Chapter 12 : เปิดประเด็น
[ภารกิจเอาชีวิตรอดครั้งถัดไปของท่านคืออีกสามวันให้หลัง – โปรดเตรียมตัวให้พร้อม]
หลังจากแจ้งกำหนดการของภารกิจเอาชีวิตรอดครั้งถัดไปให้โจวเฉินทราบระบบก็เงียบไปทันที
“คราวนี้ได้พักแค่สามวันเองหรอ? ความถี่ของภารกิจดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นจริงๆด้วยสินะ”
โจวเฉินไม่สนใจของที่หล่นเกลื่อนกราดอยู่บนพื้นและเดินตรงไปยังตู้เย็นขนาดเล็กภายในห้องของเขา จากนั้นเขาก็หยิบกล่องนมขึ้นมาและฉีกขนมปังมาชิ้นหนึ่งก่อนจะกลับมานั่งบนเตียงเพื่อทานพวกมัน
ตอนนี้เขาทั้งเหนื่อยทั้งหิวแถมสภาพจิตใจยังเหนื่อยล้าเต็มทนอีกด้วย เขาจำเป็นต้องเติมพลังก่อนแล้วค่อยไปนอนพักผ่อน
ขณะที่สายลมพัดผ่านร่างกายเขาก็หวนนึกไปถึงภารกิจเอาชีวิตรอดในรอบที่ผ่านมา
หนนี้เขาได้อะไรมาจากภารกิจเอาชีวิตรอดมากมายจริงๆ ได้สกิลติดตัวมาก็มากแถมพวกมันยังมีประโยชน์ทั้งนั้นเลยด้วยแม้ว่าในทางปฏิบัติแล้วเรื่องที่เกิดขึ้นจะค่อนข้างอันตรายพอตัวก็ตาม
ตอนนี้เมื่อหวนนึกถึงเขาก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้าไม่มีพรสวรรค์ช่วงชิงสกิลติดตัวเขาก็คงไม่ได้สกิลติดตัวพวกนี้มาและคงจะอยู่รอดไม่ถึงวันที่สองภายในเมืองผีห่าแห่งนั้นด้วยซ้ำ หลังจากที่แรงกายเหือดแห้งแรงใจหดหายเขาก็คงถูกพวกซอมบี้ที่ผ่านไปผ่านมาฉีกกระชากเป็นชิ้นๆ หรือต่อให้เจอห้องที่เหมาะสำหรับซ่อนตัวแต่ก็คงไม่อาจรอดอยู่ดีถ้าโดนซอมบี้เข้าโจมตี
“ภารกิจระดับทองแดงขั้นต่ำนี่เป็นภารกิจระดับต่ำที่สุดแท้ๆแต่ทำไมถึงได้ยากเย็นนักนะ...”
โจวเฉินในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมหลายๆคนบนฟอรั่มถึงได้มองโลกในแง่ร้ายกันนัก ภารกิจเอาชีวิตรอดกระทั่งว่าในระดับต่ำที่สุดก็ยังยากสุดขั้ว ในทุกๆครั้งมักจะมีหลายๆคนที่ถูกกำจัดและยิ่งความถี่ของภารกิจมันถี่มากขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งมีคนจำนวนมากขึ้นที่ทนรับแรงกดดันเช่นนี้ไม่ไหว
“ไม่ว่ายังไงเราก็ต้องรอดไปให้ได้ ทุกๆวินาทีที่ยังอยู่รอดก็ถือว่าเป็นกำไรแล้ว”
สภาพจิตใจของโจวเฉินดีกว่าเซอร์ไวเวอร์ส่วนใหญ่มากนัก เขาเคยตามาแล้วหนึ่งเนื่องจากอุบัติเหตุทางรถยนตร์ก่อนจะถูกส่งข้ามมิติมายังโลกใบนี้ซึ่งนั่นก็เท่ากับว่าเขาได้โอกาสใช้ชีวิตที่สองนั่นเอง เอาแค่เท่านี้ก็นับว่าเป็นกำไรสำหรับตัวเขาแล้ว
หลังจากจัดการขนมปังกับนมเสร็จสิ้นเขาก็ตัดสินใจนำคัมภีร์สีแดงในช่องเก็บของออกมาและฉีกมันทันที
คัมภีร์นี้ก็คือคัมภีร์กายาซึ่งเป็นรางวัลที่เขาได้มาจากภารกิจ มันสามารถเพิ่มค่าสถานะร่างกายให้กับเขาได้0.1แต้มซึ่งก็ถือว่าไม่น้อยเลย
เมื่อสัมผัสได้ว่าร่างกายของเขาแข็งแกร่งและทรงพลังขึ้นหลังจากที่คัมภีร์สีแดงถูกฉีกเป็นชิ้นๆโจวเฉินก็ทิ้งตัวลงบนเตียงและเตรียมจะนอนเพื่อพักผ่อน ก่อนที่จะหลับเขาก็เปิดหน้าต่างค่าสถานะขึ้นมาดูก่อนครั้งหนึ่ง
[ชื่อ : โจวเฉิน]
[ร่างกาย : 1.5]
[ความเร็ว : 1.4]
[จิตวิญญาณ : 1.6]
[พรสวรรค์ : ช่วงชิงสกิลติดตัว]
[สกิลติดตัว : พิษซากศพ(ขั้น1) , เสริมความเร็ว(ขั้น1) , เสริมจิตวิญญาณ(ขั้น1) , เสริมกายา(ขั้น1) , ศาสตร์การต่อสู้(ขั้น1) , ศาสตร์การใช้หอก(ขั้น1)]
[ความแข็งแกร่งโดยรวม : ทองแดงขั้นต่ำ]
“ความแข็งแกร่งโดยรวมนี่ยังไม่เปลี่ยนแฮะ...”
จากนั้นด้วยความเหนื่อยอ่อนเขาก็ผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อตื่นขึ้นมาเขาก็มองไปที่นาฬิกาปลุกและพบว่าเขานอนหลับไปกว่าสิบชั่วโมงจนมาตื่นอีกทีเอาช่วงบ่ายของอีกวัน
เมื่อคืนเขาหลับสบายเป็นอย่างยิ่ง หลังจากตื่นขึ้นมาเขาจึงรู้สึกว่าร่างกายเต็มไปด้วยพลังแต่ก็รู้สึกหิวนิดหน่อยเช่นกัน
“ไปกินบะหมี่เนื้อชั้นล่างแล้วกัน”
เนื่องจากในห้องเช่าของเขาไม่มีครัวและตัวเขาก็ขี้เกียจทำอาหารกินเองด้วยเขาจึงมุ่งหน้าลงไปชั้นล่างเพื่อหาอะไรทาน
เขาตรวจสอบความเรียบร้อยของเสื้อผ้าอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเปิดประตูเดินออกไปยังทางเดิน
เสื้อผ้าของเขาตอนนี้แตกต่างจากตอนที่อยู่ในเมืองซอมบี้มากนัก พวกมันทั้งสะอาดและปราศจากฝุ่นควันหรือคราบเลือดใดๆราวกับย้อนไปก่อนหน้าที่เขาจะเข้าสู่ภารกิจ
ยังไงก็ตามหลังจากที่ตรวจสอบอยู่ซักพักเขาก็พบว่ามีบางอย่างที่แตกต่างไปจากก่อนหน้านี้อยู่บ้าง กระเป๋ากางเกงข้างหนึ่งของเขามีรูขาดเล็กๆปรากฏอยู่ เขาจำได้ว่ารูนี่ก่อนที่จะเข้าสู่ภารกิจเอาชีวิตรอดมันไม่เคยมีอยู่มาก่อน มันน่าจะถูกอะไรบางอย่างเกี่ยวขาดตอนที่เขาหลบหนีจากพวกซอมบี้อยู่ภายในเมืองนั่นแหละ
“ดูเหมือนสิ่งที่พวกเซอร์ไวเวอร์พูดๆกันในฟอรั่มจะถูกต้อง ในระหว่างภารกิจเอาชีวิตรอดร่างกายของเราทั้งตัวจะถูกเคลื่อนย้ายไปยังโลกดันเจี้ยนและเมื่อกลับมาคราบและสิ่งสกปรกทุกอย่างจะถูกชำระล้างจนหมด”
สภาพร่างกายของโจวเฉินในปัจจุบันเองก็สอดคล้อมกับการคาดเดานี้ไม่น้อย นอกจากผมที่ค่อนข้างยุ่งแล้วเขาก็รู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบาย บนร่างกายไม่มีแม้แต่รอยเหงื่อหรือฝุ่นดินด้วยซ้ำมีเพียงบาดแผลเล็กๆน้อยๆที่ได้มาจากเมืองซอมบี้ก็เท่านั้น
“ตอนนี้ก็ยืนยันได้แล้วว่าสิ่งที่เขาคุยๆกันในฟอรั่มเป็นเรื่องจริง เราไม่สามารถนำอะไรจากดาวสีน้ำเงินไปยังดันเจี้ยนได้และก็ไม่สามารถนำอะไรออกมาจากดันเจี้ยนได้เช่นเดียวกัน มีเพียงไอเทมที่สร้างจากระบบเท่านั้นที่ไม่ถูกจำกัดโดยข้อจำกัดนี้ ส่วนในเรื่องของเวลานั้นตั้งแต่ที่เราเข้าไปจนออกมาจากโลกดันเจี้ยนเวลาในดาวสีน้ำเงินกลับไม่ขยับเลยแม้แต่วินาทีเดียว ถ้าจู่ๆก็มีคนหายตัวไปกลางวันแสกๆนั่นก็คงหมายความว่าเขาเข้าสู่ดันเจี้ยนและตายลงนั่นแหละ”
ขณะที่คิดสะระตะไปเรื่อยเปื่อยโจวเฉินก็มาถึงหน้าร้านขายบะหมี่ชั้นล่างเป็นที่เรียบร้อยและเขาก็ทำการสั่งบะหมี่เนื้อชามใหญ่มาสามชามเต็มๆ ใช้เวลาเพียงไม่นานบะหมี่ก็มาเสริฟจากนั้นเขาก็เริ่มเพลิดเพลินไปกับมื้ออาหารในทันที
หลังจากค่าสถานะหลากหลายชนิดเพิ่มขึ้นเขาก็รู้สึกได้เลยว่าความอยากอาหารภายในร่างกายเองก็เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน
“บะหมี่เนื้อชามใหญ่หนึ่งชามมีราคาอยู่ที่30เหรียญมังกร...สามชามก็ล่อไปเกือบ100เหรียญแล้ว...”
โจวเฉินรู้สึกขึ้นมาลางๆว่าค่าใช้จ่ายของเขาในปัจจุบันค่อนข้างสูงเกินไปหน่อย สำหรับคนว่างงานอย่างเขาเขาจึงรู้สึกเหมือนกับเอาเงินไปโปรยเล่น
“ช่างเหอะยังไงซะในตัวก็ยังเหลืออีก40,000กว่าๆ เงินจำนวนเท่านี้น่าจะพอใช้ไปอีกซักพัก”
จากนั้นเขาก็พลันนึกขึ้นมาได้ว่าเขาไม่ควรจะคิดเกี่ยวกับเรื่องเงินมากเกินไปนัก เงินสำหรับเขาในตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นเพียงสิ่งไร้ค่าเท่านั้น
“แต่นั่นก็ไม่ถูกต้องซะทีเดียว พวกเซอร์ไวเวอร์รวยๆสามารถใช้เงินซื้อไอเทมเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งได้นี่หว่า”
พอย้อนกลับมามองเงินที่จ่ายไปเป็นค่าบะหมี่โจวเฉินจึงรู้ตัวแล้วว่าเงินเองก็สำคัญสำหรับภารกิจเอาชีวิตรอดเช่นกันแต่นั่นต้องหมายถึงเงินจำนวนมากๆอ่ะนะ....
“หนุ่มน้อยเจอกันอีกแล้วนะ! ความอยากอาหารของเธอนี่ไม่น้อยเลย ดูเหมือนฉันจะดูคนไม่ผิด เธอเป็นอัจฉริยะทางด้านวิชายุทธจริงๆด้วย!”
ในเวลานี้เองเสียงของชายชราที่ฟังดูคุ้นๆก็ดังขึ้นมาจากทางด้านหลังของโจวเฉิน เมื่อเขาหันกลับไปมองก็พบว่าเจ้าของเสียงคือเจ้าของโรงฝึกเว่ยเจียง – หลิวเว่ยเจียงคนนั้นนั่นเอง!
เถ้าแก่หลิวผู้นี้มาในชุดธรรมดาสีดำ เขาเดินเข้ามาในร้านบะหมี่อย่างช้าๆราวกับว่ามาที่นี่เพื่อหาอะไรทานเช่นเดียวกับโจวเฉิน
“เถ้าแก่หลิวอย่าล้อเล่นเลย ผมเป็นแค่คนธรรมดาๆที่กินจุกว่าคนอื่นเล็กน้อยก็เท่านั้นไม่ได้มีความสามารถอะไรจะไปเรียนวิชายุทธกับคุณหรอก”
เมื่อโจวเฉินเห็นว่าชายชราเป็นฝ่ายเปิดประเด็นกับเขาเขาจึงเอ่ยออกไปอย่างชัดเจนเลยว่าตัวเขาไม่มีพรสวรรค์ใดๆทางด้านวิชายุทธเพราะเขารู้ดีว่าชายชราผู้นี้เป็นเพียงคนธรรมดาๆเท่านั้นหาใช่ปรมาจารย์แต่อย่างใด
“เฮ้อ น่าเสียดายจริงๆ หมัดเพลิงนรกของฉันคงไม่มีผู้สืบทอดซะแล้วสิ...”
ปรมาจารย์หลิวถอนหายใจออกมาเบาๆเมื่อเห็นว่าโจวเฉินปฏิเสธอย่างไม่ใยดี จากนั้นเขาก็นั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับโจวเฉิน
โจวเฉินรู้สึกพูดไม่ออกขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจด้วยความเสียดายจากอีกฝ่าย เขาเกือบจะสำลักบะหมี่ที่กินเข้าไปออกมาด้วยซ้ำเพราะเขาเคยเห็นไอ้วิชาที่เถ้าแก่หลิวผู้นี้เรียกว่าหมัดเพลิงนรกมาก่อน มันเป็นวิชาหลอกเด็กอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่เพียงแต่ไม่มีพลังทำลายเท่านั้นแต่กระทั่งการเคลื่อนไหวก็ยังสะเปะสะปะ ขนาดว่าเอาไปหลอกเด็กเผลอๆเด็กมันยังไม่เชื่อเลยด้วยซ้ำ
“เถ้าแก่หลิวถ้าอยากจะถ่ายทอดสุดยอดวิชาจริงๆก็ลองโพสต์วิดีโอลงในโลกออนไลน์ดูสิครับ”
เมื่อเห็นสีหน้ามืดหม่นของชายชราที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามโจวเฉินก็ลองแสดงความคิดเห็นดู เท่าที่เขารู้อะไรก็ตามที่ฟังดูเหนือธรรมชาติ ฟังดูผีๆสางๆหรือเกี่ยวข้องกับสัตว์ประหลาดมักจะเป็นที่นิยมในโลกไม่ว่าจะใบไหนก็ตาม ถ้าเถ้าแก่หลิวโพสต์วิดีโอลงในโลกออนไลน์บางทีอาจจะมีคนชอบก็ได้ ไม่แน่ว่าอาจจะมีคนที่สมองมีปัญหามาฝากตัวเป็นศิษของชายชราแซ่หลิวผู้นี้เลยด้วยซ้ำ