ตอนที่แล้วตอนที่ 370 ความเข้าใจระหว่างปะทะฝีมือ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 372 เข้าเมือง

ตอนที่ 371 คำแนะนำของถังโฉ่ว


ถังเทียนใช้มือลูบคลำใบหน้าที่ปูดบวมเต็มไปด้วยรอยเท้าด้วยความรู้สึกตกใจ  เป็นภาพที่ดูตลกจนพูดไม่ออก ด้านข้างเขาหลิงซิ่วและอาเฮ่อมีสีหน้าขรึมดูปลอดโปร่ง

“นี่ใครทำ?” หลิงซิ่วอดถามไม่ได้ เขากวาดสายตาไปที่ซากอสูรดวงดาว และรู้สึกแต่เพียงบรรยากาศที่หนาวสะท้าน

ที่อยู่ต่อหน้าพวกเขาเป็นซากศพจำนวนมากยาวเหยียด

อาเฮ่อแตะเลือดบนพื้นและพูดอย่างเคร่งขรึม  “พวกมันตายมาราวๆ สองสัปดาห์”

“สองสัปดาห์?” ถังเทียนชูนิ้วและนับเงียบๆ ชั่วขณะ จากนั้นพูดอย่างประหลาดใจ “เฮ้,นั่นเป็นช่วงเวลาที่พวกเราอยู่ในช่วงนั่งฝึกพลัง มิน่าเล่าเราถึงไม่รู้สึกอะไร ถ้าข้าตื่นขึ้น ข้าคงได้ไล่จับเขาแน่”

“แค่เพียงเจ้าน่ะหรือ?”  หลิงซิ่วมองเขาอย่างรังเกียจ  แต่เมื่อเห็นหน้าบวมเหมือนหมูของถังเทียน  เขารู้สึกสะใจมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งถังเทียนไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งหนึ่ง  หลิงซิ่วเกือบเผลอตัวหัวเราะสองสามครั้ง  เมื่อพูดถึงเรื่องนั้น  เขาต้องชื่นชมอาเฮ่อ เจ้าคนหน้ามึนนั่นสีหน้าไม่เปลี่ยนสักนิดทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  ข้าต้องระมัดระวังเขาไว้   เขาดูสง่างามแต่ท้องของเขาเต็มไปด้วยของสกปรก บางทีอาจใจดำอีกด้วย...”

หลิงซิ่วคิดอยู่เงียบๆขณะที่มองดูทั้งสองคน

“ใช่แล้ว! จะเล็ดรอดผ่านหนุ่มน้อยชาวฟ้านี้ได้  นั่นคงต้องมีความปรารถนาแรงกล้าจริง”  ถังเทียนแหงนหน้าสีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความภูมิใจในตนเอง

หลิงซิ่วไม่อาจทนได้อีกต่อไปเขาหลบไปอยู่ข้างๆ ขณะกุมท้องหัวเราะลั่น

อาเฮ่อกระแอมเบาๆพยายามดึงความสนใจถังเทียน  “เฮ้,เจ้าพลาดจุดสำคัญของเรื่องไปนะ คนผู้นั้นเป็นใคร? เขาเข้ามาเมื่อไหร่? วัตถุประสงค์ของเขาคืออะไร?”

เป็นไปตามคาดคนผู้นั้นไม่กลัวคู่ต่อสู้หนุ่มชาวฟ้า แต่กลัวสหายที่เหมือนหมูมากกว่า “ต่อไปข้าต้องคิดให้รอบคอบ ถ้าต้องแกล้งใครพร้อมกับหลิงซิ่ว”

เรื่องเดียวที่นับว่ายังโชคดีก็คือระดับปัญญาของหนุ่มชาวฟ้าและหลิงซิ่วถือว่าอยู่ในระดับเดียวกัน....

แค่กแค่ก แค่ก เป็นอะไรไป ตอนนี้ความสนใจของข้าควรจะอยู่ที่ยอดฝีมือลึกลับ  ไม่ใช่ถูกเจ้าปัญญาอ่อนทั้งสองคนก่อกวน

จากนั้นอาเฮ่อเริ่มไตร่ตรอง  แต่ความคิดของเขาถูกเสียงตะโกนของถังเทียนขัดจังหวะ

“หวาๆๆ!แก่นพลังวิญญาณตั้งมากมาย! ที่นี่ก็มี  นี่ก็มีด้วย พวกมันเป็นอสูรดวงดาวระดับแปดทั้งนั้น ของพวกนี้มีค่ามาก”

แก่นพลังวิญญาณ?

