกัน จริงไหม?”
ถูจื่อซานส่งสัญญาณให้บุรุษผอมใจเย็น นิสัยของเฉียนซินก็เป็นแบบนั้นไม่สมควรจะทะเลาะกันในเรื่องเล็กน้อย เขาหันไปทางแอนเดรียนาและทักทายนาง “ถูจื่อซานขอคารวะท่านเจ้ากลุ่มดาว”
แอนเดรียนารู้สึกทึ่งกับการปรากฏตัวของถูจื่อซานเจ้าตำหนักแห่งองค์การวิญญาณมืดจะคุ้นเคยกับระดับแม่ทัพในกลุ่มดาวราชสีห์แอนเดรียนารู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้พบกับเจ้าตำหนัก “ข้ารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้พบกับท่านเจ้าตำหนัก”
ถูจื่อซานยิ้ม “ฝ่าบาทเลือกใช้กลยุทธที่ดี สมาพันธ์ชาวยุทธต้องพบกับความสูญเสียใหญ่ในครั้งนี้ การสูญเสียนักสู้ระดับทองถึงห้าคนจะสร้างความเจ็บปวดให้พวกเขา”
แอนเดรียนาตอบ “ไม่ได้ความช่วยเหลือจากท่านเจ้าตำหนัก ข้าไม่คิดว่าจะมีผลที่น่ายินดีออกมาอย่างนั้น”
เมื่อเขาเข้ามาข้างในเขาเห็นลู่ไห่นอนหมดความรู้สึกอยู่บนพื้น
ถูจื่อซานหัวเราะลั่น “ฝ่าบาทเดาผิดเสียแล้ว ข้าไม่ได้เป็นคนทำเรื่องนี้”
ทุกคนตกตะลึง
ถูจื่อซานดีใจและประหลาดใจที่เห็นพวกเขาทำหน้าประหลาดใจ เขามองดูลู่ไห่และชี้มาที่เขา“เมื่อข้ามาถึงที่นี่ เขาก็ตายแล้ว จีเสี่ยวหย่าถูกถังเทียนฆ่าแน่นอน แต่เขาวิ่งออกมาจากสนามต่อสู้หลังจากฆ่านางได้แล้วโดยไม่ได้เอารางวัลจากศัตรูไปด้วย ดังนั้นข้าเลยช่วยเขาเก็บรางวัลมาให้อาเฮ่อน้องของเขา”
เขาโยนตู้อควาเรียสเงินให้อาเฮ่อ
ตู้อควาเรียสเงินถูกผนึกไว้ ถูจื่อซานไม่ได้เปิดดูสิ่งของที่บรรจุอยู่ข้างใน
อาเฮ่อรู้สึกเกรงขามและนับถือเจ้าตำหนักเพิ่มขึ้น เขาแสดงความขอบคุณ “ในนามตัวแทนของถังเทียนข้าอยากจะขอบคุณท่านเจ้าตำหนักถู”
“ไม่มีอะไรมาก”ถูจื่อซานตอบอย่างไม่แยแส
พวกคนที่เหลือไม่เข้าใจสถานการณ์ นอกจากนี้พวกเขายังกริ่งเกรงอาเฮ่อ,ถังเทียนและหลิงซิ่วเพราะความสำเร็จเช่นนั้น เฉียนซินที่ปกติไม่ค่อยไยดีก็ยังตะลึงหลังจากได้ฟังคำอธิบายสิ่งที่ถูจื่อซานได้พบเห็นมา
แต่เป็นไปได้อย่างไรที่นักสู้ระดับทองจะพ่ายแพ้ได้ง่ายดายขนาดนั้น?
