บทที่ 17: ข้าเข้าใจผิดไป…
บทที่ 17: ข้าเข้าใจผิดไป…
คำอธิบายของหลี่หมิงเฉียงนั้นละเอียดมาก เธอยังอธิบายเกี่ยวกับเป่ยฉิงซูอย่างอย่างละเอียด
อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังคงต้องการจะฟังในสิ่งที่เป่ยฉิงซูพูด
สถานการณ์ภาพรวมนั้นคล้ายคลึงกัน แต่จากมุมมองของเป่ยฉิงซูรายละเอียดนั้นก็ต่างออกไป
เขามาจากหนึ่งในตระกูลชั้นนำของโลก ผู้นำตระกูลคนปัจจุบันของพวกเขาคือบิดาของเขาเอง เขาเป็นบุตรชายคนโตผู้สืบเชื้อสายโดยตรง เขาฝึกฝนวรยุทธ์มาตั้งแต่ยังเด็ก และไม่ได้มีความตั้งใจที่จะไปเข้าร่วมการต่อสู้แต่อย่างใด
สำหรับการสำรวจดินแดนลึกลับโบราณ มันก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเขาซึ่งยังไม่ได้ทะลวงผ่านขอบเขตเซียนเทียนเลย
เหตุผลที่เขาต้องเป็นคนไปเชิญหลี่หมิงเฉิงมานั้นก็เป็นเรื่องบังเอิญล้วนๆ
ท้ายที่สุดแล้ว เขาก็เป็นชายหนุ่มเพียงคนเดียวในตระกูลที่เข้าร่วมการสำรวจ ในขณะที่สมาชิกคนอื่นๆ นั้นอยู่ในวัยสามสิบถึงสี่สิบกันหมดแล้ว มันไม่มีใครเหมาะที่จะไปเชิญองค์ชายหลี่หมิงเฉิงมามากเท่าเขาแล้ว
หรือบางที อาจเป็นเพราะพวกเขาแข็งแกร่งกว่าตระกูลเป่ย ดังนั้นตระกูลเป่ยจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเป็นคนทำงานนี้เอง
และนั่นจึงเป็นสาเหตุให้เป่ยฉิงซูกลายมาเป็นแพะรับบาปและตกเป็นเป้าหมายของจักรวรรดิอย่างในปัจจุบัน
ไม่เพียงแต่ภาพลักษณ์, วรยุทธ์และขาของเขาจะถูกทำลายลงเท่านั้น แต่พ่อของเขาเองก็ยังเริ่มตีตัวออกห่างจากเขาเพื่อปกป้องครอบครัว
แม้แต่ลูกหลานหรือคนรับใช้ที่เคยก้มหัวคำนับเขาก็ยังเริ่มเยาะเย้ยและนินทาเขาอย่างลับๆ บางคนถึงกับแพร่ข่าวลือว่าเขาเป็นคนที่ทำร้ายตระกูลเป่ย
มันเป็นความโชคร้ายของจริง!
เมื่อได้ยินดังนี้ หลี่หมิงเฉียงก็ตกตะลึง
เธอคิดมาเสมอว่าเป่ยฉิงซูเป็นหนึ่งในตัวการผู้สมรู้ร่วมคิดที่ใหญ่ที่สุด เธอไม่คาดคิดเลยว่าความจริงจะเป็นเช่นนี้
สำหรับว่าเป่ยฉิงซูจะโกหกหรือไม่นั้น มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอจะต้องสงสัย
เขาจะกล้าโกหกเมื่อต่อหน้าท่านปรมาจารย์เซียนได้อย่างไร?
นั่นเป็นเพียงการเขียนคำว่า 'ความตาย' ในอีกรูปแบบหนึ่ง!
ในตอนนี้ หลี่หมิงเฉียงก็เข้าใจในที่สุด แม้ว่าเป่ยฉิงซูจะเป็นคนเชิญพี่ชายของเธอไป แต่เป่ยฉิงซูก็ไม่ได้ทำอะไรผิดเลย
เขาแค่ตกเป็นแพะรับบาปก็เท่านั้น!
สิ่งนี้ทำให้เธอรู้สึกละอายแก่ใจ
ในความเห็นของเธอ เหตุที่ทำให้เป่ยฉิงซูต้องประสบกับเคราะห์กรรมที่น่าสังเวชเช่นนี้ก็เป็นผลมาจากการพยายามอ้อนวอนอย่างไม่ลดละของตัวเธอเอง
ซุยเฮ็งสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าของหลี่หมิงเฉียง เขาสามารถบอกได้ทันทีว่าเด็กหญิงตัวเล็กกำลังคิดอะไรอยู่ เขายิ้มและส่ายหัว แต่กระนั้นเขาก็ไม่ได้พูดอะไร
จากสิ่งที่หลี่หมิงเฉียงและเป่ยฉิงซูได้กล่าวมาข้างต้น ความขัดแย้งระหว่างตระกูลขุนนางภายใต้สำนักเซียนกับราชวงศ์ต้าโจวนั้นก็ใหญ่โตมาก
แม้จะไม่มีหลี่หมิงเฉียงที่คอยเติมเชื้อเพลิงให้กับกองไฟ แต่มันก็ยังเป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้นก่อนที่จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิต้าโจวจะเคลื่อนไหวเผด็จศึกเข้าสักวัน
และเมื่อถึงเวลานั้น เป่ยฉิงซูก็น่าจะเป็นคนแรกที่ตกเป็นเหยื่อ
อย่างไรก็ตาม จากการวิเคราะห์สถานการณ์ในตอนนี้ สิ่งที่เขาสนใจอย่างแท้จริงก็คือสิ่งที่เรียกว่า 'ขอบเขตเซียนเทียน'
ขอบเขตเซียนเทียนคืออะไร?
ขอบเขตวรยุทธ์?
อะไรคือความแตกต่างระหว่างขอบเขตเทพและเซียนมนุษย์ที่หลี่หมิงเฉียงได้เคยกล่าวถึง?
เขาอยากรู้อยากเห็นมาก
แต่กระนั้น เขาก็ไม่สามารถถามได้โดยตรง
สิ่งนี้ทำให้ซุยเฮ็งนึกถึงหงฟู่กุ่ยและเจียงฉีฉี เด็กสองคนนั้นยังเกลี้ยกล่อมได้ง่ายกว่า
“ก่อนหน้านี้ข้าเข้าใจผิดไป ข้าต้องขอโทษนายน้อยเป่ยมา ณ ที่นี้ด้วย” หลี่หมิงเฉียงเป็นฝ่ายเริ่มที่จะขอโทษเป่ยฉิงซูก่อน เธอสัญญาว่าเธอจะชดเชยให้เขาในอนาคต
“…” เป่ยฉิงซูนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะพยักหน้า “ดีแล้วที่องค์หญิงเข้าใจเรื่องนี้”
เขายังคงมีความโกรธอยู่ในใจ แต่นี่ก็เป็นเรื่องปกติมาก
“หากพวกเจ้ายังมีความขัดแย้งใดๆ พวกเจ้าก็จงจัดการมันด้วยตัวเองเมื่อออกไปจากที่นี่แล้ว” ซุยเฮ็งเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและกวาดสายตามองพวกเขาทั้งสอง ก่อนที่เขาจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เอาล่ะ พวกเจ้าเป็นแขกที่มากันเหนื่อยๆ มาทานอาหารกันก่อนสิ”
อาหารมื้อนี้อาจจะถือเป็นการกำหนดทิศทางในอีกสิบวันข้างหน้า
เป่ยฉิงซูและหลี่หมิงเฉียงรู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด พวกเขารีบขอบคุณเขาและนั่งลง
อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่ามันมีอาหารเพียงจานเดียวเท่านั้นบนโต๊ะ และมันก็คืออาหารที่ซุยเฮ็งปรุงขึ้นมาเอง
สิ่งนี้ทำให้พวกเขาสงสัยและรู้สึกทำตัวไม่ถูก
อย่างไรก็ตาม ในขณะนั้น จู่ๆ ลำแสงสีทองก็สว่างขึ้นที่หน้าโต๊ะอาหาร จากนั้นคนรับใช้สุดแกร่งที่สูงสามเมตรก็ปรากฏตัวขึ้นในทันใด
เขาคำนับไปทางซุยเฮ็งด้วยความเคารพ “คารวะท่านเซียน”
จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นและโบกมือของเขา ในพริบตาเดียว อาหารก็ได้ปรากฏขึ้นต่อหน้าเป่ยฉิงซูและหลี่หมิงเฉียง
และจากนั้นเขาก็กลายเป็นแสงสีทองและหายตัวไป
สถานการณ์ดังกล่าวสร้างความตกตะลึงให้กับพวกเขาทั้งสอง ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
พวกเขาไม่เคยเห็นฉากอันน่าอัศจรรย์แบบนี้มาก่อน
เมื่อกี้นี้มันอะไรกัน?!
ชายร่างกำยำคนเมื่อกี้จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นแล้วก็หายลับไปในพริบตา แม้แต่ผู้อาวุโสจากสำนักเซียนก็ยังไม่มีความสามารถดังกล่าว
นอกจากนี้ เมื่อดูจากรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายแล้ว ชายร่างกำยำคนนั้นก็น่าจะเป็นเพียงคนรับใช้ของท่านปรมาจารย์เซียนเท่านั้น?
นี่หมายความว่าแม้แต่ผู้อาวุโสจากสำนักเซียนก็ยังไม่สามารถเทียบได้กับคนรับใช้ของท่านปรมาจารย์เซียนอย่างงั้นหรอ?
เป่ยฉิงซูและหลี่หมิงเฉียงตกใจกับความคิดของพวกเขาเอง
สายตาของพวกเขาที่จ้องมองไปยังซุยเฮ็งนั้นเต็มไปด้วยความเคารพมากยิ่งขึ้น
ครู่หนึ่ง พวกเขาทั้งสองก็เริ่มมีความคิดที่แตกต่างกัน
หลังจากได้พบกับปรมาจารย์เซียนผู้ลึกลับและทรงพลัง พวกเขาจะทำเพียงแค่พูดคุยและรับประทานอาหารอย่างงั้นหรอ?
แน่นอนว่าไม่ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากซุยเฮ็งไม่ได้พูดอะไร ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าที่จะเปิดปากพูดออกไปเช่นกัน
พวกเขาทำได้เพียงนั่งตัวตรงและกินอาหารตรงหน้าอย่างเชื่อฟัง พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะทำข้าวตกลงบนโต๊ะแม้แต่เม็ดเดียว
หลังอาหารเย็น
จู่ๆ ซุยเฮ็งก็เปิดปากของเขาและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าใช้ชีวิตอย่างสันโดษและไม่ได้เข้าสู่โลกมนุษย์มานานแล้ว ข้าไม่รู้ว่าต้าโจวคืออะไร และไม่รู้ว่าสำนักเซียนหรือกลุ่มขุนนางชั้นสูงคืออะไร ข้ายังต้องขอบคุณพวกเจ้าทั้งสองคนที่บอกข้าเกี่ยวกับโลกภายนอก”
เมื่อได้ยินคำพูดของซุยเฮ็ง ปฏิกิริยาแรกของเป่ยฉิงซูและหลี่หมิงเฉียงก็คือท่านปรมาจารย์เซียนเป็นผู้ฝึกตนโบราณจริงๆ ด้วย
ไม่เพียงแต่เขาจะไม่รู้เกี่ยวกับต้าโจวเท่านั้น แต่เขายังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสำนักเซียนอีกด้วย!
ปฏิกิริยาที่สองของพวกเขาคือการยืนขึ้นและปฏิเสธคำขอบคุณของเขาในทันที
พวกเขาจะกล้ารับคำขอบคุณจากปรมาจารย์เซียนได้อย่างไร!
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ซุยเฮ็งพูดต่อไปก็ทำให้พวกเขารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง
พวกเขารู้สึกราวกับว่าพายขนาดใหญ่ได้ตกลงมาจากบนท้องฟ้าและตกลงใส่ปากของพวกเขาพอดี
“เนื่องจากพวกเจ้าอธิบายสถานการณ์ในโลกภายนอกให้ข้าฟัง ดังนั้นข้าก็ควรจะหาอะไรมาตอบแทนพวกเจ้าสักหน่อย”
ซุยเฮ็งยิ้มและพูดต่อว่า “อย่างไรก็ตาม ข้าก็อยู่คนเดียวมานานและไม่มีสมบัติอะไรติดตัวเลย ทำไมพวกเจ้าไม่บอกข้ามาล่ะว่าพวกเจ้าต้องการอะไร? หากข้ามอบให้ได้ ข้าก็จะให้”
พรึ่บ!
หลี่หมิงเฉียงคุกเข่าลงในทันทีที่คำพูดของเขาดังขึ้น
“เคล็ดวิชาวรยุทธ์เซียนได้ถูกควบคุมโดยสำนักเซียน มันมีเส้นทางสู่การเป็นเซียนตั้งอยู่ข้างหน้าอย่างชัดเจน แต่ผู้คนบนโลกก็กลับไม่สามารถผ่านมันไปได้ ท่านปรมาจารย์เซียนผู้ยิ่งใหญ่ โปรดสอนวิธีการเป็นเซียนให้กับผู้น้อยคนนี้ด้วย!” องค์หญิงหยงอันแสดงความเคารพอย่างสูงในขณะที่เธอโค้งคำนับให้กับซุยเฮ็ง
เป่ยฉิงซูที่ยืนอยู่ด้านข้างตกตะลึง เขาไม่ได้คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะลงมือเร็วขนาดนี้
เขายังไม่ทันคิดเลยว่าเขาจะพูดขออะไรดี แต่เธอก็ได้พูดมันจบลงไปแล้ว!
มุมปากของซุยเฮ็งโค้งงอขึ้นเมื่อเขาได้ยินสิ่งนี้ แต่กระนั้นเขาก็ไม่ได้ตอบตกลงในทันที เขาเลือกที่จะถามกลับแทน “ทำไมเจ้าถึงอยากเป็นเซียน?”
“การเป็นเซียนเท่านั้นที่จะทำให้ข้ามีชีวิตอยู่ตลอดไปได้!” หลี่หมิงเฉียงจ้องมองอย่างแน่วแน่ในขณะที่เธอกล่าวว่า “ผู้น้อยได้ยินมาจากพระบิดาว่าหากสมาชิกในราชวงศ์สิ้นพระชนม์ ตะเกียงวิญญาณในพระราชวังที่เชื่อมโยงกันก็จะดับลง และแม้ว่าพี่ชายของข้าจะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย แต่ตะเกียงวิญญาณของเขาก็ยังไม่ดับ เขายังมีชีวิตอยู่!”
“ข้าไม่รู้ว่าเขาถูกส่งไปที่ไหน แต่ข้าก็อยากจะรอเขา! ข้าต้องการเคล็ดวิชาเซียนไม่ใช่เพื่อจะกลายเป็นเซียน แต่เพื่อจะรอการกลับมาของเขาบนโลกมนุษย์ใบนี้!”
“…” คราวนี้เป็นซุยเฮ็งที่เงียบลง
พูดได้ดีเหลือเกิน!
เด็กหญิงตัวเล็กคนนี้อาจจะกลายเป็นจักรพรรดินีผู้ยิ่งใหญ่ได้ในสักวันหนึ่ง!
อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังคงไม่ลืมเป้าหมายของเขา หลังจากสงบสติอารมณ์ลง เขาก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “มันไม่ผิดที่จะการแสวงหาเส้นทางสู่ความเป็นอมตะ อย่างไรก็ตาม ข้าได้แยกตนออกมาจากโลกเป็นเวลานานแล้ว ดังนั้นวิธีการที่ข้าใช้ฝึกตนจึงย่อมแตกต่างจากพวกเขา ข้าเกรงว่าพวกมันคงจะไม่เหมาะกับพวกเจ้าเลยสักทีเดียว”
“งั้นผู้น้อยคนนี้จะบอกท่านเกี่ยวกับวรยุทธ์บนโลกเท่าที่ผู้น้อยรู้!” หลี่หมิงเฉียงพูดโดยไม่ต้องคิด ราวกับว่าเธอได้คิดแผนเอาไว้มานานแล้ว
“ในกรณีนี้…” ซุยเฮ็งพยักหน้าเบาๆ และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “งั้นก็ได้”