อาเฮ่อสะดุ้งและเริ่มไตร่ตรอง “คนผู้นั้นไม่เอาแก่นพลังวิญญาณไปเลยซึ่งก็หมายความว่าไม่สนใจเรื่องเงิน เขาไม่ได้ทำร้ายเรา หมายความว่าไม่มีความเป็นปฏิปักษ์กับเรา  ความคิดของเขาละเอียดรอบคอบตัดสินจากซากศพที่ล้ม เขาสามารถบอกได้ว่าคนผู้นั้นเข้ามาจากกลุ่มดาวหมาป่า

อสูรดวงดาวระดับแปดค่อนข้างมีปัญญา  เมื่อพบกับศัตรูที่แข็งแกร่งกว่ามาก  พวกมันคงแตกกระจายและถอยหนีแน่นอน

กวาดสายตามองไปทางน้ำท้ายๆไม่มีอสูรที่มีชีวิตให้เห็นสักตัว

ภาพเหตุการณ์ที่เห็นต่อหน้า  มีความเป็นไปได้สองประการ

ความเป็นไปได้ประการแรก  คนผู้นั้นมีความแข็งแกร่งมากสังหารอสูรดวงดาวระดับแปดหรือเก้าได้เหมือนกับเป่าฝุ่น

ประการที่สองนิสัยของคนผู้นั้นโหดเหี้ยมและดุร้าย เมื่อเริ่มฆ่าเขาจะต้องฆ่าให้หมด

สีหน้าของอาเฮ่อเคร่งเครียดไม่ว่าจะมีความเป็นไปได้แบบไหนก็ตาม ทั้งสองอย่างล้วนน่ากลัวทั้งนั้น สังหารอสูรดวงดาวระดับแปดหรือเก้าเหมือนกับตัดหญ้านั่นต้องแข็งแกร่งมากจริงๆ และต่อให้พวกเขาทั้งสามร่วมมือกันก็คงไม่ใช่คู่มือของเขาแน่  และถ้าเขาเป็นคนโหดเหี้ยมอำมหิต  คนฟั่นเฟือนแบบนั้นคงไม่มีใครต้องการยุ่งเกี่ยวกับเขา

แต่เป็นเรื่องดีที่เขาไม่มีความเป็นศัตรูกับพวกเขา  ถ้าไม่อย่างนั้นพวกเขาคงตายไปนานแล้ว

ใจของอาเฮ่อสงบลง

ทันใดนั้นถังเทียนพูดขึ้นอย่างจริงจัง “ไม่ เราจะปล่อยให้เสียไปเปล่าๆ ไม่ได้”

ทั้งสองคนมองดูเขาพร้อมกันไม่รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร

“แก่นพลังวิญญาณสามารถขายทำเงินได้มาก ซากของอสูรดวงดาวคือสมบัติทั้งนั้นและมีซากศพของพวกมันตั้งมากมาย ข้าสงสัยว่าจะขายทำเงินได้มากมายเพียงไหน?”  ถังเทียนกล่าว

อาเฮ่อมีสีหน้าละอาย  “อย่างนั้นเราจะทำยังไง?”

ถังเทียนคล้ายตักตวงทุกอย่างเข้ามาไว้ในอ้อมแขนของเขา  “เราจะเก็บไปทั้งหมด”

“กะ..เก็บไปทั้งหมด?”  อาเฮ่อมองดูซากนับไม่ถ้วนที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วทางเดินหลั่งเหงื่อจากหน้าผากไม่ขาดสาย “มีมากมายเกินไป เราจะขนไปยังไงไหว?”

“ข้ามีตู้อควาเรียสอยู่หลายใบ”  ถังเทียนล้วงตู้อควาเรียสออกมาจากตัว...

ทั้งหมดนั้นเป็นสินสงครามของเขาและมันมีความโดดเด่นอย่างแท้จริง เขาล้วงออกมาทั้งหมดกองเป็นภูเขาย่อมๆ

อาเฮ่อและหลิงซิ่วอดหัวเราะไม่ได้

สิบวันต่อมา

เมื่อพวกเขาเดินออกมาจากทางน้ำ  หน้าของพวกเขาซีดขาว  ดูเหมือนว่าแทบจะทรุดตัวลงทันที  แต่ละคนถือตู้อควาเรียสเงินหลายใบ  ทั้งหมดฉายแสงสีเงินสว่างแพรวพราว

ตู้อควาเรียสเงินสามารถบรรจุของได้มากมายหลายอย่างและช่วยลดน้ำหนักได้อีกมาก แต่ไม่มากไปกว่าน้ำหนักของมันเอง  ตู้อควาเรียสเงินทั้งหมดถูกยัดสัมภาระไว้เต็มและยังต้องขนไปด้วยกัน จึงมีน้ำหนักที่มาก

หลิงซิ่วและอาเฮ่อแทบจะทรุดล้มลงเพราะความเหนื่อยล้า  ทั้งสองคนไม่เหลือเรี่ยวแรงในร่างกายต่อไป  อาเฮ่อฝึกวิชากระบี่ชั้นสูง  เขาไม่เคยใช้แรงงานหนักมาก่อน วิชาหอกของหลิงซิ่วน่ากลัวแต่ต้องอาศัยพลังนิ้วของเขา

ตู้อควาเรียสเงินแต่ละใบมีซากอสูรดวงดาวเกินกว่าร้อย

ตู้อควาเรียสทั้งหมดที่ถังเทียนมีเป็นของคุณภาพดีที่สุดและด้วยตู้อควาเรียสนี้เอง น้ำหนักจึงมีเพียงหนึ่งในสิบของน้ำหนักเดิม ตู้อควาเรียสเงินทุกใบรับน้ำหนักอสูรดวงดาวเพิ่มได้สิบตัว  อาเฮ่อแบกตู้อควาเรียสสิบเอ็ดใบขณะที่หลิงซิ่วแบกสิบสามใบ

สำหรับพวกเขาที่แบกซากอสูรดวงดาวเกินร้อยตัวเป็นเวลากว่าสิบวัน  จะทำให้พวกเขาเหนื่อยล้าเพียงไหน?

แต่ทั้งสองคนละอายเกินกว่าจะบอกว่าพวกเขาเหนื่อยหรือพูดเช่นนั้นเป็นเรื่องขมขื่น เพราะถังเทียนเองก็แบกตู้อควาเรียสถึงสามสิบสองใบมากกว่าทั้งสองคนรวมกันเสียอีก ทั้งสองคนมีความหยิ่งภาคภูมิใจ ดังนั้นพวกเขาจะยอมรับความพ่ายแพ้ได้อย่างไร? พวกเขาได้แต่เพียงเก็บลิ้นทนกล้ำกลืนให้ถังเทียนบ่นด่าว่าพวกเขาว่าช้าเหมือนเต่าและพูดว่ามีแต่อาโมรี่ที่มีกำลังดีกว่า เขาสามารถแบกทุกอย่างด้วยตัวเองได้

นักรบคนหนึ่งฆ่าได้หยามไม่ได้!  ทั้งสองคนดึงพลังของตนออกมาใช้จนถึงที่สุด

เมื่อทั้งสองคนเห็นแสงส่องมาจากปากทางออกด้านหน้า  พวกเขาดีใจ

ทางน้ำจี้ชิวถูกผนึกมาเกินร้อยปีและซากอสูรดวงดาวทั้งหมดถูกพวกเขารวบรวมไว้ไม่ขาดไปสักตัว

เมื่อออกจากทางเข้าหลิงซิ่วและอาเฮ่อไม่สามารถทนได้อีกต่อไป พวกเขาโยนตู้อควาเรียสเงินลงบนพื้นแล้วรีบนอนแผ่ทันทีแม้แต่อาเฮ่อที่ระมัดระวังมารยาทตัวเองก็ยังไม่สนใจว่าพื้นจะนิ่มนวลหรือไม่

ถังเทียนก็เหนื่อยจัดเช่นกัน ตู้อควาเรียสสามสิบสองใบก็เหมือนซากอสูรภูตดวงดาวสามร้อยตัวที่กองเป็นภูเขาเนื้อ  แม้ว่าเขามีความแข็งแรงโดยธรรมชาติแต่มันก็ยังส่งผลต่อเขาอยู่ดี

แต่เขาไม่ได้หลบนี่คือพื้นที่ต่างถิ่นและพวกเขาจำเป็นต้องมีคนยืนคุ้มกัน  เขานั่งขัดสมาธิและกระตุ้นปราณแท้ของเขาช้าๆ

หลังจากผ่านไปสองชั่วโมง  เขาลืมตาที่เต็มไปด้วยความยินดีสิบวันของการใช้แรงงานใช่ว่าไม่ได้อะไร เนื้อหนังของเขาแข็งแรงขึ้นเพลิงดำมิติว่างและหัวใจน้ำแข็งฟ้าซึ่งมีทั้งความร้อนและเย็นช่วยให้กล้ามเนื้อของเขามีความยืดหยุ่นเหมือนกับเชือกเหล็กสลิง

พลังของเขาเพิ่มขึ้นทีละนิด

เขาไม่คิดเลยว่าเพลิงดำมิติว่าและหัวใจน้ำแข็งฟ้าจะใช้ประโยชน์อย่างนั้น

ถังเทียนมีความสุขร่างกายที่ฝึกฝนคืออาวุธที่ดีที่สุด ยอดฝีมือองค์การวิญญาณมืดมีร่างกายแข็งแรงจนถึงระดับสูงสุดซึ่งแม้แต่ดาบกระบี่ก็ยังทำร้ายพวกเขาไม่ได้ พวกเขาไม่ต้องใช้วิชาตัวเบาและมีความเร็วมากอยู่แล้ว นั่นเป็นเพราะการระเบิดพลังที่น่ากลัวของเลือดเนื้อและกล้ามเนื้อของพวกเขา

ถังเทียนไม่ได้คาดว่าจะมีร่างที่แข็งแกร่งน่ากลัวอย่างนั้น  แต่ร่างกายที่แข็งแรงสำหรับนักสู้ระยะประชิดนั้นมีประโยชน์มาก

ท้องฟ้ามืดมิดเมื่อเห็นอีกสองคนหลับอย่างสบาย ความรู้สึกอบอุ่นเพิ่มขึ้นในดวงตาของถังเทียน

ไม่ว่าเขาอยู่ที่ไหน  ทุกคนก็จะอยู่ที่นั่นกับเขา

สงสัยจริงว่าลุงปิงกับพวกที่เหลือกำลังทำอะไรกัน

**********************

“หัวข้อหลักของชั้นเรียนนี้ที่จะพูดก็คือวิธีพัฒนาวิทยายุทธให้มีอิทธิพลต่อสนามรบ  ประการแรก ข้าจำเป็นต้องประกาศว่าข้ามีความเชี่ยวชาญเรื่องสงครามและการรบยุคเก่าโบราณ  ดังนั้นข้าจึงไม่ค่อยมีความรู้ในการเรียนการค้นคว้ารูปแบบการต่อสู้ของยุคปัจจุบัน  ถ้าผิดพลาดประการใด  เชิญบอกข้าได้ตามตรง  ถ้าอย่างนั้น เรามาดูกัน ขั้นตอนพัฒนาวิทยายุทธที่มีผลและความเกี่ยวข้องของขั้นตอนวิทยายุทธและสิ่งที่มีอิทธิพลซึ่งพวกเขาสามารถนำมาใช้ได้ในแง่สงคราม”

บนเวทีถังโฉ่วจัดการเรียนอย่างเป็นระบบ และนักเรียนข้างล่างจะฟังอย่างตั้งใจพวกเขาไม่ได้รู้สึกรังเกียจแม้แต่น้อยเพราะอาจารย์ผู้สอนเป็นขุนพลวิญญาณผู้นำทหาร หลังจากสอนไปสองสามชั้นพวกเขาให้ความเคารพอาจารย์ขุนพลวิญญาณผู้นำทหารเป็นอย่างสูง

ปิงอยู่ข้างนอกมองดูอยู่เงียบๆ  หัวใจเขาเต็มไปด้วยอารมณ์ตื้นตัน  ถังโฉ่วและฟงโฉ่วแตกต่างกันอย่างมากมาย แต่มีลักษณะหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือทั้งสองนั้นพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีว่าพวกเขามาจากต้นกำเนิดเดียวกันและนั่นก็คือความจริงจังของพวกเขา

ปิงไม่ได้เป็นคนจัดชั้นเรียน  แต่เป็นถังโฉ่ว และเหตุผลของเขาถูกต้อง  ความสงบในคนรุ่นปัจจุบันมีมานานเกินไป  และนักเรียนอาจมีพลังที่มั่นคง  แต่ความเข้าใจของเขาในเรื่องสนามรบเป็นศูนย์

สำหรับกองทัพหนึ่งๆนั่นเป็นเรื่องน่ากลัวมาก

ปิงเห็นด้วยกับคำแนะนำของถังโฉ่ว และตัดสินใจมันจะเป็นรูปแบบเบื้องต้นของสถาบันนายทหารขนาดเล็ก   ถ้าเป็นในอดีต  ความคิดเอานายทหารระดับประทวนมารับหน้าที่อาจารย์สอนเป็นความคิดที่คาดไม่ถึง

แต่ปิงรู้สึกว่าถังโฉ่วทำได้ดี  บุคลิกของถังโฉ่วอดทนและไม่ชักช้าแต่จะดำเนินการเพื่อประโยชน์ของนักเรียนของเขาอย่างจริงจังและฉลาดมากกว่าถังอี้

การเรียนการสอนจบอย่างรวดเร็ว  นักเรียนทุกคนออกจากห้อง  พวกเขายังคงมีหัวข้อฝึกอีกมาก

เมื่อเห็นปิงถังโฉ่วทักทายทันที “ใต้เท้า!”

ปิงรั้งสายตากลับจากนักเรียนซึ่งดูมีชีวิตชีวาและหันมาทักทายกลับ“ผลเป็นยังไงบ้าง?”

“ปัจจุบันนี้ดูดีขอรับ  แต่จะทดสอบผลการฝึกจริงๆ เราจำเป็นต้องทดสอบพวกเขาผ่านการรบที่เหมาะสม”  ถังโฉ่วรอบคอบมาก

ปิงเงียบชั่วครู่จากนั้นตอบ “พวกเขาไม่ใช่แกนกลางของกองทัพ เจ้าไม่ต้องทำมากขนาดนั้นก็ได้”

ถังโฉ่วเงียบไปชั่วขณะ  จากนั้นตอบ “ข้าน้อยทราบดี ตำแหน่งในอนาคตของพวกเขาเป็นเรื่องที่ใต้เท้าจะต้องคิด    สิ่งที่ข้าน้อยต้องพิจารณาก็คือ ทำงานของตัวเองให้ดีที่สุด

ปิงผงกศีรษะ  จากนั้นเปลี่ยนหัวข้อ  “กองกำลังเหล่านี้ต้องใช้เวลานานเท่าใด?”

“ประมาณครึ่งปีขอรับที่พวกเขาจะสำเร็จความรู้ตั้งขบวนต่อสู้พื้นฐานทั้งหมด”  ถังโฉ่วประมาณการแบบอนุรักษ์นิยม

คราวนี้ปิงคิดนานแต่เขาไม่ปฏิเสธ และถามขึ้นมา “ถ้าเจ้าต้องเลือกเป้าหมายให้ตระกูลม่อ  เจ้าจะเลือกกลุ่มดาวไหน?”

ถังโฉ่วตอบ“กลุ่มดาวเตาหลอม”

“กลุ่มดาวเตาหลอม?”  ปิงประหลาดใจ

“ขอรับ ใต้เท้า!” แสงราศีที่น่าทึ่งฉายอยู่ในดวงตาของถังโฉ่ว  “มีรากฐานโรงตีเหล็กที่แข็งแกร่งอยู่ที่นั่นและมีชิ้นจิตวิญญาณยุทธอยู่ที่นั่นมากมาย มันเหมาะสำหรับอาวุธจักรกลวิญญาณ ถ้าเราสามารถครอบครองที่นั่นได้ เราจะสามารถขยายกิจการได้เร็ว และพลังท้องถิ่นก็ไม่กล้าแข็งเกินไป”

สายตาของปิงเป็นประกายและเขากล่าว“ไปทำตามแผนเถอะ”

“ขอรับ” ถังโฉ่วตอบด้วยความเคารพ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด