ตอนที่แล้วตอนที่ 12-24 กระบี่เลือดม่วงกับแหวนมังกรขนด
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 12-26 แหวนมังกรขนด

ตอนที่ 12-25 ต้องไป


ความรู้สึกว่าร่างแปลงนักรบเลือดมังกรที่ลินลี่ย์รู้สึกได้ก็คือ...พลัง! ความแข็งแกร่งไร้ที่สิ้นสุด!

“วืดดด!” แค่ขยับหางมังกรก็เกิดเสียงหวีดหวิวแหวกอากาศและขอบเกล็ดมังกรสีฟ้าทองสะท้อนประกายเยือกเย็น แสงสีทองดูเหมือนมีดที่คม ถ้าเกล็ดเหล่านั้นถูกถอนออกมาจากร่างของเขา  บางทีอาจนำไปใช้ตัดแร่ที่มีค่าได้ง่าย

หยดเลือดทองที่เข้าไปในร่างของลินลี่ย์เปลี่ยนแปลงทุกส่วนของร่างเขา

เขาอดทนความเจ็บปวดอย่างที่สุด และเปล่งเสียงครางออกมาเบาๆ

ผ่านไปอีกนาน...

ในที่สุดการเปลี่ยนแปลงก็จบ

“เฮ้อ” ลินลี่ย์ระบายลมหายใจยาว ขณะเดียวกันเขาสำรวจดูลักษณะร่างแปลงใหม่ของเขา  สีฟ้าเป็นสีหลักคลุมทับด้วยรัศมีแสงสีทอง ร่างแปลงลินลี่ย์เปล่งกลิ่นอายโบราณเหมือนกับว่าเขาเป็นเทพอสูรโบราณ

“ลินลี่ย์” เดเลียที่อยู่ใกล้กระวนกระวายตลอดเวลา ตอนนี้เมื่อเห็นว่าลินลี่ย์ไม่สั่นและส่งเสียงครวญครางต่อไป  นางรู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง

“เดเลีย” เมื่อมองดูเดเลีย,ลินลี่ย์มีร่องรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า ขณะเดียวกันลินลี่ย์สลายร่างแปลงนักรบเลือดมังกรทันทีเพียงแต่ร่างแปลงของนักรบเลือดมังกรนี้แปลงโดยการระเบิดออกตรงๆเสื้อผ้าบนร่างของเขาจึงขาดกระจายเป็นชิ้นไปหมด เขาไม่มีผ้าสักชิ้นปิดบังตัว

โชคดีที่ปรากฏตัวตอนที่มีแต่เขากับเดเลียที่นี่

“รีบแต่งตัวเถอะ” เดเลียหัวเราะขณะที่ทำเสียงดุเขา

ลินลี่ย์ดึงชุดชั้นในและชั้นนอกออกมาจากแหวนมิติเก็บของ  ในฐานะนักรบเลือดมังกรเขามักจะสำรองชุดเตรียมไว้ในแหวนมิติเก็บสมบัติเสมอ  ลินลี่ย์แต่งตัวเสร็จจากนั้นนั่งข้างเดเลียทั้งสองอิงร่างเข้าหากันและเริ่มสนทนา

“ลินลี่ย์, รู้สึกยังไงที่เข้าถึงระดับเทพ?”  เดเลียสงสัยมาก  ที่สำคัญนางยังหลอมรวมกับประกายศักดิ์สิทธิ์ยังไม่สำเร็จอย่างแท้จริง

“กลายเป็นเทพน่ะหรือ?”

ลินลี่ย์ตกใจเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะกลายเป็นเทพ ลินลี่ย์ก็ไม่รู้สึกว่าตัวเขาเองเปลี่ยนไปมากเลย  อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ที่เดเลียถามเขา ลินลี่ย์ตรวจดูร่างของเขาเป็นอย่างเดียวและสัมผัสได้ว่ารอบๆตัวเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย

“ใช้ร่างแยกศักดิ์สิทธิ์จะชัดเจนกว่า”  ลินลี่ย์สลับกับอีกร่างหนึ่งของเขา

แน่นอน ด้วยร่างแยกศักดิ์สิทธิ์ปัจจุบัน  ลินลี่ย์สามารถรู้สึกว่าการควบคุมที่เขามีคือเขาสามารถครอบคลุมพื้นที่โดยรอบ  นี่คืออำนาจบางอย่างที่ประกายเทพชั้นต้นส่งให้ลินลี่ย์ ลินลี่ย์รู้สึกว่า..ประกายเทพเป็นเสมือนใบรับรองแสดงพลังอำนาจว่ามีความเข้าใจพลังกฎธรรมชาติแน่นอน

ยิ่งประกายเทพมีพลังมาก ผู้นั้นก็จะได้รับอำนาจมากขึ้น

“เจ้าสลับร่างอีกแล้วหรือ?”  เดเลียหัวเราะ “ถ้า, ในการสู้รบ, หนึ่งในร่างเจ้าถูกทำลายเจ้าสามารถใช้อีกร่างหนึ่งทำการต่อสู้ได้ต่อไปใช่ไหม?”

“ใช่, ข้าทำเช่นนั้นได้ เพียงแต่ร่างแยกศักดิ์สิทธิ์จะได้รับผลมากขึ้นเมื่อใช้งานสัจธรรมแห่งความเร็ว”  ลินลี่ย์ถอนหายใจ

“หือ?”  ตอนนี้ลินลี่ย์รู้สึกได้อีกอย่างหนึ่ง  กระแสพลังนุ่มนวลสีทองนับไม่ถ้วนไหลเข้าสู่โลกวิญญาณของเขาโดยตรง  แม้ว่าแต่ละกระแสจะเล็กน้อยนิดก็ตาม  แต่เมื่อรวมกันก็ยังเพิ่มพลังเป็นปริมาณมหาศาล

“นี้คืออะไรกัน?” ลินลี่ย์มึนงง

ลินลี่ย์ไม่เคยเห็นพลังงานแปลกประหลาดแบบนี้มาก่อน แต่เมื่อเขามีปฏิสัมพันธ์กับสายพลังสีทองนับไม่ถ้วนนี้ ภายในใจของลินลี่ย์เขาสามารถรู้สึกได้ถึงกระแสศรัทธาของคนแต่ละคน ทุกๆ สายกระแสสีทองจะเป็นตัวแทนของคนๆ หนึ่ง

“พลังศรัทธา!”  ลินลี่ย์เข้าใจทันที

ลินลี่ย์ให้ความสนใจสายใยสีทองอย่างใกล้ชิดทันที  สายใยสีทองเหล่านั้นเข้าไปในโลกวิญญาณของลินลี่ย์โดยตรง เพียงแต่เนื่องจากโลกวิญญาณนี้กว้างไกลไม่มีที่สิ้นสุดจำนวนสายใยสีทองมากมายถือว่าคล้ายกับน้ำหยดเดียวในทะเลกว้างใหญ่  ลินลี่ย์ไม่ได้รู้สึกความเปลี่ยนแปลงอะไรเท่าไหร่ขณะที่สายใยสีทองเข้าไปในจิตสำนึกของเขา

นอกจากนั่นคือความสามารถรับรู้ถึงผู้เลื่อมใสศรัทธาเหล่านั้น

“ข้าได้ยินมากว่าพลังศรัทธาเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับการฝึกฝน  แต่ทำไมข้าถึงไม่รู้สึกถึงมันได้เลย?”  ลินลี่ย์ยังคงสงสัย

แต่ทันทีหลังจากนั้น ลินลี่ย์ก็หัวเราะ  “ข้าเพิ่งจะเข้าถึงระดับเทพและเพิ่งจะเริ่มรวบรวมพลังงานศรัทธา อย่างไรก็ตาม พลังงานศรัทธาไม่มีหยุดนิ่งและคงที่  ตัวอย่างเช่นเทพสงครามได้สะสมพลังศรัทธามาเป็นหลายพันปี ก็เหมือนอย่างมหาเทพ พวกเขาก็มีสาวกอยู่ในพิภพต่างๆ มากมาย ใครจะรู้ว่าพลังงานศรัทธาที่พวกเขาสะสมไว้มีมากมายขนาดไหน? มีแนวโน้มว่าหลังจากพลังศรัทธาสะสมไปได้ระยะหนึ่ง ก็รู้สึกถึงผลนี้ได้”

แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจว่าพลังศรัทธาจะใช้ทำอะไรได้ แต่ลินลี่ย์มั่นใจว่าพลังศรัทธาจะเป็นประโยชน์ต่อตัวเขาแน่นอน

ที่สำคัญ แม้แต่พวกมหาเทพก็ยังต้องการพลังศรัทธา

“ลินลี่ย์, เจ้ากำลังฝันถึงอะไรอยู่?”  เดเลียพูดขัดความคิดของลินลี่ย์

ลินลี่ย์รู้สึกตัว หลังจากนั้นลินลี่ย์อธิบายอย่างระมัดระวังถึงสิ่งที่เขารู้สึกได้  เดเลียตกใจ “พลังศรัทธา? แล้วพลังจิตของเจ้าสัมผัสได้ถึงพลังศรัทธาเมื่อใดกัน  มันปรากฏเป็นลักษณะสายใยสีทอง  ศรัทธาคือสิ่งไร้สาระ ไม่มีรูปลักษณ์ทำไมจึงกลายเป็นว่าศรัทธามนุษย์ถึงสร้างพลังงานที่ไม่เหมือนใครนี้ได้เล่า?”

“ข้าไม่แน่ใจ” ลินลี่ย์หัวเราะ  “เดเลีย,ในช่วงสองสามวันนี้ ข้าตั้งใจจะออกไปข้างนอก”

“ใช่แล้ว เจ้าถึงระดับเทพแล้วไม่จำเป็นต้องฝึกหนักอีกต่อไป” เดเลียพยักหน้า

“ไม่เลย,เหตุผลที่ข้าจะออกไปข้างนอกเพราะข้าเตรียมจะไปฆ่าหรือออกไปสู้เสี่ยงชีวิตกับเทพ”  ลินลี่ย์มองดูเดเลียจริงจัง  แม้ว่าก่อนนี้เขาไม่ได้บอกเดเลียในตอนนั้น แต่ตอนนี้ลินลี่ย์ไม่ต้องการจะปิดบังนางอีกต่อไป  ที่สำคัญ นี่เป็นเรื่องที่สำคัญมาก

ลินลี่ย์เองไม่มั่นใจเต็มที่ในความสามารถของเขาว่าจะเอาชนะเทพอีกฝ่ายได้

ที่สำคัญฝ่ายตรงข้ามก็เป็นเทพด้วย

“อะไรนะ?!”  เดเลียตกใจหนักนัยน์ตาเบิกกว้างทันที  “ลินลี่ย์!  เจ้ากำลังจะไปสู้กับเทพอย่างนั้นหรือ?  ใครกัน? เทพสงคราม? หรือมหาพรต?”  เดเลียทั้งกังวลและตกใจทันที ลินลี่ย์เพิ่งจะเป็นเทพเท่านั้น

อันตรายมากเกินไป

“ไม่ใช่พวกเขา”

ลินลี่ย์เห็นสายตาของเดเลียแล้วรู้สึกผิดในใจ  ที่สำคัญการสู้รบกับเทพนี้  คงน่าประหลาดใจถ้าเขาชนะ  แต่ถ้าเขาแพ้... จะเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรมต่อเดเลียหรือเปล่า?

“อย่างนั้นเขาเป็นใคร? ทำไมเจ้าต้องเข้าร่วมต่อสู้เสี่ยงตายเช่นนี้?”  เดเลียรีบพูด “หรือว่าการต่อสู้ครั้งนี้ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้?”

ลินลี่ย์ระบายลมหายใจยาว “ก็ได้, ถ้าอย่างนั้นข้าจะบอกความจริงกับเจ้า, เดเลีย”  ลินลี่ย์อธิบายสถานการณ์ของเยลให้นางฟังทั้งหมดทันที  เขาเริ่มเล่าตั้งแต่นิสัยที่ผิดปกติของเยลที่ซื้อเชลยสงครามของจักรวรรดิตลอดจนถึงเรื่องที่เยลใช้พิษเพื่อพยายามสังหารลินลี่ย์พร้อมทั้งข้อวิเคราะห์สถานการณ์ของซาสเลอร์

ถ้าเขาไม่ฆ่าเทพนั้น เยลจะเป็นหุ่นเชิดไปตลอดกาล!

นอกจากนี้ ในช่วงเวลานี้เทพนั้นยังอยู่ในช่วงบาดเจ็บหนักและกำลังมีงานยุ่ง ในช่วงอีกไม่กี่ปีเทพนั้นจะฟื้นฟูความแข็งแกร่งของเขาและเขาจะไม่สามารถหาโอกาสที่ดีแบบนี้ได้อีก

ที่สำคัญที่สุด....

เขาอาจเสียเวลาได้ แต่เยลทำไม่ได้

ใครจะรู้ว่าเมื่อไหร่เทพนั้นจะยอมเสียเยลไป?  ถ้าเยลตายไปจริงๆบางทีลินลี่ย์คงตำหนิตัวเองไปตลอดชีวิตที่เหลือ

“ลินลี่ย์” หลังจากได้ฟังทุกอย่าง เดเลียต้องการพูดบางอย่าง  แต่นางไม่สามารถพูดได้

นางไม่ต้องการให้ลินลี่ย์เอาตนเองไปเสี่ยง  แต่นางเข้าใจนิสัยของลินลี่ย์ดี  ลินลี่ย์สามารถทำเพื่อประโยชน์นางได้ทิ้งทุกอย่างรวมทั้งชีวิตของตนเอง แต่เพื่อวอร์ตัน เยล เรย์โนลด์และคนอื่นๆ ลินลี่ย์ก็ทำได้เช่นกัน

“เดเลียไม่ต้องห่วง ข้ามีเหตุผลบางอย่างถึงได้มั่นใจ” ลินลี่ย์กล่าว

“เหตุผลอะไร?” เดเลียถามทันที

นางหวังว่าลินลี่ย์สามารถอธิบายนางและให้คำตอบนางซึ่งจะช่วยให้นางสบายใจได้

“พลังรบของคนผู้หนึ่งจะเกี่ยวพันกับความสามารถส่วนตัวอาวุธของพวกเขาก็เช่นกัน  เดเลีย,กระบี่เลือดม่วงของข้านี้น่าจะเป็นสมบัติเทพประเภทที่ทรงพลังมาก”  ลินลี่ย์อธิบาย  “นอกจากนี้, เดเลีย, เจ้าต้องจำไว้ว่าข้ามีสองร่างร่างเดิมของข้าและร่างแยก”

ลินลี่ย์โอบไหล่เดเลียและพูดจริงจัง  “เดเลีย,ข้ารับรองกับเจ้าได้ว่าถ้าร่างใดร่างหนึ่งของข้าถูกทำลาย  ข้าจะถอยแน่นอน”

เดเลียมีแววขมขื่นบนใบหน้า

นางเข้าใจว่าลินลี่ย์หมายความว่ายังไง  ความจริงการสูญเสียร่างใดร่างหนึ่งของลินลี่ย์จะส่งผลกระทบต่อเขาอย่างใหญ่หลวง  ถ้าร่างหลักของเขาถูกทำลาย  และวิญญาณเขาสลายไป  อย่างนั้น..ลินลี่ย์จะไม่สามารถฝึกกฎธรรมชาติอื่นได้อีก เขาจะมีแต่เพียงร่างศักดิ์สิทธิ์ที่เชี่ยวชาญธาตุลมอย่างเดียว

แต่ถ้าร่างแยกศักดิ์สิทธิ์ถูกทำลายและวิญญาณสูญสลายไป  อย่างนั้นมันจะสูญเสียไปตลอดกาล และในอนาคตเขาจะไม่มีทางฝึกกฎธรรมชาติธาตุลมได้อีก  ต่อให้เขารู้แจ้งก็ตาม เขาจะไม่มีทางได้รับความรู้ของจักรวาลได้อีก  และเขาจะไม่ได้รับประกายศักดิ์สิทธิ์อื่น

มองจากแววตาของลินลี่ย์ เดเลียบอกได้ว่าเขาตัดสินใจไว้แล้ว

“ถ้าอย่างนั้นก็ได้” เดเลียสูดหายใจลึก จ้องมองลินลี่ย์ “แต่ลินลี่ย์,เจ้าต้องสัญญากับข้านะว่าเจ้าจะต้องจำสิ่งที่เจ้าพูดกับข้าในวันนี้  ถ้าร่างใดร่างหนึ่งของเจ้าถูกทำลาย  เจ้าต้องยอมถอยทันที  เจ้าต้องไม่ปล่อยให้ตัวเองต้องตายไป! เจ้ายังมีสหายและสมาชิกครอบครัวอื่นอีกมาก นอกจากเยล!”

ลินลี่ย์กับเดเลียมองตากัน

“ข้าสัญญา”

ปราสาทเลือดมังกร ที่ห้องประชุมใหญ่

ตอนนี้มีคนมากมายมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ลินลี่ย์กลายเป็นเทพเป็นเรื่องที่สร้างความตื่นเต้นให้กับทุกคน  แต่เรื่องใหญ่ที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ..เมื่อตกยามราตรีเขาลอบออกไปมุ่งหน้าสู่สาขาของหอการค้าดอว์สันเพื่อสู้ตายกับเทพตนนั้น

แต่แน่นอนว่ามีคนรู้เพียงไม่กี่คน

สองคนนั้นได้แก่วอร์ตันกับซาสเลอร์

พอถึงยามราตรีทั้งสามคนเหาะขึ้นไปในอากาศเหนือปราสาทเลือดมังกร

“พี่ใหญ่, ท่านจะต้องระวังตัวให้ดี” วอร์ตันคัดค้านที่จะให้ลินลี่ย์ไปสู้กับเทพนั้น  แต่เขารู้อารมณ์ของลินลี่ย์ดี  ทั้งหมดที่เขาทำได้ก็คือพยายามขอให้ลินลี่ย์ระวังตัว  “พี่ใหญ่,อย่าลืมว่ายังมีอีกหลายคนในปราสาทเลือดมังกรรอท่านอยู่”

ลินลี่ย์พยักหน้าเล็กน้อย

ซาสเลอร์พูดอย่างจริงจัง “ลอร์ดลินลี่ย์ เทพตนนี้ฝึกมาทางวิถีมรณะ และเขาจะต้องเชี่ยวชาญทักษะโจมตีทางวิญญาณเป็นที่สุด  ท่านต้องระวังให้ดี จุดอ่อนของเขาควรจะเป็นเรื่องการสู้ระยะประชิด  ถ้าท่านสามารถเข้าไปสู้ใกล้ๆ เขาได้  โอกาสที่ท่านจะชนะได้ก็สูงมาก”

ทั้งซาสเลอร์และวอร์ตันกังวลมากจริงๆ

“ไม่ต้องห่วง จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับข้า”  ลินลี่ย์เต็มไปด้วยความมั่นใจในตนเอง

หลังจากยิ้มให้ทั้งสองคนแล้ว ลินลี่ย์เริ่มบินไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ทันที  ในทันใดนั้นเขาหายลับไปในขอบฟ้า  ความเร็วของเขาสร้างความทึ่งให้กับทุกคน

“แค่ตัดสินจากความเร็วของเขา  พี่ใหญ่น่าจะปลอดภัย”  ตอนนี้วอร์ตันรู้สึกมั่นใจขึ้นบ้าง

ลินลี่ย์ฝึกมาทางสัจธรรมแห่งความเร็วก็น่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านความเร็ว

……………..

ภายในห้องใต้ดินมืดมัว

ผู้วิเศษร่างผอมเหมือนกระดูกสวมชุดยาวดำคลุมร่างนั่งขัดสมาธิอยู่กับพื้น  ข้างหน้าเขาเป็นเป็นแก้วผลึกกลมเปล่งแสงสีเขียวต่อเนื่องฉายใส่ใบหน้าที่เยือกเย็นน่ากลัวของผู้วิเศษนั้น แต่ขณะนั้นเอง “แอ๊ดดดด” ประตูห้องเปิดออก

มีอีกร่างสวมชุดดำยาวปรากฏตัวในห้องลับราวกับเทเลพอร์ตเข้ามา

“เจ้าทำเสร็จหรือยัง?” เสียงแหบแห้งดังมาจากปากคนผู้หนึ่ง

“ก็เรื่อยๆ ท่านโบมอนท์” เสียงหัวเราะแหบแห้งแสบแก้วหูดังขึ้นจากปากของผู้วิเศษน่ากลัวขนาดที่เด็กร้องไห้งอแงหยุดร้องได้ทันที

ผู้มาใหม่แค่นเสียงเยือกเย็น “เป็นเวลาหกปีเต็มแล้วตั้งแต่เราออกจากพิภพเกบาโดสมาถึงที่นี่ เจ้าควบคุมสามสมาคมการค้าใหญ่ของทวีปยูลานไว้หมด  ทาสที่เจ้าฆ่าก็มากกว่าสิบล้านแล้วและคนใช้เจ้าก็ฆ่าคนไปมากมายเช่นกัน ข้าคิดว่าเจ้าควรจะกลั่นมุกชีวิตทองเสร็จได้แล้ว”

“ฮืม.. ท่านโบมอนท์ท่านคิดว่าการกลั่นวิญญาณเป็นงานง่ายนักหรือ?” ผู้วิเศษพูดด้วยความโกรธขึ้นมาบ้าง “ต่อให้เป็นเทพชั้นกลางก็ยังไม่สามารถกลั่นวิญญาณได้  วิญญาณเป็นสิ่งที่เปราะบางและละเอียดอ่อน จะกลั่นให้บริสุทธิ์จำเป็นต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก  จะย่ามใจเพิ่มแม้แต่น้อยก็ไม่ได้”

ผู้มาใหม่ที่ลึกลับชำเลืองมองผู้วิเศษนั้น

หลังจากเงียบอยู่ครู่หนึ่ง “เจ้าควรจะรู้ว่าอารมณ์ของข้าเป็นยังไง ข้าปกป้องเจ้ามาตลอดเวลาช่วงนี้ ถ้าไม่อย่างนั้นด้วยอาการบาดเจ็บที่เจ้ามี เจ้าอาจถูกมูบาฆ่าไปนานแล้ว ข้าให้เวลาเจ้าสามปี ถ้าถึงเวลานั้นเจ้ายังกลั่นมุกวิญญาณทองไม่เสร็จอย่าได้โทษว่าข้าก็แล้วกัน”

“สามปี, นั่นก็ได้แล้ว” ผู้วิเศษไม่กังวลแม้แต่น้อย เขาพูดอย่างใจเย็น “ในอีกสามปีข้างหน้า ข้าหวังว่าท่านโบมอนท์จะมาช่วยข้ารั้งมูบาผู้นั้นไว้  เมื่อวิญญาณข้าฟื้นฟูเต็มที่  ข้าก็ไม่ต้องกลัวเขาอีกต่อไป”

บุรุษผู้ลึกลับชำเลืองมองผู้วิเศษและจากนั้นร่างของเขาหายไปจากในห้องฝึกเร้นลับ

พ่อมดผู้วิเศษมองดูโบมอนท์หายไปและลอบหัวเราะอย่างเยือกเย็นในใจ “มุกวิญญาณทองน่ะหรือ?  แม้แต่คนชั้นต่ำน่ารังเกียจอย่างเขาก็ยังต้องการมุกวิญญาณทองด้วยหรือ?  ถ้าข้าไม่บาดเจ็บหนัก  ข้ายังจะกลัวเจ้าหรือ?  เจ้ารู้ไหมว่าข้ากลั่นมุกวิญญาณทองสำเร็จแล้วแต่น่าเสียดาย ข้าจะไม่มีทางให้เจ้า”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด