ตอนที่ 12-25 ต้องไป
ความรู้สึกว่าร่างแปลงนักรบเลือดมังกรที่ลินลี่ย์รู้สึกได้ก็คือ...พลัง! ความแข็งแกร่งไร้ที่สิ้นสุด!
“วืดดด!” แค่ขยับหางมังกรก็เกิดเสียงหวีดหวิวแหวกอากาศและขอบเกล็ดมังกรสีฟ้าทองสะท้อนประกายเยือกเย็น แสงสีทองดูเหมือนมีดที่คม ถ้าเกล็ดเหล่านั้นถูกถอนออกมาจากร่างของเขา บางทีอาจนำไปใช้ตัดแร่ที่มีค่าได้ง่าย
หยดเลือดทองที่เข้าไปในร่างของลินลี่ย์เปลี่ยนแปลงทุกส่วนของร่างเขา
เขาอดทนความเจ็บปวดอย่างที่สุด และเปล่งเสียงครางออกมาเบาๆ
ผ่านไปอีกนาน...
ในที่สุดการเปลี่ยนแปลงก็จบ
“เฮ้อ” ลินลี่ย์ระบายลมหายใจยาว ขณะเดียวกันเขาสำรวจดูลักษณะร่างแปลงใหม่ของเขา สีฟ้าเป็นสีหลักคลุมทับด้วยรัศมีแสงสีทอง ร่างแปลงลินลี่ย์เปล่งกลิ่นอายโบราณเหมือนกับว่าเขาเป็นเทพอสูรโบราณ
“ลินลี่ย์” เดเลียที่อยู่ใกล้กระวนกระวายตลอดเวลา ตอนนี้เมื่อเห็นว่าลินลี่ย์ไม่สั่นและส่งเสียงครวญครางต่อไป นางรู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง
“เดเลีย” เมื่อมองดูเดเลีย,ลินลี่ย์มีร่องรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า ขณะเดียวกันลินลี่ย์สลายร่างแปลงนักรบเลือดมังกรทันทีเพียงแต่ร่างแปลงของนักรบเลือดมังกรนี้แปลงโดยการระเบิดออกตรงๆเสื้อผ้าบนร่างของเขาจึงขาดกระจายเป็นชิ้นไปหมด เขาไม่มีผ้าสักชิ้นปิดบังตัว
โชคดีที่ปรากฏตัวตอนที่มีแต่เขากับเดเลียที่นี่
“รีบแต่งตัวเถอะ” เดเลียหัวเราะขณะที่ทำเสียงดุเขา
ลินลี่ย์ดึงชุดชั้นในและชั้นนอกออกมาจากแหวนมิติเก็บของ ในฐานะนักรบเลือดมังกรเขามักจะสำรองชุดเตรียมไว้ในแหวนมิติเก็บสมบัติเสมอ ลินลี่ย์แต่งตัวเสร็จจากนั้นนั่งข้างเดเลียทั้งสองอิงร่างเข้าหากันและเริ่มสนทนา
“ลินลี่ย์, รู้สึกยังไงที่เข้าถึงระดับเทพ?” เดเลียสงสัยมาก ที่สำคัญนางยังหลอมรวมกับประกายศักดิ์สิทธิ์ยังไม่สำเร็จอย่างแท้จริง
“กลายเป็นเทพน่ะหรือ?”
ลินลี่ย์ตกใจเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะกลายเป็นเทพ ลินลี่ย์ก็ไม่รู้สึกว่าตัวเขาเองเปลี่ยนไปมากเลย อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ที่เดเลียถามเขา ลินลี่ย์ตรวจดูร่างของเขาเป็นอย่างเดียวและสัมผัสได้ว่ารอบๆตัวเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ใช้ร่างแยกศักดิ์สิทธิ์จะชัดเจนกว่า” ลินลี่ย์สลับกับอีกร่างหนึ่งของเขา
แน่นอน ด้วยร่างแยกศักดิ์สิทธิ์ปัจจุบัน ลินลี่ย์สามารถรู้สึกว่าการควบคุมที่เขามีคือเขาสามารถครอบคลุมพื้นที่โดยรอบ นี่คืออำนาจบางอย่างที่ประกายเทพชั้นต้นส่งให้ลินลี่ย์ ลินลี่ย์รู้สึกว่า..ประกายเทพเป็นเสมือนใบรับรองแสดงพลังอำนาจว่ามีความเข้าใจพลังกฎธรรมชาติแน่นอน
ยิ่งประกายเทพมีพลังมาก ผู้นั้นก็จะได้รับอำนาจมากขึ้น
“เจ้าสลับร่างอีกแล้วหรือ?” เดเลียหัวเราะ “ถ้า, ในการสู้รบ, หนึ่งในร่างเจ้าถูกทำลายเจ้าสามารถใช้อีกร่างหนึ่งทำการต่อสู้ได้ต่อไปใช่ไหม?”
“ใช่, ข้าทำเช่นนั้นได้ เพียงแต่ร่างแยกศักดิ์สิทธิ์จะได้รับผลมากขึ้นเมื่อใช้งานสัจธรรมแห่งความเร็ว” ลินลี่ย์ถอนหายใจ
“หือ?” ตอนนี้ลินลี่ย์รู้สึกได้อีกอย่างหนึ่ง กระแสพลังนุ่มนวลสีทองนับไม่ถ้วนไหลเข้าสู่โลกวิญญาณของเขาโดยตรง แม้ว่าแต่ละกระแสจะเล็กน้อยนิดก็ตาม แต่เมื่อรวมกันก็ยังเพิ่มพลังเป็นปริมาณมหาศาล
“นี้คืออะไรกัน?” ลินลี่ย์มึนงง
ลินลี่ย์ไม่เคยเห็นพลังงานแปลกประหลาดแบบนี้มาก่อน แต่เมื่อเขามีปฏิสัมพันธ์กับสายพลังสีทองนับไม่ถ้วนนี้ ภายในใจของลินลี่ย์เขาสามารถรู้สึกได้ถึงกระแสศรัทธาของคนแต่ละคน ทุกๆ สายกระแสสีทองจะเป็นตัวแทนของคนๆ หนึ่ง
“พลังศรัทธา!” ลินลี่ย์เข้าใจทันที
ลินลี่ย์ให้ความสนใจสายใยสีทองอย่างใกล้ชิดทันที สายใยสีทองเหล่านั้นเข้าไปในโลกวิญญาณของลินลี่ย์โดยตรง เพียงแต่เนื่องจากโลกวิญญาณนี้กว้างไกลไม่มีที่สิ้นสุดจำนวนสายใยสีทองมากมายถือว่าคล้ายกับน้ำหยดเดียวในทะเลกว้างใหญ่ ลินลี่ย์ไม่ได้รู้สึกความเปลี่ยนแปลงอะไรเท่าไหร่ขณะที่สายใยสีทองเข้าไปในจิตสำนึกของเขา
นอกจากนั่นคือความสามารถรับรู้ถึงผู้เลื่อมใสศรัทธาเหล่านั้น
“ข้าได้ยินมากว่าพลังศรัทธาเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับการฝึกฝน แต่ทำไมข้าถึงไม่รู้สึกถึงมันได้เลย?” ลินลี่ย์ยังคงสงสัย
แต่ทันทีหลังจากนั้น ลินลี่ย์ก็หัวเราะ “ข้าเพิ่งจะเข้าถึงระดับเทพและเพิ่งจะเริ่มรวบรวมพลังงานศรัทธา อย่างไรก็ตาม พลังงานศรัทธาไม่มีหยุดนิ่งและคงที่ ตัวอย่างเช่นเทพสงครามได้สะสมพลังศรัทธามาเป็นหลายพันปี ก็เหมือนอย่างมหาเทพ พวกเขาก็มีสาวกอยู่ในพิภพต่างๆ มากมาย ใครจะรู้ว่าพลังงานศรัทธาที่พวกเขาสะสมไว้มีมากมายขนาดไหน? มีแนวโน้มว่าหลังจากพลังศรัทธาสะสมไปได้ระยะหนึ่ง ก็รู้สึกถึงผลนี้ได้”
แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจว่าพลังศรัทธาจะใช้ทำอะไรได้ แต่ลินลี่ย์มั่นใจว่าพลังศรัทธาจะเป็นประโยชน์ต่อตัวเขาแน่นอน
ที่สำคัญ แม้แต่พวกมหาเทพก็ยังต้องการพลังศรัทธา
“ลินลี่ย์, เจ้ากำลังฝันถึงอะไรอยู่?” เดเลียพูดขัดความคิดของลินลี่ย์
ลินลี่ย์รู้สึกตัว หลังจากนั้นลินลี่ย์อธิบายอย่างระมัดระวังถึงสิ่งที่เขารู้สึกได้ เดเลียตกใจ “พลังศรัทธา? แล้วพลังจิตของเจ้าสัมผัสได้ถึงพลังศรัทธาเมื่อใดกัน มันปรากฏเป็นลักษณะสายใยสีทอง ศรัทธาคือสิ่งไร้สาระ ไม่มีรูปลักษณ์ทำไมจึงกลายเป็นว่าศรัทธามนุษย์ถึงสร้างพลังงานที่ไม่เหมือนใครนี้ได้เล่า?”
“ข้าไม่แน่ใจ” ลินลี่ย์หัวเราะ “เดเลีย,ในช่วงสองสามวันนี้ ข้าตั้งใจจะออกไปข้างนอก”
“ใช่แล้ว เจ้าถึงระดับเทพแล้วไม่จำเป็นต้องฝึกหนักอีกต่อไป” เดเลียพยักหน้า
“ไม่เลย,เหตุผลที่ข้าจะออกไปข้างนอกเพราะข้าเตรียมจะไปฆ่าหรือออกไปสู้เสี่ยงชีวิตกับเทพ” ลินลี่ย์มองดูเดเลียจริงจัง แม้ว่าก่อนนี้เขาไม่ได้บอกเดเลียในตอนนั้น แต่ตอนนี้ลินลี่ย์ไม่ต้องการจะปิดบังนางอีกต่อไป ที่สำคัญ นี่เป็นเรื่องที่สำคัญมาก
ลินลี่ย์เองไม่มั่นใจเต็มที่ในความสามารถของเขาว่าจะเอาชนะเทพอีกฝ่ายได้
ที่สำคัญฝ่ายตรงข้ามก็เป็นเทพด้วย
“อะไรนะ?!” เดเลียตกใจหนักนัยน์ตาเบิกกว้างทันที “ลินลี่ย์! เจ้ากำลังจะไปสู้กับเทพอย่างนั้นหรือ? ใครกัน? เทพสงคราม? หรือมหาพรต?” เดเลียทั้งกังวลและตกใจทันที ลินลี่ย์เพิ่งจะเป็นเทพเท่านั้น
อันตรายมากเกินไป
“ไม่ใช่พวกเขา”
ลินลี่ย์เห็นสายตาของเดเลียแล้วรู้สึกผิดในใจ ที่สำคัญการสู้รบกับเทพนี้ คงน่าประหลาดใจถ้าเขาชนะ แต่ถ้าเขาแพ้... จะเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรมต่อเดเลียหรือเปล่า?
“อย่างนั้นเขาเป็นใคร? ทำไมเจ้าต้องเข้าร่วมต่อสู้เสี่ยงตายเช่นนี้?” เดเลียรีบพูด “หรือว่าการต่อสู้ครั้งนี้ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้?”
ลินลี่ย์ระบายลมหายใจยาว “ก็ได้, ถ้าอย่างนั้นข้าจะบอกความจริงกับเจ้า, เดเลีย” ลินลี่ย์อธิบายสถานการณ์ของเยลให้นางฟังทั้งหมดทันที เขาเริ่มเล่าตั้งแต่นิสัยที่ผิดปกติของเยลที่ซื้อเชลยสงครามของจักรวรรดิตลอดจนถึงเรื่องที่เยลใช้พิษเพื่อพยายามสังหารลินลี่ย์พร้อมทั้งข้อวิเคราะห์สถานการณ์ของซาสเลอร์
ถ้าเขาไม่ฆ่าเทพนั้น เยลจะเป็นหุ่นเชิดไปตลอดกาล!
นอกจากนี้ ในช่วงเวลานี้เทพนั้นยังอยู่ในช่วงบาดเจ็บหนักและกำลังมีงานยุ่ง ในช่วงอีกไม่กี่ปีเทพนั้นจะฟื้นฟูความแข็งแกร่งของเขาและเขาจะไม่สามารถหาโอกาสที่ดีแบบนี้ได้อีก
ที่สำคัญที่สุด....
เขาอาจเสียเวลาได้ แต่เยลทำไม่ได้
ใครจะรู้ว่าเมื่อไหร่เทพนั้นจะยอมเสียเยลไป? ถ้าเยลตายไปจริงๆบางทีลินลี่ย์คงตำหนิตัวเองไปตลอดชีวิตที่เหลือ
“ลินลี่ย์” หลังจากได้ฟังทุกอย่าง เดเลียต้องการพูดบางอย่าง แต่นางไม่สามารถพูดได้
นางไม่ต้องการให้ลินลี่ย์เอาตนเองไปเสี่ยง แต่นางเข้าใจนิสัยของลินลี่ย์ดี ลินลี่ย์สามารถทำเพื่อประโยชน์นางได้ทิ้งทุกอย่างรวมทั้งชีวิตของตนเอง แต่เพื่อวอร์ตัน เยล เรย์โนลด์และคนอื่นๆ ลินลี่ย์ก็ทำได้เช่นกัน
“เดเลียไม่ต้องห่วง ข้ามีเหตุผลบางอย่างถึงได้มั่นใจ” ลินลี่ย์กล่าว
“เหตุผลอะไร?” เดเลียถามทันที
นางหวังว่าลินลี่ย์สามารถอธิบายนางและให้คำตอบนางซึ่งจะช่วยให้นางสบายใจได้
“พลังรบของคนผู้หนึ่งจะเกี่ยวพันกับความสามารถส่วนตัวอาวุธของพวกเขาก็เช่นกัน เดเลีย,กระบี่เลือดม่วงของข้านี้น่าจะเป็นสมบัติเทพประเภทที่ทรงพลังมาก” ลินลี่ย์อธิบาย “นอกจากนี้, เดเลีย, เจ้าต้องจำไว้ว่าข้ามีสองร่างร่างเดิมของข้าและร่างแยก”
ลินลี่ย์โอบไหล่เดเลียและพูดจริงจัง “เดเลีย,ข้ารับรองกับเจ้าได้ว่าถ้าร่างใดร่างหนึ่งของข้าถูกทำลาย ข้าจะถอยแน่นอน”
เดเลียมีแววขมขื่นบนใบหน้า
นางเข้าใจว่าลินลี่ย์หมายความว่ายังไง ความจริงการสูญเสียร่างใดร่างหนึ่งของลินลี่ย์จะส่งผลกระทบต่อเขาอย่างใหญ่หลวง ถ้าร่างหลักของเขาถูกทำลาย และวิญญาณเขาสลายไป อย่างนั้น..ลินลี่ย์จะไม่สามารถฝึกกฎธรรมชาติอื่นได้อีก เขาจะมีแต่เพียงร่างศักดิ์สิทธิ์ที่เชี่ยวชาญธาตุลมอย่างเดียว
แต่ถ้าร่างแยกศักดิ์สิทธิ์ถูกทำลายและวิญญาณสูญสลายไป อย่างนั้นมันจะสูญเสียไปตลอดกาล และในอนาคตเขาจะไม่มีทางฝึกกฎธรรมชาติธาตุลมได้อีก ต่อให้เขารู้แจ้งก็ตาม เขาจะไม่มีทางได้รับความรู้ของจักรวาลได้อีก และเขาจะไม่ได้รับประกายศักดิ์สิทธิ์อื่น
มองจากแววตาของลินลี่ย์ เดเลียบอกได้ว่าเขาตัดสินใจไว้แล้ว
“ถ้าอย่างนั้นก็ได้” เดเลียสูดหายใจลึก จ้องมองลินลี่ย์ “แต่ลินลี่ย์,เจ้าต้องสัญญากับข้านะว่าเจ้าจะต้องจำสิ่งที่เจ้าพูดกับข้าในวันนี้ ถ้าร่างใดร่างหนึ่งของเจ้าถูกทำลาย เจ้าต้องยอมถอยทันที เจ้าต้องไม่ปล่อยให้ตัวเองต้องตายไป! เจ้ายังมีสหายและสมาชิกครอบครัวอื่นอีกมาก นอกจากเยล!”
ลินลี่ย์กับเดเลียมองตากัน
“ข้าสัญญา”
ปราสาทเลือดมังกร ที่ห้องประชุมใหญ่
ตอนนี้มีคนมากมายมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ลินลี่ย์กลายเป็นเทพเป็นเรื่องที่สร้างความตื่นเต้นให้กับทุกคน แต่เรื่องใหญ่ที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ..เมื่อตกยามราตรีเขาลอบออกไปมุ่งหน้าสู่สาขาของหอการค้าดอว์สันเพื่อสู้ตายกับเทพตนนั้น
แต่แน่นอนว่ามีคนรู้เพียงไม่กี่คน
สองคนนั้นได้แก่วอร์ตันกับซาสเลอร์
พอถึงยามราตรีทั้งสามคนเหาะขึ้นไปในอากาศเหนือปราสาทเลือดมังกร
“พี่ใหญ่, ท่านจะต้องระวังตัวให้ดี” วอร์ตันคัดค้านที่จะให้ลินลี่ย์ไปสู้กับเทพนั้น แต่เขารู้อารมณ์ของลินลี่ย์ดี ทั้งหมดที่เขาทำได้ก็คือพยายามขอให้ลินลี่ย์ระวังตัว “พี่ใหญ่,อย่าลืมว่ายังมีอีกหลายคนในปราสาทเลือดมังกรรอท่านอยู่”
ลินลี่ย์พยักหน้าเล็กน้อย
ซาสเลอร์พูดอย่างจริงจัง “ลอร์ดลินลี่ย์ เทพตนนี้ฝึกมาทางวิถีมรณะ และเขาจะต้องเชี่ยวชาญทักษะโจมตีทางวิญญาณเป็นที่สุด ท่านต้องระวังให้ดี จุดอ่อนของเขาควรจะเป็นเรื่องการสู้ระยะประชิด ถ้าท่านสามารถเข้าไปสู้ใกล้ๆ เขาได้ โอกาสที่ท่านจะชนะได้ก็สูงมาก”
ทั้งซาสเลอร์และวอร์ตันกังวลมากจริงๆ
“ไม่ต้องห่วง จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับข้า” ลินลี่ย์เต็มไปด้วยความมั่นใจในตนเอง
หลังจากยิ้มให้ทั้งสองคนแล้ว ลินลี่ย์เริ่มบินไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ทันที ในทันใดนั้นเขาหายลับไปในขอบฟ้า ความเร็วของเขาสร้างความทึ่งให้กับทุกคน
“แค่ตัดสินจากความเร็วของเขา พี่ใหญ่น่าจะปลอดภัย” ตอนนี้วอร์ตันรู้สึกมั่นใจขึ้นบ้าง
ลินลี่ย์ฝึกมาทางสัจธรรมแห่งความเร็วก็น่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านความเร็ว
……………..
ภายในห้องใต้ดินมืดมัว
ผู้วิเศษร่างผอมเหมือนกระดูกสวมชุดยาวดำคลุมร่างนั่งขัดสมาธิอยู่กับพื้น ข้างหน้าเขาเป็นเป็นแก้วผลึกกลมเปล่งแสงสีเขียวต่อเนื่องฉายใส่ใบหน้าที่เยือกเย็นน่ากลัวของผู้วิเศษนั้น แต่ขณะนั้นเอง “แอ๊ดดดด” ประตูห้องเปิดออก
มีอีกร่างสวมชุดดำยาวปรากฏตัวในห้องลับราวกับเทเลพอร์ตเข้ามา
“เจ้าทำเสร็จหรือยัง?” เสียงแหบแห้งดังมาจากปากคนผู้หนึ่ง
“ก็เรื่อยๆ ท่านโบมอนท์” เสียงหัวเราะแหบแห้งแสบแก้วหูดังขึ้นจากปากของผู้วิเศษน่ากลัวขนาดที่เด็กร้องไห้งอแงหยุดร้องได้ทันที
ผู้มาใหม่แค่นเสียงเยือกเย็น “เป็นเวลาหกปีเต็มแล้วตั้งแต่เราออกจากพิภพเกบาโดสมาถึงที่นี่ เจ้าควบคุมสามสมาคมการค้าใหญ่ของทวีปยูลานไว้หมด ทาสที่เจ้าฆ่าก็มากกว่าสิบล้านแล้วและคนใช้เจ้าก็ฆ่าคนไปมากมายเช่นกัน ข้าคิดว่าเจ้าควรจะกลั่นมุกชีวิตทองเสร็จได้แล้ว”
“ฮืม.. ท่านโบมอนท์ท่านคิดว่าการกลั่นวิญญาณเป็นงานง่ายนักหรือ?” ผู้วิเศษพูดด้วยความโกรธขึ้นมาบ้าง “ต่อให้เป็นเทพชั้นกลางก็ยังไม่สามารถกลั่นวิญญาณได้ วิญญาณเป็นสิ่งที่เปราะบางและละเอียดอ่อน จะกลั่นให้บริสุทธิ์จำเป็นต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก จะย่ามใจเพิ่มแม้แต่น้อยก็ไม่ได้”
ผู้มาใหม่ที่ลึกลับชำเลืองมองผู้วิเศษนั้น
หลังจากเงียบอยู่ครู่หนึ่ง “เจ้าควรจะรู้ว่าอารมณ์ของข้าเป็นยังไง ข้าปกป้องเจ้ามาตลอดเวลาช่วงนี้ ถ้าไม่อย่างนั้นด้วยอาการบาดเจ็บที่เจ้ามี เจ้าอาจถูกมูบาฆ่าไปนานแล้ว ข้าให้เวลาเจ้าสามปี ถ้าถึงเวลานั้นเจ้ายังกลั่นมุกวิญญาณทองไม่เสร็จอย่าได้โทษว่าข้าก็แล้วกัน”
“สามปี, นั่นก็ได้แล้ว” ผู้วิเศษไม่กังวลแม้แต่น้อย เขาพูดอย่างใจเย็น “ในอีกสามปีข้างหน้า ข้าหวังว่าท่านโบมอนท์จะมาช่วยข้ารั้งมูบาผู้นั้นไว้ เมื่อวิญญาณข้าฟื้นฟูเต็มที่ ข้าก็ไม่ต้องกลัวเขาอีกต่อไป”
บุรุษผู้ลึกลับชำเลืองมองผู้วิเศษและจากนั้นร่างของเขาหายไปจากในห้องฝึกเร้นลับ
พ่อมดผู้วิเศษมองดูโบมอนท์หายไปและลอบหัวเราะอย่างเยือกเย็นในใจ “มุกวิญญาณทองน่ะหรือ? แม้แต่คนชั้นต่ำน่ารังเกียจอย่างเขาก็ยังต้องการมุกวิญญาณทองด้วยหรือ? ถ้าข้าไม่บาดเจ็บหนัก ข้ายังจะกลัวเจ้าหรือ? เจ้ารู้ไหมว่าข้ากลั่นมุกวิญญาณทองสำเร็จแล้วแต่น่าเสียดาย ข้าจะไม่มีทางให้เจ้า”