ตอนที่ 371 คำแนะนำของถังโฉ่ว
ถังเทียนใช้มือลูบคลำใบหน้าที่ปูดบวมเต็มไปด้วยรอยเท้าด้วยความรู้สึกตกใจ เป็นภาพที่ดูตลกจนพูดไม่ออก ด้านข้างเขาหลิงซิ่วและอาเฮ่อมีสีหน้าขรึมดูปลอดโปร่ง
“นี่ใครทำ?” หลิงซิ่วอดถามไม่ได้ เขากวาดสายตาไปที่ซากอสูรดวงดาว และรู้สึกแต่เพียงบรรยากาศที่หนาวสะท้าน
ที่อยู่ต่อหน้าพวกเขาเป็นซากศพจำนวนมากยาวเหยียด
อาเฮ่อแตะเลือดบนพื้นและพูดอย่างเคร่งขรึม “พวกมันตายมาราวๆ สองสัปดาห์”
“สองสัปดาห์?” ถังเทียนชูนิ้วและนับเงียบๆ ชั่วขณะ จากนั้นพูดอย่างประหลาดใจ “เฮ้,นั่นเป็นช่วงเวลาที่พวกเราอยู่ในช่วงนั่งฝึกพลัง มิน่าเล่าเราถึงไม่รู้สึกอะไร ถ้าข้าตื่นขึ้น ข้าคงได้ไล่จับเขาแน่”
“แค่เพียงเจ้าน่ะหรือ?” หลิงซิ่วมองเขาอย่างรังเกียจ แต่เมื่อเห็นหน้าบวมเหมือนหมูของถังเทียน เขารู้สึกสะใจมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งถังเทียนไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งหนึ่ง หลิงซิ่วเกือบเผลอตัวหัวเราะสองสามครั้ง เมื่อพูดถึงเรื่องนั้น เขาต้องชื่นชมอาเฮ่อ เจ้าคนหน้ามึนนั่นสีหน้าไม่เปลี่ยนสักนิดทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ข้าต้องระมัดระวังเขาไว้ เขาดูสง่างามแต่ท้องของเขาเต็มไปด้วยของสกปรก บางทีอาจใจดำอีกด้วย...”
หลิงซิ่วคิดอยู่เงียบๆขณะที่มองดูทั้งสองคน
“ใช่แล้ว! จะเล็ดรอดผ่านหนุ่มน้อยชาวฟ้านี้ได้ นั่นคงต้องมีความปรารถนาแรงกล้าจริง” ถังเทียนแหงนหน้าสีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความภูมิใจในตนเอง
หลิงซิ่วไม่อาจทนได้อีกต่อไปเขาหลบไปอยู่ข้างๆ ขณะกุมท้องหัวเราะลั่น
อาเฮ่อกระแอมเบาๆพยายามดึงความสนใจถังเทียน “เฮ้,เจ้าพลาดจุดสำคัญของเรื่องไปนะ คนผู้นั้นเป็นใคร? เขาเข้ามาเมื่อไหร่? วัตถุประสงค์ของเขาคืออะไร?”
เป็นไปตามคาดคนผู้นั้นไม่กลัวคู่ต่อสู้หนุ่มชาวฟ้า แต่กลัวสหายที่เหมือนหมูมากกว่า “ต่อไปข้าต้องคิดให้รอบคอบ ถ้าต้องแกล้งใครพร้อมกับหลิงซิ่ว”
เรื่องเดียวที่นับว่ายังโชคดีก็คือระดับปัญญาของหนุ่มชาวฟ้าและหลิงซิ่วถือว่าอยู่ในระดับเดียวกัน....
แค่กแค่ก แค่ก เป็นอะไรไป ตอนนี้ความสนใจของข้าควรจะอยู่ที่ยอดฝีมือลึกลับ ไม่ใช่ถูกเจ้าปัญญาอ่อนทั้งสองคนก่อกวน
จากนั้นอาเฮ่อเริ่มไตร่ตรอง แต่ความคิดของเขาถูกเสียงตะโกนของถังเทียนขัดจังหวะ
“หวาๆๆ!แก่นพลังวิญญาณตั้งมากมาย! ที่นี่ก็มี นี่ก็มีด้วย พวกมันเป็นอสูรดวงดาวระดับแปดทั้งนั้น ของพวกนี้มีค่ามาก”
แก่นพลังวิญญาณ?
อาเฮ่อสะดุ้งและเริ่มไตร่ตรอง “คนผู้นั้นไม่เอาแก่นพลังวิญญาณไปเลยซึ่งก็หมายความว่าไม่สนใจเรื่องเงิน เขาไม่ได้ทำร้ายเรา หมายความว่าไม่มีความเป็นปฏิปักษ์กับเรา ความคิดของเขาละเอียดรอบคอบตัดสินจากซากศพที่ล้ม เขาสามารถบอกได้ว่าคนผู้นั้นเข้ามาจากกลุ่มดาวหมาป่า
อสูรดวงดาวระดับแปดค่อนข้างมีปัญญา เมื่อพบกับศัตรูที่แข็งแกร่งกว่ามาก พวกมันคงแตกกระจายและถอยหนีแน่นอน
กวาดสายตามองไปทางน้ำท้ายๆไม่มีอสูรที่มีชีวิตให้เห็นสักตัว
ภาพเหตุการณ์ที่เห็นต่อหน้า มีความเป็นไปได้สองประการ
ความเป็นไปได้ประการแรก คนผู้นั้นมีความแข็งแกร่งมากสังหารอสูรดวงดาวระดับแปดหรือเก้าได้เหมือนกับเป่าฝุ่น
ประการที่สองนิสัยของคนผู้นั้นโหดเหี้ยมและดุร้าย เมื่อเริ่มฆ่าเขาจะต้องฆ่าให้หมด
สีหน้าของอาเฮ่อเคร่งเครียดไม่ว่าจะมีความเป็นไปได้แบบไหนก็ตาม ทั้งสองอย่างล้วนน่ากลัวทั้งนั้น สังหารอสูรดวงดาวระดับแปดหรือเก้าเหมือนกับตัดหญ้านั่นต้องแข็งแกร่งมากจริงๆ และต่อให้พวกเขาทั้งสามร่วมมือกันก็คงไม่ใช่คู่มือของเขาแน่ และถ้าเขาเป็นคนโหดเหี้ยมอำมหิต คนฟั่นเฟือนแบบนั้นคงไม่มีใครต้องการยุ่งเกี่ยวกับเขา
แต่เป็นเรื่องดีที่เขาไม่มีความเป็นศัตรูกับพวกเขา ถ้าไม่อย่างนั้นพวกเขาคงตายไปนานแล้ว
ใจของอาเฮ่อสงบลง
ทันใดนั้นถังเทียนพูดขึ้นอย่างจริงจัง “ไม่ เราจะปล่อยให้เสียไปเปล่าๆ ไม่ได้”
ทั้งสองคนมองดูเขาพร้อมกันไม่รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร
“แก่นพลังวิญญาณสามารถขายทำเงินได้มาก ซากของอสูรดวงดาวคือสมบัติทั้งนั้นและมีซากศพของพวกมันตั้งมากมาย ข้าสงสัยว่าจะขายทำเงินได้มากมายเพียงไหน?” ถังเทียนกล่าว
อาเฮ่อมีสีหน้าละอาย “อย่างนั้นเราจะทำยังไง?”
ถังเทียนคล้ายตักตวงทุกอย่างเข้ามาไว้ในอ้อมแขนของเขา “เราจะเก็บไปทั้งหมด”
“กะ..เก็บไปทั้งหมด?” อาเฮ่อมองดูซากนับไม่ถ้วนที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วทางเดินหลั่งเหงื่อจากหน้าผากไม่ขาดสาย “มีมากมายเกินไป เราจะขนไปยังไงไหว?”
“ข้ามีตู้อควาเรียสอยู่หลายใบ” ถังเทียนล้วงตู้อควาเรียสออกมาจากตัว...
ทั้งหมดนั้นเป็นสินสงครามของเขาและมันมีความโดดเด่นอย่างแท้จริง เขาล้วงออกมาทั้งหมดกองเป็นภูเขาย่อมๆ
อาเฮ่อและหลิงซิ่วอดหัวเราะไม่ได้
สิบวันต่อมา
เมื่อพวกเขาเดินออกมาจากทางน้ำ หน้าของพวกเขาซีดขาว ดูเหมือนว่าแทบจะทรุดตัวลงทันที แต่ละคนถือตู้อควาเรียสเงินหลายใบ ทั้งหมดฉายแสงสีเงินสว่างแพรวพราว
ตู้อควาเรียสเงินสามารถบรรจุของได้มากมายหลายอย่างและช่วยลดน้ำหนักได้อีกมาก แต่ไม่มากไปกว่าน้ำหนักของมันเอง ตู้อควาเรียสเงินทั้งหมดถูกยัดสัมภาระไว้เต็มและยังต้องขนไปด้วยกัน จึงมีน้ำหนักที่มาก
หลิงซิ่วและอาเฮ่อแทบจะทรุดล้มลงเพราะความเหนื่อยล้า ทั้งสองคนไม่เหลือเรี่ยวแรงในร่างกายต่อไป อาเฮ่อฝึกวิชากระบี่ชั้นสูง เขาไม่เคยใช้แรงงานหนักมาก่อน วิชาหอกของหลิงซิ่วน่ากลัวแต่ต้องอาศัยพลังนิ้วของเขา
ตู้อควาเรียสเงินแต่ละใบมีซากอสูรดวงดาวเกินกว่าร้อย
ตู้อควาเรียสทั้งหมดที่ถังเทียนมีเป็นของคุณภาพดีที่สุดและด้วยตู้อควาเรียสนี้เอง น้ำหนักจึงมีเพียงหนึ่งในสิบของน้ำหนักเดิม ตู้อควาเรียสเงินทุกใบรับน้ำหนักอสูรดวงดาวเพิ่มได้สิบตัว อาเฮ่อแบกตู้อควาเรียสสิบเอ็ดใบขณะที่หลิงซิ่วแบกสิบสามใบ
สำหรับพวกเขาที่แบกซากอสูรดวงดาวเกินร้อยตัวเป็นเวลากว่าสิบวัน จะทำให้พวกเขาเหนื่อยล้าเพียงไหน?
แต่ทั้งสองคนละอายเกินกว่าจะบอกว่าพวกเขาเหนื่อยหรือพูดเช่นนั้นเป็นเรื่องขมขื่น เพราะถังเทียนเองก็แบกตู้อควาเรียสถึงสามสิบสองใบมากกว่าทั้งสองคนรวมกันเสียอีก ทั้งสองคนมีความหยิ่งภาคภูมิใจ ดังนั้นพวกเขาจะยอมรับความพ่ายแพ้ได้อย่างไร? พวกเขาได้แต่เพียงเก็บลิ้นทนกล้ำกลืนให้ถังเทียนบ่นด่าว่าพวกเขาว่าช้าเหมือนเต่าและพูดว่ามีแต่อาโมรี่ที่มีกำลังดีกว่า เขาสามารถแบกทุกอย่างด้วยตัวเองได้
นักรบคนหนึ่งฆ่าได้หยามไม่ได้! ทั้งสองคนดึงพลังของตนออกมาใช้จนถึงที่สุด
เมื่อทั้งสองคนเห็นแสงส่องมาจากปากทางออกด้านหน้า พวกเขาดีใจ
ทางน้ำจี้ชิวถูกผนึกมาเกินร้อยปีและซากอสูรดวงดาวทั้งหมดถูกพวกเขารวบรวมไว้ไม่ขาดไปสักตัว
เมื่อออกจากทางเข้าหลิงซิ่วและอาเฮ่อไม่สามารถทนได้อีกต่อไป พวกเขาโยนตู้อควาเรียสเงินลงบนพื้นแล้วรีบนอนแผ่ทันทีแม้แต่อาเฮ่อที่ระมัดระวังมารยาทตัวเองก็ยังไม่สนใจว่าพื้นจะนิ่มนวลหรือไม่
ถังเทียนก็เหนื่อยจัดเช่นกัน ตู้อควาเรียสสามสิบสองใบก็เหมือนซากอสูรภูตดวงดาวสามร้อยตัวที่กองเป็นภูเขาเนื้อ แม้ว่าเขามีความแข็งแรงโดยธรรมชาติแต่มันก็ยังส่งผลต่อเขาอยู่ดี
แต่เขาไม่ได้หลบนี่คือพื้นที่ต่างถิ่นและพวกเขาจำเป็นต้องมีคนยืนคุ้มกัน เขานั่งขัดสมาธิและกระตุ้นปราณแท้ของเขาช้าๆ
หลังจากผ่านไปสองชั่วโมง เขาลืมตาที่เต็มไปด้วยความยินดีสิบวันของการใช้แรงงานใช่ว่าไม่ได้อะไร เนื้อหนังของเขาแข็งแรงขึ้นเพลิงดำมิติว่างและหัวใจน้ำแข็งฟ้าซึ่งมีทั้งความร้อนและเย็นช่วยให้กล้ามเนื้อของเขามีความยืดหยุ่นเหมือนกับเชือกเหล็กสลิง
พลังของเขาเพิ่มขึ้นทีละนิด
เขาไม่คิดเลยว่าเพลิงดำมิติว่าและหัวใจน้ำแข็งฟ้าจะใช้ประโยชน์อย่างนั้น
ถังเทียนมีความสุขร่างกายที่ฝึกฝนคืออาวุธที่ดีที่สุด ยอดฝีมือองค์การวิญญาณมืดมีร่างกายแข็งแรงจนถึงระดับสูงสุดซึ่งแม้แต่ดาบกระบี่ก็ยังทำร้ายพวกเขาไม่ได้ พวกเขาไม่ต้องใช้วิชาตัวเบาและมีความเร็วมากอยู่แล้ว นั่นเป็นเพราะการระเบิดพลังที่น่ากลัวของเลือดเนื้อและกล้ามเนื้อของพวกเขา
ถังเทียนไม่ได้คาดว่าจะมีร่างที่แข็งแกร่งน่ากลัวอย่างนั้น แต่ร่างกายที่แข็งแรงสำหรับนักสู้ระยะประชิดนั้นมีประโยชน์มาก
ท้องฟ้ามืดมิดเมื่อเห็นอีกสองคนหลับอย่างสบาย ความรู้สึกอบอุ่นเพิ่มขึ้นในดวงตาของถังเทียน
ไม่ว่าเขาอยู่ที่ไหน ทุกคนก็จะอยู่ที่นั่นกับเขา
สงสัยจริงว่าลุงปิงกับพวกที่เหลือกำลังทำอะไรกัน
**********************
“หัวข้อหลักของชั้นเรียนนี้ที่จะพูดก็คือวิธีพัฒนาวิทยายุทธให้มีอิทธิพลต่อสนามรบ ประการแรก ข้าจำเป็นต้องประกาศว่าข้ามีความเชี่ยวชาญเรื่องสงครามและการรบยุคเก่าโบราณ ดังนั้นข้าจึงไม่ค่อยมีความรู้ในการเรียนการค้นคว้ารูปแบบการต่อสู้ของยุคปัจจุบัน ถ้าผิดพลาดประการใด เชิญบอกข้าได้ตามตรง ถ้าอย่างนั้น เรามาดูกัน ขั้นตอนพัฒนาวิทยายุทธที่มีผลและความเกี่ยวข้องของขั้นตอนวิทยายุทธและสิ่งที่มีอิทธิพลซึ่งพวกเขาสามารถนำมาใช้ได้ในแง่สงคราม”
บนเวทีถังโฉ่วจัดการเรียนอย่างเป็นระบบ และนักเรียนข้างล่างจะฟังอย่างตั้งใจพวกเขาไม่ได้รู้สึกรังเกียจแม้แต่น้อยเพราะอาจารย์ผู้สอนเป็นขุนพลวิญญาณผู้นำทหาร หลังจากสอนไปสองสามชั้นพวกเขาให้ความเคารพอาจารย์ขุนพลวิญญาณผู้นำทหารเป็นอย่างสูง
ปิงอยู่ข้างนอกมองดูอยู่เงียบๆ หัวใจเขาเต็มไปด้วยอารมณ์ตื้นตัน ถังโฉ่วและฟงโฉ่วแตกต่างกันอย่างมากมาย แต่มีลักษณะหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือทั้งสองนั้นพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีว่าพวกเขามาจากต้นกำเนิดเดียวกันและนั่นก็คือความจริงจังของพวกเขา
ปิงไม่ได้เป็นคนจัดชั้นเรียน แต่เป็นถังโฉ่ว และเหตุผลของเขาถูกต้อง ความสงบในคนรุ่นปัจจุบันมีมานานเกินไป และนักเรียนอาจมีพลังที่มั่นคง แต่ความเข้าใจของเขาในเรื่องสนามรบเป็นศูนย์
สำหรับกองทัพหนึ่งๆนั่นเป็นเรื่องน่ากลัวมาก
ปิงเห็นด้วยกับคำแนะนำของถังโฉ่ว และตัดสินใจมันจะเป็นรูปแบบเบื้องต้นของสถาบันนายทหารขนาดเล็ก ถ้าเป็นในอดีต ความคิดเอานายทหารระดับประทวนมารับหน้าที่อาจารย์สอนเป็นความคิดที่คาดไม่ถึง
แต่ปิงรู้สึกว่าถังโฉ่วทำได้ดี บุคลิกของถังโฉ่วอดทนและไม่ชักช้าแต่จะดำเนินการเพื่อประโยชน์ของนักเรียนของเขาอย่างจริงจังและฉลาดมากกว่าถังอี้
การเรียนการสอนจบอย่างรวดเร็ว นักเรียนทุกคนออกจากห้อง พวกเขายังคงมีหัวข้อฝึกอีกมาก
เมื่อเห็นปิงถังโฉ่วทักทายทันที “ใต้เท้า!”
ปิงรั้งสายตากลับจากนักเรียนซึ่งดูมีชีวิตชีวาและหันมาทักทายกลับ“ผลเป็นยังไงบ้าง?”
“ปัจจุบันนี้ดูดีขอรับ แต่จะทดสอบผลการฝึกจริงๆ เราจำเป็นต้องทดสอบพวกเขาผ่านการรบที่เหมาะสม” ถังโฉ่วรอบคอบมาก
ปิงเงียบชั่วครู่จากนั้นตอบ “พวกเขาไม่ใช่แกนกลางของกองทัพ เจ้าไม่ต้องทำมากขนาดนั้นก็ได้”
ถังโฉ่วเงียบไปชั่วขณะ จากนั้นตอบ “ข้าน้อยทราบดี ตำแหน่งในอนาคตของพวกเขาเป็นเรื่องที่ใต้เท้าจะต้องคิด สิ่งที่ข้าน้อยต้องพิจารณาก็คือ ทำงานของตัวเองให้ดีที่สุด
ปิงผงกศีรษะ จากนั้นเปลี่ยนหัวข้อ “กองกำลังเหล่านี้ต้องใช้เวลานานเท่าใด?”
“ประมาณครึ่งปีขอรับที่พวกเขาจะสำเร็จความรู้ตั้งขบวนต่อสู้พื้นฐานทั้งหมด” ถังโฉ่วประมาณการแบบอนุรักษ์นิยม
คราวนี้ปิงคิดนานแต่เขาไม่ปฏิเสธ และถามขึ้นมา “ถ้าเจ้าต้องเลือกเป้าหมายให้ตระกูลม่อ เจ้าจะเลือกกลุ่มดาวไหน?”
ถังโฉ่วตอบ“กลุ่มดาวเตาหลอม”
“กลุ่มดาวเตาหลอม?” ปิงประหลาดใจ
“ขอรับ ใต้เท้า!” แสงราศีที่น่าทึ่งฉายอยู่ในดวงตาของถังโฉ่ว “มีรากฐานโรงตีเหล็กที่แข็งแกร่งอยู่ที่นั่นและมีชิ้นจิตวิญญาณยุทธอยู่ที่นั่นมากมาย มันเหมาะสำหรับอาวุธจักรกลวิญญาณ ถ้าเราสามารถครอบครองที่นั่นได้ เราจะสามารถขยายกิจการได้เร็ว และพลังท้องถิ่นก็ไม่กล้าแข็งเกินไป”
สายตาของปิงเป็นประกายและเขากล่าว“ไปทำตามแผนเถอะ”
“ขอรับ” ถังโฉ่วตอบด้วยความเคารพ