นักสู้ระดับทองไม่อ่อนแอขนาดนั้น
เมื่อพูดถึงด้านสติปัญญาของพวกเขาต่อให้คนในกลุ่มของถังเทียนร่วมกัน ก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่จะฆ่านักสู้ระดับทอง เย่เฉาเกออาจจะมีชื่อเสียงแต่เขาก็ยังเยาว์วัยและมีศักยภาพลึกซึ้ง แต่ความแข็งแกร่งของเขายังไม่อาจเทียบได้กับนักสู้ระดับทอง
แม้ว่าเย่เฉาเกอจะมีชื่อเสียงและโด่งดัง แต่ในสายตาของเฉียนซินเขาก็เป็นแค่มือใหม่คนหนึ่ง
ไม่ว่าจะเป็นสาขาทองหรือตำหนักนิลจะมีการรักษาวินัยและความลับไว้อย่างเข้มงวด ถ้าสมาชิกคนใดเข้ามาเป็นคนในสำนักแล้วพวกเขาจะต้องลงนามสัญญาจิตวิญญาณ ลดทอนความสัมพันธ์จากทางครอบครัว
การเข้ารับการฝึกฝนจะเข้มงวดมากกว่าการฝึกฝนทั่วไปมาก
อังเดรเฉียนซินและนักฆ่าค้างคาวต้องร่วมมือกันจึงจะฆ่านักสู้ระดับทองสองคนได้ เพราะถังเทียนและสหายอีกสองคนก็สามารถฆ่านักสู้ระดับทองได้ถึงสองคนก็หมายความว่าทั้งสองกลุ่มมีพลังและความสามารถแทบจะทัดเทียมกัน
นี่เป็นไปไม่ได้!
ไม่ว่าถังเทียนและคนของเขาจะฝึกฝนได้ก้าวหน้ามากแค่ไหน แต่ก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะฆ่านักสู้ระดับทองได้ถึงสองคนและที่เหลือเชื่อยิ่งกว่าก็คือถังเทียนยังสามารถฆ่านักสู้ระดับทองด้วยตัวเองได้น่าขันจริงๆ
แต่เมื่อคนบรรยายเหตุการณ์คือถูจื่อซานเองจึงไม่มีผู้ใดกล้าสงสัยในเรื่องที่เขาพูด
เจ้าตำหนักไม่เคยพูดโกหกสักคำและจะไม่มีทางพูดโกหกด้วย
“นี่...นี่น่าตกใจเหมือนกัน” อังเดรพยายามทำความเข้าใจเรื่องทั้งหมด
แอนเดรียนาแอบดีใจ พลังของอังเดรนั้นแข็งแกร่งมากจนทำให้แอนเดรียนารู้สึกอึดอัด ถ้าอังเดรต้องการอะไรบางอย่างจากชัยชนะของเขา นางรู้ว่านางคงไม่มีทางปฏิเสธเขาได้
แต่เนื่องจากถังเทียนและสหายของเขาก็สามารถฆ่านักสู้ระดับทองได้ถึงสองคน อย่างนั้นพลังของพวกเขาก็น่าจะเทียบได้กับอังเดร
ถ้ามีผู้ซื้อเพียงรายเดียวอย่างนั้นพวกเขาก็สามารถกินทุกสิ่งทุกอย่างได้ แต่ตอนนี้มีผู้ซื้อสองราย สถานการณ์ของนางตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว และนางกำลังคิด แม้ว่าเฉียนซินและเจ้าตำหนักถูจะอยู่ในองค์การวิญญาณมืดทั้งคู่ แต่พวกเขามีมุมมองที่แตกต่างกันและดูเหมือนจะมาจากกลุ่มที่แตกต่างกัน
รายละเอียดทั้งหมดนี้ทำให้แอนเดรียนาตื่นเต้น
“จริงสิ,พวกเขาบาดเจ็บไม่น้อยและหมดเรี่ยวแรงแล้ว เราควรจะปล่อยให้พวกเขาได้มีเวลาพัก” ถูจื่อซานกล่าว
อังเดรได้ยินความรู้สึกนับถือลึกๆที่เจ้าตำหนักมีต่อคนทั้งสามแฝงอยู่ในน้ำเสียงของเขา ถือว่าไม่ใช่ช่วงเวลาที่สำหรับต่อต้านถูจื่อซาน “ข้าเองก็ยินที่ทุกท่านปลอดภัย ส่วนที่เหลือคงไม่ต้องกังวลแล้ว”
ก่อนที่เขาจะจากไปถูจื่อซานหันมาทางอาเฮ่อ “ขอเชิญมาพักที่โรงเตี๊ยมนางฟ้าในตอนนี้เถอะ เมื่อพวกเจ้าทุกคนปรึกษากันแล้ว พวกเจ้าสามารถบอกถึงการตัดสินใจของพวกเจ้าได้ ต่อให้พวกเจ้าไม่เข้าร่วมก็ไม่ต้องกังวล ถือว่าเป็นวาสนาของพวกเรา ข้ายินดีที่ได้พบพวกเจ้าทุกคน”
อาเฮ่อไม่คาดเลยว่าองค์การวิญญาณมืดจะมีคนฉลาดและโอบอ้อมอารีย์ เขาตอบตกลง
คำพูดของถูจื่อซานยังคงดังอยู่ในหูของทุกคน เฉียนซินยังคงสงสัย ขณะที่เฉียนซินฝืนยิ้มเนื่องจากถูจื่อซานต้องการรับคนทั้งสามเข้าร่วมคงเป็นเรื่องไม่ฉลาดหากจะต่อต้านถังเทียนและสหาย มิฉะนั้นถูจื่อซานจะกลายเป็นศัตรูและนั่นเท่ากับเป็นการฆ่าตัวตาย อังเดรสงสัยว่าถูจื่อซานกำลังเตือนพวกเขาผ่านคำพูดของเขา
เมื่อทุกคนเดินออกไป อังเดรและเฉียนซินเดินออกมาพร้อมกัน
อังเดรถาม“เป็นไปได้หรือเปล่าที่มีการตกลงระหว่างเจ้าตำหนักถูและกลุ่มของถังเทียน?”
เฉียนซินตอบ “ข้าไม่เคยได้ยินว่ามีการตกลงเกินเลยขนาดนั้น”
เขาเป็นคนที่ฉลาดมาก หลังจากได้ฟังคำพูดของอังเดร เขาตอบ “ฝ่าบาท ท่านอาจไม่รู้แต่ตำหนักนิลทั้งเก้าขององค์การวิญญาณมืดจะไม่ค่อยกลมเกลียวกันเท่าใดนัก เรามีความสัมพันธ์ที่ดีกับตำหนักที่เจ็ด แต่ถ้าเป็นตำหนักที่สองและเกิดมีการต่อสู้ขึ้นมา เลือดคงได้ไหลนองเป็นลำธารแน่”
เลือดไหลนองเป็นลำธาร...
อังเดรงุนงง เขาคาดไม่ถึงเลยว่าความสัมพันธ์ภายในองค์การวิญญาณมืดจะซับซ้อนและรุนแรงมากขนาดนั้น
เพียงชั่วเวลาต่อมาเขาก็รู้สึกตัว“ไม่น่าจะแย่ขนาดนั้น....”
เฉียนซินตอบ “ประวัติศาสตร์ระหว่างเราและตำหนักสองย้อนหลังไปยาวนานและนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของความแค้นของพวกเรา แต่แน่นอนว่าตำหนักนิลที่เจ็ดก็มีศัตรูด้วยซึ่งก็คือตำหนักที่สาม ตำหนักนิลที่สามมีเจ้าตำหนักถึงสองคนเสียชีวิตเพราะถูจื่อซาน และมียอดฝีมือจากตำหนักเจ็ดก็ตายในเงื้อมมือของพวกตำหนักสามเช่นกัน”
“ผู้ปกครองเบื้องสูงของพวกท่านไม่สนใจปัญหานี้หรือไง?” อังเดรประหลาดใจกับโครงสร้างที่พิกลขององค์การวิญญาณมืด
“สนใจ?”เฉียนซินยิ้มอย่างขมขื่นใจ “เบื้องบนไม่สามารถยุ่งได้ การต่อสู้อาจปะทุขึ้นและนักสู้หลายคนอาจตาย และยังมีอยู่ทั่วไปอีกด้วย ไม่แต่เพียงเราเท่านั้น แม้แต่สมาพันธ์ชาวยุทธก็เป็นแบบนี้สาขาทองทั้งสิบสามก็เข่นฆ่ากันเองยิ่งกว่าสิบสองตำหนักในระนาบเสียอีก เราแตกต่างจากพวกท่าน”
อังเดรเข้าใจสภาพการณ์เช่นนั้น เมื่อเฉียนซินพูดว่า “พวกท่าน”นั่นหมายรวมเอากลุ่มดาว
แตกต่างกัน..
แต่ว่า..แตกต่างกันตรงไหน?
ดูเหมือนอังเดรจับเค้าความรุนแรงได้